ตอนที่แล้วบทที่ 58 ความรู้สึกและความทรงจำเก่าๆ
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 60 การเผชิญหน้า

บทที่ 59 วันแรกในการทำงาน


“เอาละ…ค่อยๆนะนั้นแหละ” อาไลจาห์พยุงฉันไว้ เป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์แล้วที่ฉันได้รับบาดเจ็บและนับตั้งแต่ครั้งสุดท้ายที่ฉันได้เดิน แม้จะมีมานาไหลเวียนไปทั่วร่างกายและทำให้แขนขาแข็งแรงขึ้น แต่ฉันก็ยังรู้สึกค่อนข้างเฉื่อยชา

“คยู…” ซิลวีมองฉันด้วยใบหน้าที่เป็นห่วงที่เธอมีสำหรับสัตว์มานาที่หน้าตาเหมือนสุนัขจิ้งจอก เธอเดินมาอยู่ข้างๆฉันแทนที่จะนอนขดตัวอยู่บนหัวฉันกลัวว่าฉันจะไม่สามารถพยุงตัวเธอขึ้นมาได้

อาไลจาห์มาที่ห้องพยาบาลเพื่อมาเยี่ยมฉันทันทีที่คาบเรียนแรกของเขาสิ้นสุดลง ฉันจะเริ่มต้นวันใหม่ในฐานะศาสตราจารย์สำหรับชั้นเรียนการจัดการมานาเชิงปฏิบัติและฉันก็ไม่ได้รู้สึกกระตือรือร้นเมื่ออยู่ในสถานะปัจจุบันของฉัน เมื่อขาของฉันก้าวออกไปทุกๆสองสามก้าวหลังและข้างของฉันรู้สึกเหมือนมันกำลังจะไหม้ ฉันแทบไม่มีแรงที่จะเดินไปชั้นเรียนได้นับประสาอะไรกับการสอน

หลังจากเริ่มชินกับการเดินอย่างช้าๆฉันหยุดพิงอาไลจาห์เพื่อพยุงตัวและใช้ดอนบัลลาดให้เป็นไม้เท้าของฉัน ฉันอดไม่ได้ที่จะหัวเราะเบาๆด้วยอารมณ์ประชด ฉันจำได้ว่าฉันเคยคิดว่าดาบเล่มนี้ไม่มีอะไรมากไปกว่าไม้เท้า ในความเป็นจริงมันเป็นดาบประเมินค่าไม่ได้ ฉันส่ายหัวเมื่อข้อสันนิษฐานของฉันในตอนนั้นสามารถคาดเดาได้ถึงสถานการณ์ในปัจจุบันของฉัน

อาไลจาห์พันด้ามจับและปลอกด้วยผ้าพันแผลสีขาวเพื่อความสบายตัวของฉันและเพื่อความปลอดภัยจากสายตาที่น่าสงสัย นี่ฉันอายุสิบสองปีและจำเป็นต้องใช้ไม้เท้าเพื่อพยุงตัวเองไม่ให้ล้ม

“นายไปเองไหวไหม? อย่างน้อยฉันน่าจะอยู่ช่วยนายในระหว่างชั้นเรียนของวันนี้นะว่าไง?” ใบหน้าของอาไลจาห์เหี่ยวย่นด้วยความกังวลขณะที่เขาเข้ามาใกล้ฉันพร้อมที่จะจับฉันถ้าฉันสะดุดล้ม

“ฉันเอาอยู่น่า” ฉันไม่มีความมั่นใจที่จะบอกว่าฉันจะไม่ล้มลง แต่ฉันไม่ต้องการให้อาไลจาห์อยู่เคียงข้างฉันตลอดเวลา

เมื่อเรามาถึงหน้าห้องเรียนคิ้วของอาไลจาห์ยังคงขมวดอยู่ใต้แว่นตาของเขาและฉันรู้ว่าเขาลังเลที่จะปล่อยฉันไปสอนด้วยตัวของฉันเอง

“อาเธอร์ ให้ฉันช่วยนายดีกว่า”

ฉันหันหน้าไปรอบๆและเห็นเจ้าหญิงแคธลีนวิ่งเข้ามาหาฉันจากกลุ่มเพื่อนๆของเธอ เธอโอบแขนไว้รอบเอวของฉันโดยไม่ให้โอกาสฉันได้ตอบสนองในขณะที่เธอเอาตัวเข้าไปที่ใต้แขนข้างที่ว่างของฉันและประคองเพื่อที่ฉันจะไม่ต้องใช้ไม้เท้า...ไม่สิดาบของฉันเป็นตัวพยุง

“เอ่อ…โอเคขอบใจมากนะ” ฉันยักไหล่ให้อาไลจาห์ที่ยืนอ้าปากค้าง เขาชูสองนิ้วขึ้นมาในขณะที่เขาพูดคำว่า ‘เจ้าหญิงทั้งสอง’ แต่ฉันก็ส่ายหัวและหันกลับไปเพื่อเดินเข้าไปในห้องของฉัน

“ฉันได้ยินมาว่าศาสตราจารย์คนใหม่ของเรากำลังจะมาสอนในวันนี้!”

"จริงๆเหรอ? ฉันชอบศาสตราจารย์กลอรี่อยู่นะ”

“ใครๆ ก็น่าจะเก่งกว่าศาสตราจารย์ไกสใช่ไหม?”

“ใครจะไปรู้ เราอาจจะได้เจอกับพวกตัวประหลาดที่อันตรายยิ่งกว่าก็ได้”

“เฮ้นั้นมันเจ้าหน้าที่คณะกรรมการวินัยที่เอาชนะไกสไม่ใช่เหรอ?”

“ทำไมเขาถึงต้องเดินกะเผลก?”

การพูดคุยต่างๆของนักเรียนเปลี่ยนไปเป็นการบ่นเกี่ยวกับตัวฉันทันทีที่ฉันเดินเข้ามา

“ตอนนี้ผมดีขึ้นมากแล้วนะครับเจ้าหญิงแคธลีน ขอบคุณมาก” ฉันปลดแขนออกจากไหล่ของเธอ

“แต่เธอยังต้องการความช่วยเหลือในการขึ้นบันได…” ใบหน้าที่ไร้ความรู้สึกของเธอกลับไม่ตรงกับความกังวลในน้ำเสียงของเธอเลย ฉันแค่ส่ายหัวและทำท่าทางให้เธอไปก่อน

ซิลวีเดินตามมาใกล้ๆ ขณะที่ฉันเดินไปที่กลางห้องแล้วกระโดดขึ้นไปบนโพเดียมที่เคลื่อนย้ายได้ซึ่งวางอยู่ตรงกลางสนามขนาดเล็ก

“เหอะ…” ฉันหายใจเข้าลึกๆ อย่างโล่งอกขณะที่ฉันทิ้งน้ำหนักทั้งหมดลงบนโพเดียมที่สูงเกินไปสำหรับความสูงของฉัน

เมื่อมองขึ้นไปและเห็นเฟย์ริธนั่งที่อยู่โต๊ะด้วยสีหน้าสงสัย ทันทีที่แคธลีนไปถึงโต๊ะของเธอฉันก็เห็นเธอหันมองไปมาและพยายามมองหาฉัน เธอมองฉันอย่างงงๆ เมื่อเธอรู้ว่าฉันไม่ได้ขึ้นบันไดไปกับเธอแต่กลับเดินไปที่กลางห้องแทน

ในเวลานี้การสนทนาระหว่างเพื่อนร่วมชั้นที่กำลังพูดถึงตัวฉันค่อยๆลดน้อยลงเนื่องจากนักเวทย์เฟรชชี่พวกนี้เริ่มสงสัยว่าฉันกำลังทำอะไรอยู่ที่โพเดียมของศาสตราจารย์

“ฉันไม่แน่ใจว่าพวกคุณกี่คนกันที่รู้จักชื่อของฉัน แต่ฉันเชื่อว่าอย่างน้อยพวกคุณส่วนใหญ่ก็น่าจะรู้ว่าฉันเป็นใคร ฉันชื่ออาเธอร์เลย์วินเป็นกรรมการวินัยเป็นลูกชายคนเดียวของสองนักเวทย์ที่ยอดเยี่ยมเป็นพี่ชายคนโตและศาสตราจารย์คนใหม่ของพวกคุณ ยินดีที่ได้รู้จัก”

ฉันนับถอยหลังอยู่ในหัวของฉัน ฉันคาดการณ์ว่าชั้นเรียนจะปะทุขึ้นเมื่อใด เกือบจะในเวลาเดียวกันนักเรียนในห้องเรียนยืนขึ้นด้วยความไม่เชื่อและบางคนก็โกรธขณะที่พวกเขาตะโกนให้หยุดล้อเล่นและกลับไปที่ที่นั่งของฉันได้แล้ว

“นายคาดหวังให้พวกเราเชื่อว่าเด็กอย่างนายจะเป็นศาสตราจารย์คนใหม่ของพวกเราหรือ?” หนึ่งในนักเรียนปีที่สองอุทาน

“เลิกบ้าแล้วกลับมาที่นี่ได้แล้ว! นายคิดว่านายเป็นใครกัน?” หนึ่งในนักเรียนปีแรกที่ตัวเตี้ยๆ ตะคอก

ฉันปล่อยลมหายใจที่เจ็บปวดออกมาในขณะที่ฉันคลายความคิดที่จะสอนชั้นเรียนนี้ได้ไหมในขณะที่ป่วย

เรื่องนี้จะง่ายกว่ามากถ้าศาสตราจารย์กลอรี่หรือผู้อำนวยการกู๊ดสกี้บอกให้ชั้นเรียนรู้ว่าฉันจะมาสอนก่อน อย่างน้อยเธอควรให้เอกสารอย่างเป็นทางการเพื่อพิสูจน์ว่าฉันเป็นศาสตราจารย์คนใหม่ แต่เมื่อรู้จักเธอดีฉันก็อดสงสัยไม่ได้ว่าผู้อำนวยการกู้ดสกี้ทำสิ่งนี้โดยเจตนาหรือไม่

อย่างน้อยดูเหมือนว่าเธอน่าจะทำอะไรเช่นนั้น

“อืม…พวกนายจะเชื่อฉันไหมถ้าฉันบอกว่าผู้อำนวยการกู๊ดสกี้แต่งตั้งให้ฉันเป็นศาสตราจารย์ในชั้นเรียนนี้ตลอดภาคการศึกษาที่เหลือ”

“เอาดีๆ!”

“หยุดล้อเล่นได้แล้ว!”

"เงียบไปเลย!"

การประท้วงดังขึ้นอีกครั้งเมื่อนักเรียนเริ่มพาล

เมื่อมองไปที่เพื่อนร่วมคณะของฉัน ฉันสามารถเห็นใบหน้าที่คมชัดของเฟย์ริธซึ่งเต็มไปด้วยความไม่เชื่อและความสงสัยในขณะที่แคธลินแสดงสีหน้างงงวย

“อย่าอวดดีเพียงเพราะเอานายชนะศาสตราจารย์แก่ได้นะ! นายคิดว่านายจะชนะได้ไหมถ้าเจ้าหญิงแคธลีนและเฟย์ริธไม่ทำให้เขาเหนือยก่อนนะ” นักเรียนปีที่สองกระโดดลงมาและลงบนเวทีพร้อมกับส่งเสียงดัง

นักเรียนคนนี้มีรูปร่างที่ค่อนข้างใหญ่และเมื่อพิจารณาจากการไหลเวียนของมานาที่ไม่ดีนักในร่างกายของเขาแล้ว เขาอาจอยู่ในระดับที่สามารถเพิ่มพลังร่างกายได้เพียงบางส่วนเท่านั้น

เขาก้าวยาวๆ มาหาฉันเตรียมจะพาฉันลงจากเวที เฟย์ริธลุกขึ้นยืนพร้อมที่จะกระโดดขึ้นไปบนเวทีเพื่อที่จะหยุดเจ้าตัวโตคนนั้นแต่ฉันแค่ส่ายหัวใส่เขา

เขาเข้าใจผิดในการส่ายหัวของฉันว่าเป็นการเยาะเย้ยเขาจึงคำราม “นายกล้าดียังไงมาส่ายหัวใส่ฉัน? นายคิดว่านายเป็นใครกัน?”

นักเรียนครึ่งห้องรู้สึกประหม่าเล็กน้อยและไม่อยากจมอยู่กับดราม่าระหว่างชั้นเรียนในขณะที่อีกครึ่งหนึ่งกำลังเชียร์นักเรียนที่ทำตัวเป็นสัตส์เดรัจฉานคนนี้

เมื่อจ้องมองกลับลงไปที่ชายที่กำลังเดินเข้ามาหาฉัน ฉันพูดออกมาคำเดียว

"นั่งลง"

ทันใดนั้นเขาก็ถูกถล่มด้วยมานาจำนวนมาก นักเรียนตัวใหญ่ล้มลงก้นจ้ำเบ้าที่แรงมากพอที่จะทำให้เวทีสั่นไหวเล็กน้อย

ทั้งห้องเงียบกริบเมื่อฉันเดินไปหานักเรียนที่สับสนและอายที่นั่งลงตัวตรงอยู่ตรงนั้น ฉันยืนอยู่หน้าเขาฉันนิ่งเงียบและให้เวลาเขาสักครู่เพื่อปล่อยให้มันจมลงไปในสมองของเขาว่าเขาอยู่ในตำแหน่งใด

“ผู้อำนวยการกู๊ดสกี้ไม่ได้ใส่ใจจะออกเอกสารอย่างเป็นทางการใดๆ เพื่อเป็นการพิสูจน์ แต่จะชอบหรือไม่ฉันก็จะสอนชั้นเรียนนี้”

ฉันก้าวข้ามนักเรียนและเดินไปอีกด้านหนึ่งของห้องที่เงียบงัน

“ถ้าพวกคุณมีปัญหากับเรื่องนี้พวกคุณสามารถท้าประลองกับสุนัขจิ้งจอกตัวน้อยที่น่ารักตัวนี้ได้ที่นี่ แต่ฉันรับรองว่าเธอจะทำให้ทุกคนล้มเช็ดพื้นได้อย่างง่ายดาย” ฉันอุ้มซิลวี่ไว้ใต้รักแร้ของเธอและแสดงให้ทั้งชั้นเรียนเห็น

นักเรียนมองหน้ากันอย่างไม่แน่ใจว่าจะทำอย่างไรดีฉันจึงพูดต่อ “สำหรับคนที่ไม่ต้องการจะเรียนฉันจะไม่ว่าอะไรแล้วออกไปได้ - อันที่จริงฉันจะอนุญาตให้คนที่ไม่สนใจที่จะเรียนต่อได้เข้าไปเรียนในคลาสอื่นที่พวกคุณเลือก อย่างไรก็ตามหากมีใครที่อยากรู้อยากเห็นว่าเด็กน้อยคนที่ปวกเปียกคนนี้จะสามารถสอนอะไรพวกคุณได้บ้างอย่าลังเลที่จะอยู่ต่อไป” ฉันชี้ไปที่ประตูและรอสองสามวินาที แต่อาจจะเป็นเพราะการสาธิตเล็กน้อยของฉันกับนักเรียนปีสองหรือเพราะพวกเขากลัวไม่มีนักเรียนคนไหนออกไปจากห้องเลย

“เอาละ…ถ้างั้นก็ขอให้พวกคุณกรุณากลับไปที่ที่นั่งของพวกคุณ ฉันจะได้เริ่มบทเรียนของฉันสักที” ฉันมองไปที่นักเรียนปีที่สองที่กระโดดลงมาเพื่อแสดงความสามารถที่จำกัดของเขาอย่างกระตือรือร้น

ใบหน้าของเขาเปลี่ยนเป็นสีแดงและนักเรียนคนนั้นก็รีบลุกขึ้นและเดินกลับไปที่ที่นั่งของเขา ในขณะที่เขาทำเช่นนั้นฉันใช้เวลาค่อยๆเดินกลับไปที่กลางเวทีแล้วเอนตัวลงบนโพเดียมที่ซิลวี่กระโดดขึ้นมา

“เนื่องจากนี่เป็นคลาสฝึกมานาเชิงปฏิบัติฉันจะถามคำถามที่สามารถใช้งานได้จริง วิธีใดเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการใช้มานากับบรรยากาศโดยรอบ” ฉันมองดูที่นั่งที่เต็มไปด้วยนักเรียนแทบจะในทันทีนักเรียนที่มีจมูกเหมือนจะงอยและมัดผมหางม้าก็ชูมือขึ้น

“มานาถูกใช้ได้ดีที่สุดโดยการดูดซับมานาที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติในชั้นบรรยากาศเข้าสู่แกนมานาซึ่งสามารถควบแน่นและทำให้บริสุทธิ์เพื่อใช้เมื่อร่ายเวทย์หรือใช้พร้อมกับเทคนิคต่างๆ” เธอยิ้มกว้าง เห็นได้ชัดว่าเธอภูมิใจกับคำตอบของเธอ

"ดีมาก อย่างที่คุณทราบกันดีว่าความแตกต่างระหว่างออกเมนเตอร์และคอนเจอะเรอร์นั้นคือออกเมนเตอร์ส่วนใหญ่ใช้มานาในแกนของพวกเขาผ่านช่องทางมานาในขณะที่คอนเจอะเรอร์ดูดซับมานาโดยตรงจากบรรยากาศโดยรอบผ่านเส้นเลือดมานาของพวกเขา ถ้าอย่างนั้นใครตอบได้บ้างว่าเหตุใดนักเวทย์ทั้งสองประเภทจึงต้องทำสมาธิและดูดซับมานาหากมีเพียงออกเมนเตอร์เท่านั้นที่ใช้มานาที่ดูดซึมเข้าสู่แกนกลางของพวกเขาได้?” ฉันถามคำถามและไม่ได้มองไปที่ใครเป็นพิเศษ

“…” มือที่มั่นใจของหญิงสาวคนเดิมย่อตัวลงขณะที่เธอครุ่นคิดถึงคำตอบ

“ในขณะที่ออกเมนเตอร์รวมมานาเข้ากับการโจมตีทางกายภาพ ด้วยเหตุนี้จึงลดปริมาณของมานาที่ใช้ แต่คอนเจอะเรอร์จะต้องคำนวนพื้นที่ที่ร่ายเวทย์โดยตรงและใช้มานามากขึ้น ด้วยเหตุนี้คอนเจอะเรอร์จึงใช้มานาที่กลั่นอยู่ในแกนมานาของพวกเขาเป็นเพียงการสำรองเพื่อหลีกเลี่ยงผลกระทบในภายหลัง” แคธลีนตอบด้วยใบหน้าของเธอที่ดูผ่อนคลายขณะที่เธอยังคงนั่งอยู่

"ถูกต้อง ส่วนคำถามสุดท้ายของวันนี้: สีของแกนมานาของคอนเจอะเรอร์หรือแม้แต่กระทั่งของออกเมนเตอร์เป็นวิธีที่แม่นยำที่แท้จริงในการวัดระดับพลังของนักเวทย์หรือไม่?” ฉันเอนตัวไปข้างหน้าและย้ายน้ำหนักจากขาซ้ายไปขาขวา

ฉันหัวเราะเบาๆ ขณะที่เห็นใบหน้าที่นิ่งเฉยของแคธลินเปลียนไปเพราะเธอกำลังคิดหนัก “นั่นจะเป็นการบ้านของพวกคุณสำหรับวันนี้ เอาละทุกคนลงมาที่เวทีและเข้าแถว! ฉันต้องการให้คอนเจอะเรอร์อยู่ทางซ้ายและออกเมนเตอร์อยู่ทางขวาของฉัน”

หลังจากบ่นกันเล็กน้อยในที่สุดทุกคนก็เดินไปที่ด้านหนึ่งของสนาม ทุกคนเรียงแถวเคียงข้างกันหันหน้ามาทางฉัน

“สำหรับแบบฝึกหัดนี้ฉันต้องการให้ทุกคนใช่คาถาพื้นฐานกับธาตุที่ถนัดที่สุดของคุณ คอนเจอะเรอร์ห้ามใช้ไม้กายสิทธิ์” ฉันกล่าว

สำหรับออกเมนเตอร์ พื้นฐานทั้งหมดมาในรูปแบบที่คล้ายกันมาก สำหรับออกเมนเตอร์ไฟมันจะเป็นหมัดไฟซึ่งต้องปกคลุมไปทั้งกำปั้น สำหรับลมมันจะเป็นหมัดลมกรด สำหรับน้ำมันจะเป็นหมัดน้ำและหมัดดินสำหรับธาตุดิน หลังจากนักเวทย์สามารถแสดงองค์ประกอบของพวกเขาได้แล้วขั้นตอนแรกของนักเวทย์สายออกเมนเตอร์คือการเรียนรู้ที่จะรวมองค์ประกอบไว้ในมือซึ่งพวกเขาคุ้นเคยในใช้งานมากที่สุด

ความจริงที่ว่านักเวทย์ของราชวงศ์เหล่านี้ได้รับอนุญาตให้เข้าเรียนในโรงเรียนนี้เป็นเพราะด้วยเชื้อสายของพวกเขา พวกเขามีความสามารถสูงและมักจะมีความสามารถในการแสดงองค์ประกอบของพวกเขาในช่วงวัยรุ้น พ่อของฉันต้องใช้เวลามากกว่ายี่สิบปีกว่าที่เขาจะแสดงให้เห็นถึงเปลวไฟที่แท้จริงได้ แต่เด็กอายุสิบสองถึงสิบสี่ปีเหล่านี้สามารถทำได้แล้ว นั่นคือความแตกต่างของยีนซึ่งเป็นสิ่งที่แม้แต่ฉันก็ยังปฏิเสธไม่ได้

สำหรับคอนเจอะเรอร์นั้นคาถาพื้นฐานที่สุดเกี่ยวข้องกับการรวบรวมมานาของธาตุที่เฉพาะเจาะจงให้เป็นทรงกลมและการยิงมันออกไป สำหรับผู้เชี่ยวชาญด้านไฟนั้นจะอยู่ในรูปแบบของคาถาไฟเออร์บอลสำหรับลมก็จะเป็นกระสุนลม สำหรับน้ำกระสุนน้ำและสำหรับดินกระสุนดิน

คอนเจอะเรอร์จะทำมันได้ง่ายเนื่องจากพวกเขาไม่จำเป็นต้องสร้างองค์ประกอบโดยตรงในร่างกาย แต่ดูดซับอนุภาคมานาที่เฉพาะเจาะจงรอบๆตัวพวกเขาและใช้สิ่งนั้นเพื่อเรียกใช้เวทมนตร์ เหตุใดคอนเจอะเรอร์จึงมีความเชี่ยวชาญในองค์ประกอบที่แตกต่างกันจึงต้องเกี่ยวข้องกับความสามารถในการรับรู้อนุภาคมานาของธาตุที่เฉพาะเจาะจงรอบๆตัวและใช้ประโยชน์จากมัน

ฉันเอนหัวลงบนฝ่ามือในขณะที่ดูนักเวทย์ทั้งสองประเภทเตรียมคาถาของพวกเขา

ออกเมนเตอร์ในชั้นเรียนทุกคนเริ่มจดจ่อกับมือข้างที่ถนัดและกำหมัดแน่น ไม่กี่วินาทีต่อมาคาถาของพวกเขาก็ปรากฏให้เห็นเมื่อองค์ประกอบต่างๆล้อมรอบหมัดของพวกเขา เวลาที่ใช้สำหรับออกเมนเตอร์แต่ละคนนั้นแตกต่างกันไปแต่ก็ไม่มากนัก

คอนเจอะเรอร์ในชั้นเรียนทุกคนเริ่มร่ายมนต์เบาๆ ในขณะที่พื้นที่ระหว่างฝ่ามือของพวกเขาเริ่มเปล่งแสงสีที่แตกต่างกันขึ้นอยู่กับองค์ประกอบของพวกเขา ไม่น่าแปลกใจเท่าไหร่ที่เฟย์ริธกับแคธลีนจะใช้เวลาในการร่ายมนตร์เร็วกว่าคนอื่นมาก

ความแตกต่างเพียงอย่างเดียวระหว่างออกเมนเตอร์และคอนเจอะเรอร์ในคาถาของพวกเขาคือองค์ประกอบของออกเมนเตอร์จะล้อมรอบหมัดของพวกเขาในขณะที่องค์ประกอบของคอนเจอะเรอร์รวมตัวกันที่ฝ่ามือของพวกเขา

“ตอนนี้นักเรียนที่เป็นออกเมนเตอร์ ฉันอยากให้คุณลองยิงเวทย์มนตร์ของคุณดู ส่วนคอนเจอะเรอร์ฉันอยากให้คุณลองและซึมซับคาถาที่คุณเสกไว้ในมือของคุณ” ฉันยิ้มให้พวกเขาอย่างไร้เดียงสาขณะที่พวกเขาจ้องมองฉันอย่างว่างเปล่า

หลังจากนั้นไม่กี่วินาทีพวกเขาก็รู้ว่าฉันไม่ได้ล้อเล่น พวกเขาทีละคนค่อยๆเริ่มต้นความพยายามในแนวคิดที่แปลกใหม่โดยการทำให้พวกเขาทำสิ่งตรงกันข้ามกับธรรมชาติของพวกเขา

ฉันเฝ้าดูออกเมนเตอร์ทุกคนล้มเหลวในความพยายามของพวกเขา บางคนถึงกับคำรามขณะที่พวกเขาสะบัดแขนขณะที่บางคนพยายามร่ายมนต์แต่ก็ไม่เกิดประโยชน์อะไร มันมาถึงจุดที่เกือบจะเป็นเรื่องตลกเมื่อนักเรียนคนหนึ่งคิดว่าถ้าหากเขาคำรามคำว่า ‘ไฟ’ ออกมา มันจะทำไฟออกมาได้

พวกคอนเจอะเรอร์ก็ไม่ได้ดีไปกว่ากันเพราะทุกคนจบลงด้วยการถูกบาด ไฟไหม้ เปียกหรือฟกช้ำ หลังจากนั้นประมาณสิบนาทีของการดิ้นรนนักเรียนส่วนใหญ่เลือกที่จะยอมแพ้และมองมาที่ฉันอย่างกล่าวหา; แม้แต่เฟย์ริธกับแคธลีนก็มีสีหน้าสงสัย

“นี่มันเป็นการกระทำที่โง่มากๆ เราทุกคนรู้ดีว่ามีเพียงออกเมนเตอร์ระดับสูงเท่านั้นที่สามารถร่ายเวทย์ระยะไกลได้!” นักเรียนคนหนึ่งร้องออกมา

"ใช่! และมันสำคัญยังไงในการดูดซับคาถาที่เราเตรียมที่จะร่ายออกมา " นักเรียนเอลฟ์คนหนึงร้องขณะที่เธอประคองมือของเธอ

ฉันปล่อยให้ซิลวี่อยู่บนโพเดียมและฉันก็เดินไปที่ด้านตรงข้ามเวทีที่อยู่ห่างจากนักเรียน

ฉันใช้เวลาช่วงสั้นๆ ในการตั้งสมาธิฉันมุ่งเป้าไปที่พื้นที่เปิดโล่งระหว่างคอนเจอะเรอร์และออกเมนเตอร์

ลมกระโชกแรงได้ก่อตัวขึ้นรอบๆ มือของฉันก่อนที่ฉันจะยิงผ่านนักเรียนออกไป ก่อนที่มันจะสัมผัสกับผนังโลหะกระสุนลมก็กระจายหายไปอย่างไม่เป็นอันตราย

นักเรียนคนหนึ่งโต้กลับว่า “ไม่เห็นมีอะไรเลย ออกเมนเตอร์ส่วนใหญ่สามารถทำเช่นนั้นได้เมื่อพวกเขาไปถึงขั้นสีส้ม”

“จริงอยู่มันไม่ยากที่จะทำแบบนั้น แต่ -” ฉันยกแขนอีกข้างขึ้นแล้วยิงกระแสอากาศอัดออกจากฝ่ามือของฉันโดยตรง การโจมตีดังขึ้นขณะที่มันกระแทกเข้ากับกำแพงด้านหลังของนักเรียนอีกครั้ง แต่คราวนี้ผนังเกิดหลุมจากแรงกดดันจนกลายเป็นเหมือนปล่องภูเขาไฟขนาดเล็ก “- คุณเคยเห็นออกเมนเตอร์คนไหนที่ทำแบบนั้นได้ในขั้นสีส้มไหมละ?”

นักเรียนต่างตกใจเมื่อเห็นผลกระทบที่แตกต่างกันจากคาถาเดียวกัน พวกเขาหันไปมาระหว่างฉันกับกำแพง

“ฉันไม่สามารถอธิบายได้อย่างถูกต้องว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับคอนเจอะเรอร์ที่สามารถดูดซับคาถาที่พวกเขาเรียกออกมาได้ แต่เชื่อฉันเถอะมันจะช่วยพวกคุณสักวัน”

ฉันเดินโซซัดโซเซกลับไปที่แท่นและคว้าพันธนาการของฉัน “นั่นคือทั้งหมดสำหรับวันนี้ ลองหาคำตอบสำหรับคำถามและฝึกฝนในสิ่งที่ฉันเพิ่งบอกให้พวกคุณทำ แล้วเจอกันพรุ่งนี้”

ฉันโบกมือให้กับพวกเขาเมื่อฉันออกจากห้อง เมื่อออกไปข้างนอกฉันได้ยินเสียงนักเรียนที่อยู่ข้างในปะทุด้วยความตื่นเต้น

“ฉันเป็นยังไงบ้างละซิลวี?” ฉันถามหลังจากปล่อยมือจากพันธนาการของฉัน

'ไม่เลวค่ะ แต่หนูคงทำได้ดีกว่านี้ 'เธอตอบอย่างสดใสและเดินเคียงข้างฉันไป

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด