ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 2 แสงสีฟ้าจาง

ตอนที่ 1 แสงอาทิตย์ยามอัสดง


ดวงอาทิตย์สาดส่องแสงสว่างยามเช้าส่องลงมายังสวนสมุนไพรด้านล่างจนทำให้กลิ่นหอมจากสมุนไพรวิญญาณจำนวนมากกระจายไปทั่วทุกหนแห่ง

ช่วงเวลาเดียวกันเด็กหนุ่มนาม ฉินหยู กำลังนั่งขึงลวดรั้วและตรวจสอบให้แน่ใจว่าทุกอย่างเป็นไปอย่างเรียบร้อย เมื่อเขาลุกขึ้นเขาก็ไอออกมาอย่างรุนแรงทำให้แก้มที่แดงเปลี่ยนเป็นสีขาวซีด เมื่อมองผ่านแสงอาทิตย์ยามอัสดง เรือนร่างของเขาค่อนข้างขาวสว่างเล็กน้อย เขามีรูปร่างผอมบางและหน้าตาธรรมดา มีจุดเพียงไม่กี่จุดที่ทำให้ดูเป็นมิตรอย่างแปลกประหลาด

เหตุผลที่เขามาทำเช่นนี้เป็นเพราะเมื่อครึ่งปีที่ล้วสวนสมุนไพรถูกหมูป่าโจมตี และ หัวหน้าสวน ก็ได้ลงโทษเขาทำให้ ฉินหยู ช้ำในและมีอาการบาดเจ็บรุนแรง ถึงอย่างไรเขาก็รอดมาได้ เนื่องจากการบาดเจ็บของเขาไม่ได้รับการดูแลอย่างเหมาะสม โชคดีที่เขามีสหายชื่อ ถู่โต้ว คอยดูแล ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังมีอาการไอและมีผิวที่ซีดกว่าคนอื่น ๆ ดังนั้นเขาจึงมักถูกผู้คนเรียกว่า ผีป่วย

แม้จะเป็นเช่นนั้น ฉินหยู ก็ยิ้มแย้ม และ ไม่สนใจสิ่งใด เขาเป็นเด็กกำพร้าตั้งแต่อายุยังน้อย เขารู้วิธีการเอาตัวรอดเช่น เมื่อใดที่ควรก้มหน้า เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาก็ควรก้ม หลังจากสะสางธุระที่นี่เสร็จแล้วเขายังมีงานอื่นที่ต้องทำอีกเช่นการทำความสะอาดถนนศิลาคราม

ศิลา พวกนี้ เป็นสิ่งของที่มีชื่อเสียงที่สุดของนิกายภูเขาศักดิ์สิทธิ์ คุณภาพและความเหนียวของมัน เหมาะสำหรับผู้บ่มเพาะพลังที่จะใช้ในการก่อสร้าง ศิลานี้ สามารถทำให้นิกายภูเขาศักดิ์สิทธิ์ได้รับผลกำไรจากศิลาวิญญาณมากทีเดียว แน่นอนว่า ศิลาวิญญาณ เป็นวัสดุสำคัญสำหรับการบ่มเพาะพลัง ฉินหยู ในฐานะศิษย์สายนอก เขาไม่มีโอกาสที่จะได้รับพวกมัน ของส่วนใหญ่มักจะตกไปอยู่ในกระเป๋าของผู้นำนิกายและผู้อาวุโสมีเพียงส่วนน้อยเท่านั้นที่จะหลุดรอดมาถึงมือของศิษย์ภายในนิกาย

เงินเก็บที่เขาใช้เวลาตั้งเจ็ดปีในนิกายภูเขาศักดิ์สิทธิ์ยังไม่เพียงพอที่จะซื้อศิลาครามที่อยู่ใต้เท้าของเขาด้วยซ้ำ ดังนั้ นฉินหยู จึงมีความรู้สึกอิจฉาเล็กน้อย แต่เขาก็เข้าใจอย่างรวดเร็ว ว่าด้วยพรสวรรค์ที่มีโดยเฉลี่ยของเขาแล้ว ไม่สามารถที่จะมีความคิดเช่นนี้ได้

ครืด ครืด..

ฉินหยู ได้ทำความสะอาดปลายพลั่วอย่างระมัดระวัง เหตุผลที่ เขาต้องมารับผิดชอบเก็บกวาดถนนศิลาครามนี้เป็นเพราะมันอยู่ใกล้กับสวนสมุนไพร เขาจำเป็นจะต้องเคลียร์เศษใบไม้และสิ่งอื่น ๆ ที่ถูกลมพัดมาทิ้งเอาไว้ ซึ่งยากที่จะกำจัดออกไป ดังนั้น ปลายพลั่วของเขา จึงผสมไปด้วยแก่นเหล็กที่ถูกใช้ในการทำอาวุธวิเศษ เพียงแค่เพิ่มแก่นเหล็กเข้ามาก็ทำให้ปลายพลั่วคมขึ้นหลายเท่า

ถู่โต้ว เคยพูดอย่างติดตลกกับเขาว่า สิ่งของล้ำค่าที่สุดของ ฉินหยู อาจจะเป็น เครื่องมือวิเศษระดับ 9 นี้ แม้ว่า พลั่ว จะเป็นของนิกาย และ ได้รับอนุญาติให้ใช้งานก็ตาม

"เจ้าบ้านั่นช่างมีฝีปากที่น่ารังเกียจยิ่งนัก!"ฉินหยู กร่นด่าพร้อมกับรอยยิ้มจาง ๆ

ทันใดนั้น ก็มีเสียงหัวเราะดังมาต่ไกล เสียงหัวเราะที่ดูไร้กังวลนั้นไม่สามารถซ่อนความนัยอันเย่อหยิ่งของตัวเองได้

ฉินหยู รู้สึกตกใจและก้าวไปข้าง ๆ และ วางพลั่วในมือลง

"สวรรค์,ศิษย์พี่เวยเว่ยช่างเป็นคนที่น่าทึ่งจริง ๆ ! จากระดับ กลั่นปราณ ขั้น 7 สามารถบ่มเพาะไปถึงระดับ รวมปราณ ได้ภายใน 27 วัน นี่นับเป็นสถิติใหม่ที่น่าทึ่งของนิกายภูเขาศักดิ์สิทธิ์"

"ไม่ใช่เพียงแค่นิกายภูเขาศักดิ์สิทธิ์แม้แต่ดินแดนอาณาจักรทางใต้นับแสนลี้ก็ไม่มีใครมีพรสวรรค์สูงเท่ากับศิษย์พี่เวยเว่ย!"

"ศิษย์พี่เวยเว่ย ศิษย์น้องหญิง คนนี้ ไม่เข้าใจเกี่ยวกับการบ่มเพาะพลัง หวังพี่ศิษย์พี่เวยเว่ย จะช่วยสอนข้าเป็นการส่วนตัวในคืนนี้"

"ศิษย์น้องจาง ศิษย์พี่เวยเว่ย ของเรา เพียงแค่การฝึกฝนในแต่ละวันก็เต็มกลืนแล้ว ไว้รออีกสักสองสามวันเจ้าค่อยไปขอร้องศิษย์พี่ดูอีกที"

เสียงหัวเราะที่ดังลั่น ได้ดังมาจากกลุ่มฝูงชนที่กำลังรายล้อม เวยเว่ย ในแต่ละด้านของกลุ่ม รายล้อมไปด้วยเด็กสาวจำนวนมาก ทำให้บริเวณแถวนั้นแพร่กลิ่นหอมของกล้วนไม้จาง ๆ ออกมา สายตาที่พวกนางพวกไปที่ เวยเว่ย ช่างเป็นการเคารพเถิดทูนอย่างแท้จริง

ฉินหยู รู้สึกงงเล็กน้อย

ศิษย์พี่เวยเว่ย คนนี้ มีประวัติไม่ค่อยแน่ชัด ว่ากันว่า เป็นบุตรชาย ของขุนนางราชวงศ์นึงที่มีระดับการบ่มเพาะพลังถึงแกนทองคำสูงสุด โดยปกติแล้ว ผู้ฝึกยุทธ์ ระดับนี้ มักจะถูกเรียกว่าปรมาจารย์

อย่างไรก็ตาม พูดไปก็ช่างดูตลก ศิษย์พี่เวยเว่ย คนนี้ แม้จะค่อนข้างมีชื่อเสียง แต่ผู้คนมักพูดถึงชื่อเสียงในทางที่ไม่ดี เขามีฝีปากที่แหลมคม และ การกระทำที่ไร้ยางอาย ชอบมีปากเสียงกับคนอื่น ๆ ที่ชอบนินทาเขาและไม่เชื่อว่าเขามาจากตระกูลที่มีอำนาจ

แต่เมื่อสองเดือนก่อน ศิษย์พี่เวยเว่ย ก็ได้เปลี่ยนไปเป็นคนละคน เขาได้แสดงให้เห็นถึงพรสวรรค์ที่น่าทึ่งที่สามารถไปถึงระดับ กลั่นปราณ ขั้นที่ 7 และ สามารถพัฒนาอย่างต่อเนื่องจนถึงมาระดับ รวมปราณขั้นที่1 ได้ใน 27 วันหรือก็คือเมื่อสองวันก่อน

ความเร็วระดับนี้ ไม่ใช่แค่ในนิกายภูเขาศักดิ์สิทธิ์ม้แต่ในนิกายที่มีชื่อเสียงก็ยังเป็นผู้บ่มเพาะพลังอันดับต้น ๆ !

ในวันเดียวกับที่ศิษย์พี่เวยเว่ย ยกระดับไปถึง รวมปราณ ขั้นที่ 1 เขาได้ขอร้องทั้งน้ำตาทั้งคืนให้ ผู้นำนิกายรับเขาเป็นศิษย์โดยตรงในวันที่สองเขาได้รับการยอมรับ โชคชะตาของอีกฝ่ายได้แปรแปรเปลี่ยน จากวันนั้น เขาก็กลายเป็นที่น่าเคารพนับถือ

ในวันนั้นศิษย์สายนอกทั้งหมดเกือบพันคนมองด้วยดวงตาที่แดงก่ำ

ปัจจุบันศิษย์พี่เวยเว่ย เป็นความหวังในอนาคตของนิกาย จากนั้น ความหยิ่งผยองของเขาก็เพิ่มขึ้นและกดดันศิษย์โดยตรงคนอื่น ๆ ทั้งหมด

"ทุกคน และ ศิษย์น้องจาง ก็พูดเกินไป ตั้งแต่ที่ข้าเริ่มการบ่มเพาะพลังข้ามักจะคุมสติไว้เสมอ ไม่วอกแวกกับสิ่งภายนอก และ ไม่สนใจเกี่ยวกับสิ่งไม่ดีที่คนอื่น ๆ พูดถึงข้า"ท่าทีเฉยเมยของ เวยเว่ย ทำให้ อีกฝ่ายรีบประจบ เช่น 'ศิษย์พี่ช่างถ่อมตัว' 'ศิษย์พี่เราเชื่อใจท่าน' 'ศิษย์พี่เวยเว่ยเท่ระเบิด' และ อื่น ๆ

ในขณะเดียวกันที่เขาเดินไปตามทางศิลาคราม เขาก็เหลือบมองไปที่ ฉินหยู ที่ยืนอยู่ด้านข้าง เขาได้เดินต่อไปอย่างรวดเร็วด้วยท่าทีเฉยเมย ทั้งคู่มีสถานะที่ตกต่างกัน และ แทบจะ ไม่สามารถโคจรมาบรรจบกันได้ พวกเขาทั้งสองต่างก็รับรู้ด้วยกันเองทั้งสิ้น

เสียงหัวเราะ ได้ดังไกลออกไปเรื่อย ๆ แต่ก็มีเสียงหัวเราะเบา ๆ ที่ ศิษย์พี่เวยเว่ย หยอกล้อเล่นกับ ศิษย์สาวคนอื่น ๆ

ฉินหยู ได้จากไปอย่างสงบ หลังจาก ที่มองไปที่ทิศทางนั้น ทันทีที่เขาเคลื่อนตัวออกไปแสงอาทิตย์ก็ได้สาดส่องกระทบลงบนแผ่นหลังที่อ่อนแอของเขาดูแล้วเหมือนกับต้นไม้ที่โดดเดี่ยว

หลังจากทำงานเสร็จ เขาก็ไม่ได้กลับไปที่บ้านพัก เขาได้เดินไปตามถนนสายอื่นจนสักพักก็ไปถึงภูเขา

ต้นไม้เขียวชอุ่มที่นี่ แทบ จะไม่เห็นร่องรอยการมาของมนุษย์ ฉินหยู หายใจไม่กี่ครั้ง และ ก็หรี่ตาลงไปที่พื้น เขาพบ ร่องรอย คล้ายกีบเท้าบนพื้นที่มีขนาดใหญ่

เขาก้มลงมองอย่างระวัง ในที่สุด เขาก็ปรากฏรอยยิ้มบนใบหน้า 'ในที่สุดข้าก็พบเจ้า' ภูเขาแห่งนี้ เคยมีหมูป่าหลุดออกมาอาละวาดและทำลายสวยสมุนไพร ที่ทำให้เขาเกือบจะต้องตาย หลังจากค้นหาเบาะแสเป็นเวลานาน ในที่สุด ฉินหยู ก็ค้นพบร่องรอยของมัน

เขาได้ย่องเข้าไปภายในภูเขาและตรวจสอบให้แน่ใจว่ากับดักที่เขาวางเอาไว้ใช้งานได้ดีจากนั้นเขาก็เดินกลับไปทางเดิม

พลังปราณโดยรอบของนิกายนั้นค่อนข้างหนาแน่นทำให้ หมูป่าเหล่านี้ ฉลาดและไวต่อกลิ่น ดังนั้น ฉินหยู จึงไม่ต้องการที่จะแจ้งเตือนการมาถึงของเขาและทำลายโอกาสของเขา

การจัดการกับหมูป่าตัวนี้เขาไม่ได้ทำเพียงเพื่อการแก้แค้นเพียงอย่างเดียว

ฉินหยูได้ยินมาว่า หมูป่า ตัวนี้ มีกีบซ้ายด้านหน้าที่หนากว่าปกติ เป็นเวลาหลายปีที่มันได้บุกเข้าไปในสวนสมุนไพรและกินสมุนไพรวิญญาณจำนวนมาก ซึ่งในหมู่สิ่งของเหล่านั้น ล้วนเป็นสมุนไพรวิญญาณ ที่มีพลังวิญญาณจำนวนมาก นี่คือเหตุผลว่าทำไม เขาถึงต้องการตามล่ามัน หากเขาสามารถจับมันและนำมาตุ๋นกินได้อาการป่วยของเขาก็อาจจะดีขึ้น

ในไม่ช้า เขาก็รีบตรงกลับไปที่บ้าน และ ยิ้มมาตลอดทาง

หลังจากกลับมาถึงบ้านที่ลานเล็ก ๆ เขาก็แสดงท่าทีปกติ กินและดื่มน้ำ เพื่อให้ร่างกายของเขาได้มีการปรับตัวอยู่เสมอ เพราะอาการป่วยของเขา ทำให้หลายวันที่ผ่านมา เขาเริ่มไอรุนแรงมากขึ้นกระทั่งอาเจียนออกมาเป็นเลือด

ในใจของเขายังคงรู้สึกกลัวเขาไม่กล้าคิดถึงเรื่องนี้และยังคงกินต่อไป

หลังจากรับประทานอาหารเสร็จเขาก็อาบน้ำล้างตัวเข้านอน เมื่อทำจิตใจให้สงบได้เขาก็เริ่มสมาธิและบ่มเพาะพลัง

ศิษย์สายนอกก็ยังคงสามารถบ่มเพาะพลังได้ แต่การที่จะได้กลายเป็นศิษย์แท้จริงของนิกายจำเป็นจะต้องมีพรสวรรค์ในการบ่มเพาะพลัง

ศิษย์สายนอกของนิกายภูเขาศักดิ์สิทธิ์ทุกคนจะได้รับทักษะพฤกษาแท้จริง แม้ว่า ฉินหยู จะเป็นผู้เริ่มต้นการบ่มเพาะพลัง แต่เขาก็รู้ดีว่า ทักษะพฤกษาแท้จริง นั้นไม่สมบูรณ์ และ จนถึงขั้นไม่มีระดับ

เขาไม่มีทางเลือกอื่น เขาไม่เคยบ่นตลอดเจ็ดปีมานี้ ละ ทุก ๆ วันเขาได้ฝึกฝน จนได้พัฒนาไปจนถึงระดับ กลั่นปราณ ขั้นที่ 2 พลังปราณภายในร่างกายของเขาทำให้เขารู้สึกสดชื่นเล็กน้อย

หลังจากผ่านไป 1 ชั่วยาม เขาก็ลืมตาตื่นขึ้นด้วยความผิดหวัง ฉินหยู สามารถสัมผัสได้ว่าระดับการบ่มเพาะพลังของเขากำลังถดถอย เขาแทบจะไม่สามารถคงสถานะ ระดับ กลั่นปราณ ขั้นที่ 2 เอาไว้ได้

ทุกครั้งที่เขาพยายามฝึกฝน หน้าอกของเขาจะกระเพื่อมอย่างผิดปกติ ฉินหยู ไม่สามารถปรับตัวได้ทัน เมื่อเร็ว ๆ นี้ เขาเริ่มรู้สึกได้ว่า พลังของเขากำลังถดถอยกลับไปที่ กลั่นปราณ ขั้นที่ 1 หากเป็นเช่นนั้น เขาจะไม่สามารถประคองอาการบาดเจ็บของเขาได้ และ มันจะแย่ลงขึ้นเรื่อย ๆ

ดังนั้น ฉินหยู จึงสามารถฝึกฝนได้เพียงวันละ 1 ชั่วยาม

หลังจากลุกขึ้น ยืดร่างกายเสร็จแล้ว เขาก็เดินออกไปข้างนอกตามทางที่รกร้างอย่างช้า ๆ เขารู้สึกเหนื่อยล้าที่ทำงานมาตลอดทั้งวัน แต่เพราะพลังปราณที่ไหลเวียนผ่านในตัวทำให้เขากัดฟันฝืนทนต่อไปได้

ซูดด

เฮือกกกก

เขาผ่อนลมหายใจออกมาหนักหน่วงเป็นบางครั้งใบหน้าก็เริ่มซีดขาวลง หลังจากผ่านไปอีกครึ่งชั่วยามเขาก็หยุดพักเขาพยายามสูดอากาศโดยรอบและทำตัวผ่อนคลายให้สบาย

หลังจากยืนตัวตรงและผ่อนคลายเสร็จเขาก็หมุนตัวไปรอบ ๆ และ หันหลังกลับไปทางที่เขาจากมา

จากเส้นทางที่เขาผ่านมา หากวิ่งกลับไป ต้องใช้เวลา ครึ่งชั่วยาม หากเดินกลับไป จะต้องใช้เวลามากกว่า 1 ชั่วยาม ถึงตอนนั้น ฟ้าก็พลันมืดลง

ขณะที่ เขากำลังเดินทางอยู่ ฉินหยู ก็หยุดอยู่กับที่ด้วยท่าทีงุนงงเล็กน้อย ตั้งแต่อายุยังน้อย เขามีประสาทสัมผัสที่เฉียบคมกว่าคนทั่วไป โดยเฉพาะการได้ยินและการมองเห็น เสียงลมยามค่ำคืนได้พัดมาพร้อมกับเสียงเล็ก ๆ ทำให้ เขาโฟกัสไปที่ จุดทิศทางที่้เกิดเสียง ดูเหมือนว่ามันจะอยู่ห่างจากนี่ไม่ไกลนัก หรือว่าจะเป็น เสียงหมูป่า ? มันไปกระตุ้นให้กับดักทำงานหรือไม่?

ไม่รู้ว่าเป็นสิ่งใด เขาพลิกร่างที่เหนื่อยล้า เดินขึ้นไปบนทางลาดชันอย่างมีความสุข

ดินแดนพื้นที่ของนิกายภูเขาศักดิ์สิทธิ์อัดแน่นไปด้วยพลังปราณทำให้ต้นไม้ใบหญ้าเติบโต้เร็วกว่าปกติ เช่นเดียวกับเถาวัลย์ที่นี่ เถาวัลย์ที่อยู่บนทางลาดชันค่อนข้างมีความเหนียวคล้ายกับหนังวัว

เขาวิ่งผ่านเถาวัลย์จำนวนมากด้วยความตื่นเต้น โดยไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขากำลังเหนื่อยล้าหรือไม่

หลังจากผ่านมาได้สักพัก เขาก็ได้ยินเสียงชัดเจนดังมาจากทางภูเขา ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความสุข แต่ในไม่ช้าเสียงกรีดร้องก็ได้ดังขึ้น

นี่มันเสียงของ เวยเว่ย!

ไม่ผิดแน่ นี่เป็นเสียงของเขา!

ทำไมเขาถึงมาอยู่ที่นี่ได้?

ในตอนแรก ฉินหยู รู้สึก ดีใจ แต่ ตอนนี้ เขาได้กลิ่นโลหิตที่ลอยคละคลุ้ง หน้าผากของเขาเต็มไปด้วยหยาดเหงื่อจำนวนมาก เขาพลิกตัวกลับไปอย่างเงียบ ๆ ในใจของเขารู้สึกบีบแน่น

"ศิษย์พี่ตั้งแต่ที่ท่านมาถึงที่นี่ก็อย่าได้คิดว่าจะรอดออกไป"ใบหน้าของศิษย์คนนึงซีดขาวเล็กน้อย แต่เขายังคงปรากฏรอยยิ้ม คำพูดของเขา ค่อนข้างดูดี แตกต่างจากเจตนาฆ่าที่แผ่ออกมา

เวยเว่ย ทรุดตัวลงบนพื้น เขามีแผลยาวที่หน้าท้องและโลหิตไหลเป็นทาง เขาหอบหายใจหนักเหมือนปลาที่ขึ้นมาจากน้ำ โดยไม่มีท่าทีหยิ่งผยองเหมือนก่อนหน้านี้ แต่เมื่อเขามองไปที่มุมนึงเขาก็สังเกตุเห็นใครบางคนเขาพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงดัง"ศิษย์น้องฉินหยู ช่วยข้าด้วย! ฮานตง เจ้าบ้านี่ต้องการฆ่าข้า!"

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด