ตอนที่แล้วบทที่ 59 วันแรกในการทำงาน
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 61 โรแมนติกอิเดียด

บทที่ 60 การเผชิญหน้า


(Editor note : จะขอเปลียน คอนเจอะเรอร์ = นักร่ายเวทย์ และ ออกเมนเตอร์ = นักเสริมพลัง เพื่อให้เข้าใจได้ง่ายขึ้นแทน)

ฉันหายใจเข้าลึกๆ ขณะนั่งข้างนอกบนม้านั่งใกล้ๆ เมื่อตระหนักว่าฉันเลิกชั้นเรียนเร็วเกินไปฉันก็สังเกตเห็นว่ามหาวิทยาลัยนั้นค่อนข้างสงบโดยยังมีนักเรียนส่วนใหญ่ยังอยู่ในห้องเรียน มันเป็นช่วงเวลานานแล้วที่ฉันรู้สึกว่าตัวเองอ่อนแอขนาด แต่การลุกขึ้นเดินไปรอบๆจะช่วยได้ฉันได้อย่างแน่นอน

ฉันนั่งดูซิลวี่ที่กำลังไล่ตามผีเสื้อผ่านสนามหญ้าข้างหน้าเมื่อฉันได้ยินเสียงฝีเท้าเดินเข้ามาจากทางขวา

"ตรงนี้มีคนนั่งหรือยัง?" ฉันหันหน้าไปเห็นเจ้าหญิงแคธลีนที่กำลังโน้มตัวไปข้างหน้าเพื่อให้ใบหน้าของเธออยู่ในระดับเดียวกับของฉัน

"ไม่มี เชิญเลย" ฉันพูดขณะที่ค่อยๆขยับไปทางซ้ายเล็กน้อยเพื่อให้มีที่ว่างสำหรับเธอ เธอวางผ้าเช็ดหน้าของเธอไว้เหนือม้านั่งอย่างระมัดระวังแล้วนั่งทับบนนั้นโดยยืดกระโปรงที่ยับยู่ยี่ออก เรานั่งอยู่ที่นั่นอย่างเงียบๆจนเราทั้งคู่ได้เห็นว่าในที่สุดซิลวีก็จับผีเสื้อที่ว่องไวที่ตอนนี้ดิ้นอยู่ในอุ้งเท้าของเธอจนได้

“ฉันได้ยินเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดจากพี่ชายของฉันแล้ว…ฉันขอโทษด้วยนะ” เสียงของเธอเงียบลงเมื่อเธอพูดจบประโยค

ฉันจับจ้องไปที่ซิลวี่ แต่ตอบกลับด้วยเสียงหัวเราะเบาๆ “ทำไมคุณถึงต้องมาขอโทษด้วยละ? นี้เป็นความผิดของพี่ชายคุณต่างหากแล้วเขาก็เข้ามาขอโทษแล้ว”

“ก็แค่…ฉันรู้สึกเหมือนว่าครอบครัวของฉันได้ทำไม่ดีและติดค้างคุณไว้มากมาย สำหรับสิ่งที่เกิดขึ้นกับเซบาสเตียนและก็พ่อของฉันเช่นกัน ครั้งนั้นที่บ้านประมูล…ปกติแล้วเขาไม่ได้เป็นคนแบบนั้น เขาเองก็ตกใจเช่นกันที่เหตุการณ์มันพลิกผันและเขาจำเป็นต้องรักษาภาพลักษณ์ของเขาเอาไว้ อีกอย่าง…” เป็นครั้งแรกที่ฉันเห็นแคธลีนลุกลี้ลุกลนเมื่อใบหน้าที่นิ่งเฉยของเธอแดง สีหน้าของเธอตื่นตระหนกขณะที่เธอพยายามทำให้ฉันเข้าใจ

“ฉันคิดว่านี่เป็นครั้งแรกที่ฉันได้เห็นใบหน้าที่เปลียนไปของคุณนะเจ้าหญิง จริงๆแล้วมันเป็นการเปลี่ยนแปลงที่ดีซะมากกว่า” ฉันขำเล็กๆในขณะที่หน้าของเธอแดงยิ่งขึ้นและหันหน้าของเธอออกไปจากฉัน

“…ได้โปรดอย่าแกล้งฉันเลยนะอาเธอร์ ฉันไม่คิดคุณจะเป็นคนประเภทนี้” เธอพูดพร้อมกับหัวที่ยังหันหน้าหนีฉัน

“โอ้? ถ้างั้นคุณคิดว่าฉันเป็นคนแบบไหนกันละ?” ฉันเอียงหัวด้วยความอยากรู้อยากเห็น

“อืมตอนที่ฉันเจอคุณครั้งแรกในงานประมูลฉันสังเกตว่าคุณมีวุฒิภาวะที่สูงมาก…” เธอบ่นพึมพำและยังไม่หันกลับมา

“คุณสังเกตเห็นได้ว่าแต่ละคนเป็นคนยังไงเมื่อคุณอายุเพียงแปดขวบ?” การอ่านท่าทางและบุคลิกของบุคคลเป็นสิ่งที่แม้แต่พวกผู้ใหญ่ยังเรียนรู้ได้ยากหริอจนกว่าพวกเขาได้พบปะผู้คนมากมายหลายประเภท

“ใช่แล้วละ…ด้วยการที่เป็นเจ้าหญิงเพียงคนเดียวของอาณาจักร ฉันน่าจะได้รับทักษะนั้นเร็วพอสมควร นอกจากนี้ด้วยความที่ทั้งพ่อและพี่ชายของฉันเป็นคนที่มีหน้ามีตา ฉันจึงรู้สึกเหมือนแม่และฉันเป็นเหมือนคนธรรมดาในบางครั้ง” คราวนี้เจ้าหญิงแคธลีนหันกลับมาเผชิญหน้ากับฉัน

“โอ้จริงด้วย? ฉันแทบจะไม่พบข้อบกพร่องเกี่ยวกับพี่ชายของคุณจริงๆ เขาดูมีเสน่ห์มากทีเดียว” ฉันจำได้ว่าได้พบกับเคอร์ติสครั้งแรกที่บ้านประมูล เมื่อเทียบกับตอนนั้นแล้ววุฒิภาวะของเขานั้นดีขึ้นอยู่พอสมควร

“ใช่วุฒิภาวะของเขาดีขึ้นมากเมื่อเห็นว่าเขาสามารถขอโทษคุณได้ นั่นคงเป็นเรื่องยากสำหรับเขาในตอนที่เขายังเด็กเพราะความภาคภูมิใจของเขา” เธอถอนหายใจขณะที่เราทั้งคู่ดูการต่อสู้เล็กๆน้อยๆของซิลวีกับแมลงตัวอื่น “ตอนที่ฉันเจอคุณครั้งแรกฉันสังเกตได้ทันทีว่าคุณแตกต่างจากคนอื่นๆมาก จะให้พูดยังไงดีละ? ฉันรู้สึกทึ่งคุณมาก…” ศีรษะของเธอลดลงเล็กน้อยขณะที่เธอพูดต่อ

“ฮ่าฮ่า…จริงๆหรือ? ฉันคิดว่ามันตรงกันข้ามกันเนื่องจากใบหน้าของคุณไม่มีปฏิกิริยาใดๆเลยหรือเปลี่ยนแปลงไปเลย” ฉันหัวเราะเบาๆเพื่อระลึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อสี่ปีก่อน

"ฉันขอโทษด้วย ฉันไม่ถนัดในการใช้กล้ามเนื้อใบหน้าได้อย่างมีประสิทธิภาพนัก” ฉันคิดว่ามันน่ารักเมื่อเธอดันแก้มขึ้นและลงด้วยนิ้วของเธอเพื่อพยายามบังคับให้เธอแสดงสีหน้าที่แตกต่างกันออกมา

“บอกฉันเกี่ยวกับเรื่องนี้ได้มั้ย ฉันเริ่มคิดว่าคุณกำลังสวมหน้ากากอยู่เพราะใบหน้าของคุณมันเย็นชามาก” ฉันรู้สึกว่าเธอจ้องมองบนใบหน้าของฉันเมื่อฉันยิ้ม นั้นทำให้ฉันรู้สึกอึดอัดเล็กน้อย

“…ฉันจะฝึกฝนและทำมันให้ได้สักวัน” ทันใดนั้นเจ้าหญิงแคธลีนก็พยักหน้าให้ตัวเองในขณะที่ฉันสังเกตเห็นการแสดงออกของเธอดูมุ่งมั่นมากกว่าปกติ

“เห้อะ! ฉันไม่แน่ใจว่านี่เป็นสิ่งที่คุณสามารถฝึกฝนได้มั้ย แต่จำเอาไว้ว่าอย่าฝืนอารมณ์และปล่อยให้ใบหน้าเคลื่อนไหวไปในทางที่ต้องการตามความรู้สึกของคุณ เมื่อคุณรู้สึกเศร้าใบหน้าของคุณจะต้องขมวดคิ้ว เมื่อคุณมีความสุขใบหน้าของคุณก็จะอยากยิ้มตามธรรมชาติ แบบนี้!” ฉันแสดงอาการเกินจริงออกมาพร้อมกับการแสดงออกบนใบหน้าของฉันในขณะที่ฉันเปลี่ยนจากการขมวดคิ้วที่น่าเกลียดเป็นรอยยิ้มที่สดใสจนทำให้เธอหันไปจากฉันในทันที

อ๊ะ ฉันทำเกินไปหรือเปล่า?

มุมมองของแคธลีนเกลย์เดอร์:

ฉันไม่สามารถแสดงจุดอ่อนได้ ในฐานะเด็กผู้หญิงคนเดียวในราชวงศ์นอกเหนือจากแม่ของฉัน ฉันมีหน้าที่ต้องยืนหยัด เมื่อพวกผู้ชายเข้ามาหาฉันโดยหวังว่าจะได้รับความช่วยเหลือจากฉัน ฉันจะไม่แสดงความอ่อนแอใดๆที่จะให้พวกเขาสามารถใช้กับฉันได้ นั่นคือการต่อสู้ของฉัน

ฉันอ่านใจใครไม่ได้ก็จริงแต่ก็ไม่ยากที่จะเห็นว่าพวกผู้ชายทุกคนที่เข้ามาหาฉันทั้งที่อายุพอๆกันและที่มีอายุเยอะต่างก็มีแรงจูงใจที่ซ่อนเร้น เชื้อสายราชวงศ์ความสามารถที่ยอดเยี่ยมและรูปลักษณ์ทางกายภาพ ... สิ่งที่ทุกคนเชื่อว่าจะทำให้ชีวิตของพวกเขาง่ายขึ้นกลับเป็นกุญแจมือที่ปล้นอิสรภาพที่ฉันอยากจะได้

แต่ที่นี่ฉันดันอยู่เด็กผู้ชายที่มีอายุเท่าๆกันที่มีความสามารถมากกว่าฉันและเป็นที่ต้องการของหลายๆคน แต่เขาก็ยังดู... สดใส เขาเปล่งประกายด้วยความเฉลียวฉลาดจนทำให้ฉันอยากเป็นเหมือนเขา อะไรที่ทำให้เขาแตกต่างไปจากฉัน เขายังคงสามารถแสดงอารมณ์ได้อย่างอิสระโดยไม่กลัวว่าคนอื่นจะมองเขาอย่างไรได้ยังไง?

ฉันไม่สามารถควบคุมตัวเองไม่ให้หัวเราะออกมาได้ในขณะที่อาเธอร์เปลียนสีหน้าไปมาแบบนั้น เขาดูตลกและโง่เอามากๆ

ฉันปิดปากทันทีหลังจากหัวเราะคิกคักเพื่อที่จะซ่อนรอยยิ้ม

"เห็นไหม! มันไม่ได้ยากเลย!” รอยยิ้มที่ดูจะเกินจริงไปหน่อยของเขาเปลี่ยนเป็นความอ่อนโยนและมันก็ปลอบฉัน

“ฉันควรสอนเรื่องพวกนี้แทนการจัดการมานาใช่ไหมละ?” เขาหัวเราะอย่างเจ็บปวดขณะที่เขาเอนตัวลงไปลูบไล้พันธนาการที่เกาะอยู่ระหว่างขาของเขา

"นั้นทำให้ฉันนึกขึ้นได้ คาถากระสุนลมครั้งสุดท้ายที่คุณใช้ในการแสดงนั้นดูเหมือนกับการใช้เวทมนต์ของนักร่ายเวทย์เลย คุณทำมันได้อย่างไร? ฉันเองก็อยากรู้เหมือนกันว่าทำไมคุณถึงให้นักร่ายเวทย์พยายามดูดซับคาถากลับเข้าร่างพวกเขา ฉันไม่เคยได้ยินว่ามีนักร่ายเวยท์คนไหนที่ทำแบบนั้น” ฉันดำเนินต่อไปเหมือนเด็กที่ตื่นเต้นกับคำถามที่เต็มไปด้วยความคิดของฉันจนทำให้ฉันถึงกับอาย

"โว้ว! นั่นคือเหตุผลที่คุณตามฉันมาหรือ? นี่คือสิ่งที่คุณหวังใช่ไหม?” เขาเอนตัวหนีฉันด้วยความตกใจ

“ไม่! ไม่แน่นอน! นั่นไม่ใช่ความตั้งใจของฉัน!” ไม่นะ! ฉันไม่เหมือนกับพวกผู้ชายที่ตามตื้อฉันด้วยเหตุจูงใจ ฉันเห็นเขานั่งอยู่ตรงนั้นและอยากจะ ... เดี่ยวก่อนทำไมฉันถึงขอไปนั่งข้างๆเขาล่ะ?

หลังจากรู้ว่ามือของฉันได้สัมผัสกับแขนของเขาเล็กน้อยฉันเลยรีบดึงมันออกไปอย่างรวดเร็ว

“เหอฉันแค่ล้อเล่นนะเจ้าหญิง ฉันไม่แน่ใจว่าควรจะบอกคุณดีไหม มันคงไม่ยุติธรรมสำหรับฉันที่จะทำให้คุณได้เปรียบแบบนั้นใช่มั้ย?” เขาขยิบตาให้ฉันเล็กน้อยและมันทำให้หน้าอกของฉันรู้สึกหนักอึ้งในทันที ความรู้สึกเมื่อกี้มันคืออะไรกัน?

“ฉันเดาว่าคุณพูดถูก มันคงจะไม่ยุติธรรมที่จะตอบการบ้านที่คุณมอบหมายให้ฉัน” ฉันตอบอย่างเงียบๆ

“อืม…อืมฉันเดาว่าฉันสามารถบอกใบ้ให้กับเพื่อนสมาชิกคณะกรรมการวินัยได้นิดหน่อย ดูนี้นะ” ฉันมองเห็นเขาทำสมาธิในขณะที่เขายกมือทั้งสองข้างขึ้น

มือซ้ายของเขาเริ่มเรืองแสงเมื่อลมอ่อนๆ หมุนรอบๆมือของเขา สำหรับมือขวาของเขามีเพียงส่วนเล็กๆ ที่อยู่ตรงกลางฝ่ามือของเขาเท่านั้นที่เปล่งประกาย ลมที่พัดเข้าหามือนี้ไม่ได้ล้อมรอบมือของเขาทั้งหมด แต่หมุนวนเป็นทรงกลมเหนือฝ่ามือของเขา ด้วยการสะบัดข้อมือสั้นๆ เขายิงลมกระโชกเล็กๆ ในมือทั้งสองข้างไปข้างหน้า

ลมที่ล้อมรอบมือซ้ายของเขาหายไปหลังจากนั้นไม่กี่เมตร แต่ลมทรงกลมที่เขาเสกด้วยมือขวาของเขายิงออกไปไกลกว่าหลายเท่าก่อนจะสลายไปด้วยเสียง 'แป๊ะ' ที่นุ่มนวล!

“นี้เป็นคำใบ้สำหรับนักเสริมพลัง สำหรับสิ่งที่ฉันมอบหมายให้กับนักร่ายเวยท์ให้คิดย้อนกลับแทน” เขาลุกขึ้นขณะที่ฉันครุ่นคิดถึงสิ่งที่เขาเพิ่งทำไป

“ฉันจะไปแล้วละ บอกฉันได้เลยหากคุณต้องการบทเรียนเพิ่มเติมเกี่ยวกับการแสดงออกทางสีหน้า” เขาทำหน้าบึ้งเกินจริงให้ฉันแล้วยิ้มอย่างทะลึ่งๆให้จนฉันเกือบจะหัวเราะอีกครั้ง

“รอบนี้ ... คุณไม่ได้หัวเราะออกมา ว้าา...แย่จังเลย” เขาค่อยๆเดินออกไปโดยมีพันธนาการเดินอยู่ข้างๆเขา ฉันอดไม่ได้ที่จะรู้สึกว่างเปล่าเมื่อนั่งอยู่คนเดียวบนม้านั่งที่ตอนนี้ดูใหญ่เกินไปที่จะนั่งคนเดียว

มุมมองของอาเธอร์เลีย์วิน:

“นี้...ฉันได้ยินมาว่านายบาดเจ็บในวันแรกของการเรียนเลยหรือ นายสบายดีไหม?” แว่นตาหนาๆ ของเอมิลี่เลื่อนลงขณะที่เธอโน้มตัวมาทางฉันพร้อมกับกระซิบกลางชั้นเรียน เรากำลังเรียนรู้เกี่ยวกับส่วนประกอบพื้นฐานที่ประกอบขึ้นเป็นสิ่งประดิษฐ์ประเภทต่างๆ

ทันใดนั้นชอล์คชิ้นหนึ่งก็พุ่งตรงมาที่เอมิลี่และหายไปไหนสักแห่งบนหัวที่หยิกของเธอ

กิเดี้ยนไอเบาๆ มือของเขายังคงยื่นออกมาหลังจากโยนชอล์คใส่เธอ “คุณวัตสเคนได้โปรดบอกชั้นเรียนเกี่ยวกับส่วนประกอบต่างๆในสิ่งประดิษฐ์พื้นฐานที่ทำให้เกิดแสงที”

“สิ่งประดิษฐ์พื้นฐานในการผลิตแสงประกอบไปด้วยคริสตัลพื้นฐานและฟลอเรไนต์ ซึ่งพบได้มากมายใกล้กับเขตชานเมืองเซปินและในราชอาณาจักรดาร์ฟด้วย หลังจากที่ฟลอเรไนต์ได้รับการขัดเกลาแล้วมันจะปล่อยแสงสลัวออกมาอย่างต่อเนื่องเพื่อควบคุมผลผลิตของแร่…”

“โอเคพอแค่นั้น ฉันแค่ถามเกี่ยวกับวัสดุ” กิเดี้ยนบ่นบางอย่างใต้ลมหายใจขณะที่เขาตัดคำอธิบายของเอมิลี่ออกไป

เธอยักไหล่เบาๆแล้วหยิบกระดาษออกมาเขียนในขณะที่เธอพยายามอย่างไร้ประโยชน์ที่จะเอาเศษชอล์กที่ฝังลึกลงไปในเส้นผมของเธอออก

เราแลกเปลี่ยนโน็ตกันเล็กน้อยเขียนถึงกันถึงสิ่งที่เกิดขึ้น ฉันพยายามอ่านรายละเอียดแต่ดูเหมือนว่าเธอจะจับใจความไม่ได้จริงๆ

ในที่สุดเนื่องจากการขาดรายละเอียดจากฝั่งของฉันเธอจึงไม่สามารถปะติดปะต่ออะไรเข้าด้วยกันได้ทำให้เธอหงุดหงิดและอยากรู้อยากเห็นมากขึ้น

“มีอะไรบางอย่างดูเหมือนจะหายไป…” เธอมองฉันขณะที่เราออกจากชั้นเรียนหลังจากเก็บข้าวของ สำหรับการบ้านเราได้รับมอบหมายมินิโปรเจ็กต์บางอย่างที่เราต้องประกอบสิ่งประดิษฐ์ที่ผลิตแสงหรือ 'สปผส' สั้น ๆ (สิ่งประดิษฐ์ที่ผลิตแสง)

“เธอกำลังคิดมากน่าเอมิลี่ ฉันกังวลเกี่ยวกับโครงงานที่กิเดี้ยนมอบหมายให้เรามากกว่า ฉันตามไม่ทันหลังจากหยุดเรียนไปในสัปดาห์แรก” นี่เป็นเรื่องจริง จริงๆแล้วความสามารถในการคิดเชิงวิเคราะห์ของฉันและความรู้ที่คลุมเครือเกี่ยวกับเทคโนโลยีในอดีตทำให้ฉันสามารถปะติดปะต่อและทำความเข้าใจได้มากกว่าพวกนักเรียนปีแรกได้ซะส่วนใหญ่ แต่ทุกคนต่างก็บ่นว่าคลาสนี้เป็นหนึ่งในคลาสที่ยากที่สุดของพวกเขาโดยปล่อยให้กิเดี้ยนจอมพิสดารคนนั้นสอนคลาสพื้นฐานแต่มันกลับยากขึ้นเกินหลายระดับของคำว่าพื้นฐาน

“ช่างเถอะฉันมี สปผส อยู่สองสามอันที่นอนนิ่งอยู่ในหอพักของฉันอยู่แล้ว เราเอาไปใช้ได้เลย” เธอปรับกระเป๋าเป้ขนาดใหญ่ของเธอแล้วเราก็มุ่งหน้าไปทานอาหารกลางวัน

“ว้าว…เธอคงจะได้ท๊อปในชั้นเรียนนี้ทั้งๆที่หลับอยู่ได้เลย” ฉันส่ายหัวขณะหยิบถาดและคว้าอาหาร

“คยู!” "เอาเนื้อมาเพิ่มด้วยนะปาป๊า!" ซิลวีกระโดดขึ้นมาบนหัวของฉันและเริ่มประท้วงเมื่อเธอเห็นฉันหยิบผักขึ้นมา

"โอเคโอเค" ฉันกลับไปหยิบเนื้อขึ้นมาอีกสองสามชิ้นเมื่อเอมิลี่มองมาที่ฉันด้วยสีหน้าแปลกๆ บนใบหน้าของเธอ

“นายเข้าใจสิ่งที่เธอพูดกับนายหรือ?” เธอยกแว่นขึ้นในขณะที่เธอเงยหน้าขึ้นมองซิลวี

“พวกที่ทำสัญญากับสัตว์มานาก็ทำได้ไม่ใช่หรือ?” ฉันถาม

“ไม่ไม่จริงเลย พวกเขาสามารถเข้าใจอารมณ์ได้ในระดับหนึ่ง แต่ไม่ใช่ ... ทางวาจา” ดวงตาของเธอหรี่ลงขณะที่เธอมองซิลวีใกล้ ๆ

ฉันเอานิ้วแตะหน้าผากเธอและดันหัวกลับไป "นั่นคือสิ่งที่ฉันหมายถึง ฉันรู้สึกได้ว่าเธอกำลังบ่นและฉันก็สรุปได้ว่าเป็นเพราะฉันเลือกที่จะตักผัก เธอกำลังคิดมากเกินไปแล้วนะเอมิลี่”

“ใช่ฉันเดาว่านายพูดถูก เธอน่ารักดีนะ” เธอเพียงแค่ยักไหล่และหยิบอาหารเพิ่มเติมสำหรับตัวเอง

"อา! อยู่นี้เองอาร์ต! ผู้อำนวยการกู๊ดสกี้ต้องการที่จะ…โอ้สวัสดี” อาไลจาห์หยุดพูดในขณะที่เขารู้ว่าฉันอยู่กับเพื่อน

“เฮ้ อาไลจาห์นี่คือเอมิลี่ เอมิลี่นี้อาไลจาห์” ฉันพูดทั้งที่ปากเต็มไปด้วยเนื้อตุ๋นทั้งชิ้น

"ยินดีที่ได้รู้จัก! เอมิลี่ยิ้มและยื่นมือที่ไม่ได้ถือถาดอาหารออกมา

“ยินดีที่ได้รู้จักเช่นกัน” อาไลจาห์ตอบขณะที่เขาจับมือของเธอด้วยความอยากรู้อยากเห็นบนใบหน้าของเขา “อย่างไรก็ตามอาร์ต นายต้อง…เอ่อ…ตรงไปที่ห้องฝึกอบรมของผู้อำนวยการกู๊ดสกี้จำได้ไหม?” เขาทำท่าทางให้ฉันดูและส่งสัญญาณว่ามันเป็นเรื่องเร่งด่วน

“โอ้…เดี๋ยวก่อนตอนนี้เลยหรือ?” ฉันมองไปที่อาหารของฉัน

"ใช่ตอนนี้เลย” เขาผลักฉันไปทางประตูเบาๆ ในขณะที่ฉันพยายามยัดอาหารให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ซิลวีกวาดเนื้อส่วนใหญ่ด้วยลิ้นของเธอขณะที่เราวางถาดไว้ข้างๆกับถังขยะ

“พวกนายทั้งคู่น่าจะทำความคุ้นเคยกันไว้บ้างนะ! ฉันจะขอออกไปก่อนละ!” ฉันโบกมือให้เพื่อนของฉันขณะที่พวกเขาโบกมือกลับ

ฉันจำได้ว่าผู้อำนวยการกู๊ดสกี้บอกฉันว่าห้องฝึกส่วนตัวของฉันจะอยู่ตรงไหนในขณะที่ฉันอยู่ในห้องพยาบาล ความหนาแน่นของมานานั้นมีสูงกว่าทุกที่มากจึงทำให้ง่ายต่อการฝึก

“ฉันสงสัยว่าผู้อำนวยการกู๊ดสกี้ต้องการอะไรหรือฉันควรจะเล่าเรื่องในชั้นเรียนของวันนี้ให้เธอฟัง” ฉันไม่ได้พูดกับใครเป็นพิเศษแต่เป็นซิลวีและฉันก็เดินไปที่ห้อง

ห้องทั้งหมดนั้นอยู่ใต้ห้องสมุดซึ่งมีเจ้าหน้าที่คอยนำทาง โดยปกติแล้วนักเรียนรุ้นพี่จะได้รับอนุญาตให้ใช้ห้องได้สองสามชั่วโมงเพื่อฝึกอบรม แต่ฉันโชคดีที่มีห้องส่วนตัวเป็นของตัวเองเลย

มีทางเข้าสองทางในอาคารห้องสมุด: ทางหนึ่งไปยังห้องสมุดจริงๆส่วนอีกทางหนึ่งไปยังห้องรับแขกให้นักเรียนได้รอคิวและใช้สิ่งอำนวยความสะดวกหรือการฝึก เมื่อเปิดทางเข้าสู่ห้องรับแขกฉันได้เดินผ่านรุ้นพี่บางคนอย่างช้าๆก่อนจะมาถึงแผนกต้อนรับ “สวัสดีผมชื่ออาเธอร์เลย์วิน” ฉันไม่รู้แน่ชัดว่าผู้อำนวยการกู๊ดสกี้ต้องการอะไรดังนั้นฉันจึงหวังว่าผู้หญิงที่แผนกต้อนรับจะรู้ว่าต้องทำอะไรเมื่อฉันบอกชื่อของฉันให้กับเธอ

“อ๊ะใช่! วันนี้คุณมาที่ห้องนี้เป็นครั้งแรกใช่ไหม?” ผู้หญิงคนนั้นสวมชุดสูทที่ปราณีตมาก มันทำให้ฉันนึกถึงเจ้าหน้าที่อำนวยความสะดวกที่โรงแรมสุดหรูบางแห่ง

"ใช่" ฉันพยักหน้าตอบขณะที่เธอก้มลงและเปิดลิ้นชัก

“กรุณาวางฝ่ามือทั้งสองของคุณลงบนหินนี้ ตรวจสอบให้แน่ใจว่าปลายนิ้วของคุณแนบมันทั้งหมด” ในมือทั้งสองข้างเธอถือแท็บเล็ตแบนๆที่มีจารึกต่างๆฝังอยู่

เมื่อทำตามที่บอกฉันก็รู้สึกชาไปชั่วครู่ มันกระจายไปทั่วมือขณะที่เธอเปิดใช้งานแท็บเล็ต

“เรียบร้อย! ฉันจะพาคุณไปที่ห้องของคุณ ได้โปรดตามฉันมา” เธอนำฉันไปที่ห้องด้านหลังซึ่งมีชายที่มีรอยแผลเป็นและสูงประมาณสองเมตรถือหอกเฝ้าประตู ส่วนพนักงานต้อนรับได้พาฉันเดินต่อไปข้างหน้า

ห้องที่ชายผู้มีแผลเป็นเฝ้าอยู่นั้นแท้จริงแล้วเป็นลิฟต์ที่ประกอบเข้าด้วยกันโดยเฟืองต่างๆซึ่งฉันคิดว่ามันขับเคลื่อนโดยแกนมานาหรือแร่ที่สร้างมานาต่างๆ

"ว้าว นี่เป็นครั้งแรกของฉันที่ได้นั่งอะไรแบบนี้” ฉันพูดด้วยความกลัวชวนให้นึกถึงครั้งสุดท้ายที่ฉันได้ขึ้นลิฟต์

“หุหุ ใช่แล้วละของพวกนี้มีอยู่ไม่มาก กิเดี้ยนนักประดิษฐ์อัจฉริยะซึ่งปัจจุบันเป็นศาสตราจารย์อยู่ที่นี่ได้สร้างอุปกรณ์นี้ขึ้นมา ฉันแน่ใจว่าคุณต้องเคยได้ยินชื่อของเขาบ้าง?” เธอกล่าวขณะที่ชื่นชมลิฟต์

“มากกว่าแค่เคยได้ยินเกี่ยวกับเรื่องของเขา จริงๆแล้วเขาเป็นหนึ่งในอาจารย์ของฉันด้วย ด้วยวิธีที่เขาสอนในชั้นเรียนฉันหวังว่าเขาไม่น่าเป็นอัจฉริยะเลย” ฉันขยิบตาให้เธอทำให้เธอหัวเราะคิกคัก

“เรามาถึงแล้ว! อย่าลืมวิธีที่จะเข้าไปที่ห้องของคุณด้วยนะ ฉันได้ลงทะเบียนให้แล้ว คุณจึงสามารถเข้ามาได้ทุกเมื่อที่คุณต้องการ” เธอกล่าวขณะนำทางฉันผ่านห้องโถง

“แล้วชายที่มีแผลเป็นน่ากลัวคนนั้นจะไม่หยุดฉันเหรอ?” ฉันถามพร้อมกับชี้ขึ้นด้วยดาบที่ยังอยู่ในฝัก

“โฮโฮไม่ เขาจะไม่หยุดคุณ อา...! เรามาถึงแล้ว” เรามาถึงจุดสิ้นสุดของห้องโถงซึ่งมีประตูบานคู่ขนาดใหญ่ที่ไม่มีที่จับใดๆ

“ประตูนี้ดูแตกต่างจากประตูอื่นๆหมดเลยนะ” ฉันหันหัวไปมาเพื่อเปรียบเทียบ

"ใช่แล้ว ผู้อำนวยการกู๊ดสกี้ดูเหมือนจะให้ความสำคัญกับการฝึกของคุณอยู่ไม่น้อย” เธอยิ้มให้ฉันอย่างมีเสน่ห์

“ถึงกระนั้นเธอก็ไม่รู้สึกกังวลที่จะไม่ประกาศให้ชั้นเรียนรู้ว่าศาสตราจารย์คนใหม่ของพวกเขาคือใคร” ฉันพึมพำในใจ

"คุณว่าอะไรนะค่ะ?" หญิงสาวเอียงศีรษะด้วยความสับสน

"ไม่มีอะไรไร แล้วฉันจะเปิดสิ่งนี้ได้ยังไง?” ฉันตอบในขณะที่ซิลวี่กระโดดลงจากหัวและกระโดดเข้าที่หน้าประตูบานคู่อย่างตื่นเต้น

“ถ้าคุณวางฝ่ามือข้างใดข้างหนึ่งไว้กับประตูมันจะเปิดโดยอัตโนมัติ หากคุณต้องการความช่วยเหลืออื่นๆเพิ่มเติมมีอุปกรณ์สื่อสารอยู่ด้านในซึ่งคุณสามารถติดต่อฉันได้ ถ้าคุณหิวฉันสามารถสั่งอาหารมาให้คุณได้” เธอโค้งคำนับแล้วรอให้ฉันเปิดประตู

"ขอบคุณ คุณชื่ออะไร?” ฉันหันศีรษะของฉันและยกมือขึ้นพร้อมที่จะเปิดประตู

“โปรดเรียกฉันว่าโคลอี้ ฉันขอให้คุณฝึกซ้อมและได้รับประสิทธิผล” เธอกล่าวโดยศีรษะของเธอยังคงก้มลง

“เข้าใจแล้ว ขอขอบคุณอีกครั้งนะโคลอี้” ฉันหันหลังกลับและวางมือขวาไว้ที่ประตูบานคู่ ด้วยเสียงดังที่คล้ายกับเครื่องยนต์บริเวณที่ฉันวางฝ่ามือของฉันลงไปก็เปล่งแสงออกมาขณะที่แสงไฟแตกแขนงออกไป ในที่สุดแสงก็หรี่ลงและประตูก็เลื่อนเปิดออกเพื่อเผยให้เห็นห้องที่ต่างจากที่ฉันจินตนาการไว้มาก

ฉันหันหลังกลับไปแต่โคลอี้ได้หายไปแล้ว ซิลวีวิ่งเข้าไปก่อนที่ฉันจะก้าวไปข้างหน้าและเมื่อฉันมองเข้าไปในห้อง จู่ๆแสงสว่างที่ต่างจากห้องโถงที่มืดสลัวก็สาดตาจนทำให้ฉันต้องเหล่มอง การมองเห็นของฉันได้ปรับตัวในไม่ช้าและเมื่อฉันลดมือลงดวงตาของฉันก็เห็นร่างที่คุ้นเคยกำลังอยู่ไม่เป็นสุขเพราะซิลวีกำลังเกาะขาของเธอ

ฉันไม่รู้ว่ามันมาจากความสว่างประกายภายในห้องหรือความจริงที่ว่าห้องนี้ดูเหมือนสิ่งมหัศจรรย์ทางธรรมชาติมากกว่าโรงฝึก แต่เพื่อนสมัยเด็กของฉันนั้นดูน่าทึ่งมาก เทสที่ใช้แก้มกับไหล่ของเธอถูตัวของซิลวีและยืนอยู่ตรงหน้าฉันโดยสวมเสื้อคลุมฝึกซ้อมสีขาวที่หลวมมาก

“ฮะ...หวัดดี” เทสพูดพร้อมกับก้มหัวลงแต่เงยดวงตาของเธอมาที่ฉัน

ฉันก้าวไปข้างหน้าขณะที่ประตูที่อยู่ข้างหลังของฉันปิดเอง พื้นที่ถูกปูด้วยหญ้าและมีสระน้ำที่ค่อนข้างใหญ่พร้อมน้ำตกด้วย ก้อนหินและต้นไม้ขนาดใหญ่ล้อมรอบเราทำให้ฉันรู้สึกราวกับว่านี่คือความฝัน เมื่อหลุดจากความงุนงงชั่วขณะฉันเกาหัวด้วยมือที่ไม่ได้ถือดอนบัลลาด

“เฮ้เทส” ฉันยิ้มให้เธออย่างน่าอึดอัด

“เอออ..เรามาเริ่มกันเลยดีไหม?” เทสวางซิลวี่ลงกับพื้นก่อนที่เธอจะเริ่มถอดเสื้อคลุมออกอย่างเขินๆ

“ดะ..เดี๋ยวก่อน? เริ่มอะไร!!” ฉันเกือบจะสะดุดไปข้างหลังเมื่อเห็นไหล่ที่เปลือยเปล่าของเธอ

“การดูดซึมยังไงละ! คุณปู่บอกฉันว่ามันจะได้ผลดีกว่าถ้าหากนายช่วยฉันดูดซึมด้วยร่างที่เปลือยเปล่า!” ใบหน้าของเธอเป็นสีแดงสดเมื่อฉันรู้ว่าหน้าอกของเธอถูกปิดด้วยเพียงผ้าก๊อซ

ใช่แล้ว…การดูดซึม…

เดี๋ยว อะไรนะ?

ไอ้คุณปู่!! ปู่กำลังให้หลานสาวของปู่ทำอะไรนะ?!

“ปูบอกเธอว่าอะไรนะ? เออจริงๆแล้วเธอไม่จำเป็นต้องถอดเสื้อผ้าหรอกนะ บ้าเอ้ย! เขาแกล้งเธอเล่นนะ!” ฉันเอามือปิดตา

ใจเย็นๆนะอาเธอร์ เธอเพิ่งอายุ13ปี การจ้องมองเธอแบบนี้มันเป็นอาชญากรรมนะ!

“งะ..เงียบไปเลย! ฉันจะปะ..ไปรู้ได้ยัง…” เทสล้มคุกเข่าลงก่อนที่เธอจะยิบเสื้อคลุมขึ้นมาอีกครั้ง

ฉันทำให้เร็วที่สุดเท่าที่ร่างกายที่บาดเจ็บจะปล่อยให้ฉันทำโดยใส่ดอนบัลลาดกลับเข้าไปในวงแหวนมิติของฉัน ฉันคุกเข่าลงข้างๆเธอและวางฝ่ามือไว้บนหลังที่อบอุ่นและซีดของเธอ เสื้อคลุมของเธอร่นลงและเผยให้เห็นทุกอย่างตั้งแต่ช่วงเอวขึ้นไปยกเว้นหน้าอกและหลังส่วนหนึ่งซึ่งมีผ้าก๊อซปิดไว้ ในขณะที่ฉันรู้สึกว่าร่างกายของเธอสั่นสะท้านด้วยความเจ็บปวดฉันก็อดไม่ได้ที่จะสังเกตเห็นว่าเธอดูอ่อนแอแค่ไหน ฉันเดาว่าเป็นเพราะฉันรู้ว่าเธอแข็งแกร่งแค่ไหนฉันเลยลืมไปว่าเธอยังเป็นเพียงแค่เด็กสาว - อย่างน้อยก็ทางร่างกาย

ฉันปลดผนึกข้อมือของฉันและใช้มานาเสริมเข้าไปในร่างของเพื่อนสมัยเด็กของฉัน โดยใช้ทั้งสี่องค์ประกอบฉันควบคุมมานาให้กระจายไปทั่วร่างกายของเธอเพื่อที่จะต่อต้านมานาที่มาจากเจตจำนงของผู้พิทักษ์เอ็ลเดอร์วูดส์ สิ่งที่ปู่ทำให้ฉันในขณะที่ฉันกำลังดูดซึมเป็นเพียงการบรรเทาความเจ็บปวดของฉัน แต่ด้วยการใช้ส่วนผสมที่สมดุลของมานาจากทั้งสี่องค์ประกอบฉันจะสามารถช่วยทำให้ร่างกายของเธอต่อสู้กับเจตจำนงได้

ฉันไม่เคยทดสอบสิ่งนี้มาก่อนแต่มันเป็นไปตามหลักการเดียวกันกับที่ฉันใช้เพื่อช่วยปลุกลิเลียและน้องสาวของฉัน

อาการหายใจติดๆขัดๆของเธอสงบลงในไม่ช้า อาการสั่นของเธอหายไปในขณะที่เธอถอนหายใจด้วยความโล่งใจ ขณะที่ฉันค่อยๆยกเสื้อคลุมของเธอเพื่อที่จะคลุมร่างที่อ่อนแอของเธอฉันก็เดินไปที่บ่อน้ำและเอาน้ำเย็นๆ สาดใบหน้าของฉัน

ฉันต้องสงบสติอารมณ์

หลังจากนั้นครู่หนึ่งฉันก็รู้สึกว่าหัวใจได้เต้นช้าลง แต่มีปฏิกิริยาอีกครั้งเมื่อฉันได้ยินว่าเทสกำลังเดินมาหาฉันโดยมีซิลวีที่วิ่งเหยาะๆตามมาข้างหลังเธอ

เธอนั่งลงอยู่ข้างๆฉัน เธอจ้องมาที่ฉันด้วยใบหน้าที่เขิลอายและอ่อนล้าแต่ก็ยังคงเป็นประกายราวกับว่าเธอต้องการจะพูดอะไรบางอย่าง หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่งเธอก็พูดกับฉันด้วยน้ำเสียงหนักแน่น

“อาร์ตฉันมีเรื่องสำคัญที่จะขอคุยด้วยได้ไหม?”

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด