ตอนที่แล้วบทที่ 43 งานฉลอง II
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 45 กล้าดียังไง

บทที่ 44 สถาบันไซรัส (เล่มที่3)


"ตื่นได้แล้ว!" เสียงตะโกนทะลุหูของฉัน

อากาศถูกบีบออกจากปอดของฉันขณะที่อาไลจาห์ทุบกระดูกหน้าอกของฉันอย่างอ่อนโยนด้วยพลังที่สามารถช่วยชีวิตศพได้

ฉันโยนซิลวี่ที่กำลังหลับอยู่ไปที่เขาด้วยความหวังว่าเธอจะปกป้องฉันจากเพื่อนร่วมห้องที่ก้าวร้าวของฉันได้

“ซิลวี! มันเจ็บนะ!” อาไลจาห์ร้องโหยหวน ตามที่คาดไว้ซิลวีเของฉันข่วนกรงเล็บที่ใบหน้าของอาไลจาห์โดยสัญชาตญาณจนกระทั่งเธอสงบลง

“มันต้องมีวิธีที่ดีกว่าในการปลุกฉันนอกจากใช้ความเจ็บปวดทางร่างกาย” ฉันบ่นและถูท้อง

“นายบอกฉันมาสิ นายรู้ไหมว่าการปลุกนายนะมันยากแค่ไหน? และนายกลับตอบแทนฉันด้วยการขว้างซิลวีมาที่ฉัน? แม้ว่าเธอจะไม่ได้อยู่ในร่างมังกรเต็มตัว แต่นายรู้ไหมว่ากรงเล็บของเธอแหลมแค่ไหน?” เขาสะดุ้งและแตะไปที่รอยขีดข่วนตื้นๆ ที่ซิลวีได้รับบาดเจ็บ

"อย่างไรก็ตาม! เราจะไปสายถ้านายไม่รีบและเตรียมตัวให้พร้อม ฉันอาบน้ำเรียบร้อยแล้วส่วนนายเอาตูดขี้เกียจลุกออกจากเตียงได้แล้ว” อาไลจาห์ยืนอยู่บนเตียงของฉันและผลักฉันออกด้วยเท้าของเขา

“ไปอาบน้ำกันเถอะซิลวี!” ฉันแสร้งทำเป็นตื่นเต้นขณะจับซิลวีและมุ่งหน้าไปอาบน้ำ

‘ไม่! ป๊าฉันไม่อยากอาบน้ำ! ฉันสะอาดดี!“คยูวว!” เสียงครวญครางที่สิ้นหวังของซิลวีนั้นทะลุหูซ้ายและออกไปที่หูขวาขณะที่ฉันดึงเธอเข้าไปข้างในห้องน้ำ ตอนนี้ซิลวีมีขนหรือเกล็ดที่บางยาวและอ่อนนุ่มคล้ายๆกับขน นั่นหมายความว่าเธอจะดึงดูดสิ่งสกปรกเหมือนกับแม่เหล็กดังนั้นการอาบน้ำบ่อยขึ้นจึงกลายเป็นสิ่งจำเป็น

“พี่ชายพี่ตื่นหรือยัง?” เอลลีเปิดประตูขณะที่ฉันเปลี่ยนเสื้อผ้า อย่างน้อยอาไลจาห์ก็แต่งตัวเต็มยศ แต่ฉันนุ่งแค่ครึ่งล่าง

“ชอบกล้ามใหญ่ของพี่ชายบ้างไหมละ?” ฉันเกร็งกล้ามในท่าทางที่แตกต่างกันไปเรือยๆ

“อี้ยยย! หนูเห็นแต่โครงกระดูกผอมๆ” เธอแค่ส่ายหัวและจ้องมองฉันอย่างยากลำบาก ดูเหมือนว่าเธออยากจะตั้งคำถามว่าฉันเป็นพี่ชายสุดเท่คนเดียวกันในวันเกิดของเธอหรือเปล่า

“ยังไงก็ตามแม่บอกให้พวกพี่รีบแต่งตัวไปกินข้าวได้แล้ว” เอลลีปิดประตูข้างโดยไม่รอการตอบกลับ

ฉันถอนหายใจขณะเริ่มติดกระดุมเสื้อ เธอน่ารักมากในงานวันเกิดของเธอ เด็กสมัยนี้โตเร็วกันจริงๆ

เครื่องแบบที่ไซร้สส่งมาให้เรานั้นไม่ได้ดูธรรมดาเกินไป สำหรับฉันมันประกอบไปด้วยเสื้อเชิ้ตสีขาวเสื้อกั๊กสีเทาเชือกสีแดงที่เราผูกไว้ที่คอของเราใต้คอเสื้อและกางเกงสีกรมท่า นอกจากนี้ยังมีนาฬิกาพกสีทองที่ติดอยู่กับโซ่ที่กระเป๋าหน้าอกเสื้อของฉันด้วย โดยรวมแล้วทำให้ฉันดูเป็นนักวิชาการมาก

ในทางกลับกันเครื่องแบบของอาไลจาห์มีการออกแบบที่เฉียบคมกว่ามาก เสื้อสีดำตัดกับสีขาวที่เข้ากับกางเกงสีดำของเขา แทนที่จะเป็นเชือกเขาสวมเน็คไททรงสี่เหลี่ยมสีดำพร้อมแถบสีขาวหนึ่งแถบซึ่งบ่งบอกว่าเขาเป็นนักเรียนปีหนึง ด้วยเสื้อเชิ้ตสีขาวที่อยู่ข้างใต้และมีตราดาบไขว้กันและไม้เท้าสลักไว้ที่กระเป๋าหน้าอกอย่างประณีตเขาดูมีชีวิตชีวา

แทนที่จะใช้เครื่องมือปกติที่นักร่ายเวทย์มักจะพกพาอาไลจาห์กลับใช้แหวนสองวงใส่ที่นิ้วชี้และนิ้วนางแทน ทั้งสองวงนี้เชื่อมต่อกันด้วยโซ่สีดำเส้นเล็กซึ่งทำให้เขาดูเท่มากโดยเฉพาะตอนนี้เขาเพิ่งซื้อแว่นตาใหม่ที่ดูทันสมัยกว่าเดิมเล็กน้อย เขาพูดกับฉันอย่างชัดเจนว่านี่จะเป็นการเปิดตัวครั้งแรกในการหาแฟนดังนั้นเขาจึงภาคภูมิใจในรูปลักษณ์ของเขาแม้ว่าเขาจะบ่นอยู่เสมอว่าไม่ว่าเขาจะพยายามแค่ไหนเขาก็มักจะตามหลังฉันเสมอ

ฉันยักไหล่ให้เขาอย่างทำอะไรไม่ถูก แต่ฉันก็เขอบคุณแม่และพ่อสำหรับยีนของพวกเขา

เมื่อมองดูทั้งอาไลจาห์และตัวเองในกระจกฉันก็บอกได้ว่าร่างกายเราโตขึ้นมากแค่ไหน อาไลจาห์ที่ดูเนิร์ดมากเมื่อสองปีก่อนได้หายไปแล้ว รูปลักษณ์ที่คมชัดและเท่กว่าเก่าเข้ามาแทนที่เขาซึ่งขัดแย้งกับบุคลิกของเขาอย่างผิดปกติ

สำหรับตัวฉันเองดวงตาของฉันเป็นสีแซฟไฟร์ที่เป็นประกาย ผมของฉันเป็นสีออเบิร์น (น้ำตาลอ่อน) ที่ร้อนแรงซึ่งตัดกับดวงตาของฉันได้ดี ดวงตาสีฟ้าและผมที่ออกสีแดงปนน้ำตาลทำให้ฉันรู้ว่ามันบังเอิญแค่ไหน มันเป็นลักษณะที่สอดคล้องกับองค์ประกอบพื้นฐานทั้งสองที่ฉันเชี่ยวชาญที่สุด? ใบหน้าของฉันดูอ่อนโยนมากเมื่อเทียบกับของอาไลจาห์ แต่ในขณะที่ดูนุ่มนวลและใจดีมันก็ดูนิ่งและสง่างามด้วย

ฉันศึกษาใบหน้าของฉันราวกับว่ามันไม่ใช่ของฉันเอง แม้จะผ่านไปสิบสองปีในร่างนี้ แต่ฉันก็ยังไม่ชินกับรูปร่างหน้าตาของตัวเองเลยเมื่อเทียบกับใบหน้าที่ค่อนข้างธรรมดาๆในโลกเก่าของฉัน

“นายแน่ใจหรือว่าเลือกถูกแล้วอาร์ต? ฉันไม่อยากจะเชื่อเลยว่านายอยากจะเป็นนักเวทย์วิชาการ ฉันคิดว่านายจะต้องเลือกเรียนนักเวทย์ต่อสู้เหมือนฉันแน่ ๆ” อาไลจาห์กล่าวขณะที่เขาจัดแต่งทรงผมของเขา ผมสีดำตัดตรงที่ตอนนี้สั้นลงและปัดทรงไปทางด้านข้าง

“และฉันไม่อยากจะเชื่อเลยว่าหนึ่งในเหตุผลหลักที่นายต้องการเข้าเรียนที่ไซร้สในฐานะนักเรียนนักเวทย์สายต่อสู้ก็เพราะว่าห้องเรียนนั้นมีสาวๆที่น่ารักกว่า” ฉันตบหลังเขาอย่างแรงพร้อมกับยิ้มให้เขาอย่างทะลึ่งๆ

“เงียบน่า…คอยดูเถอะ อาไลจาห์คนใหม่ที่ได้รับการโฉมใหม่จะได้รับความนิยมและหาแฟนที่ทำให้นายถึงกับน้ำลายไหลด้วยความอิจฉา!” เขาปรับเสื้อเบลเซอร์และเชคตัวเองเป็นครั้งสุดท้าย เห็นได้ชัดว่าเขาพอใจกับรูปลักษณ์ของเขาขณะที่ฉันเดินตามมา ซิลวี่กระโดดขึ้นบนศีรษะของฉันและกรงเล็บเล็กๆ ของเธอก็สอดเข้าไปในหนังศีรษะของฉันเพื่อให้ยึดเกาะ ฉันกังวลเล็กน้อยว่าฉันอาจจะต้องหัวล้านก่อนวัยอันควร

“เอาละมันนานพอแล้วนะที่ลูกๆได้เตรียมตัวให้พร้อม! พวกลูกพยายามจะสร้างความประทับใจให้ใคร?” แม่ของฉันกระดิกนิ้วมาที่พวกเราในขณะที่ทาบิธาซึ่งอยู่ในชุดผ้ากันเปื้อนกับแม่ของฉันเริ่มหัวเราะคิกคัก

“สวัสดีตอนเช้าเด็กๆ รีบมาทานข้าวกันเถอะ ลิเลียต้องขึ้นเวทีในงานปฐมนิเทศเนื่องจากเธอเป็นส่วนหนึ่งของสภานักเรียน ตอนนี้เธออาจจะประหม่าดังนั้นอย่าลืมเชียร์เธอด้วยละ” ทาบิธานั่งลงตรงข้ามกับแม่และเอลลี

“แม่กับน้องสวมสร้อยคอที่ผมให้ด้วย” ฉันสังเกตในขณะที่ปากของฉันยังเต็มไปด้วยข้าวโอ๊ตและผลไม้

“ใช่ทำไมแม่จะไม่ใส่มันละในเมื่อมันเป็นเครื่องประดับที่สวยงามเช่นนี้? แม่หวังว่าพ่อของลูกจะมีความโรแมนติกสักครึ่งของลูกบ้างนะ” แม่ของฉันถอนหายใจและจับเครื่องประดับฟีนิกซ์เล่น

“เพื่อนๆ ทุกคนอิจฉาเพราะมันสวยมาก! พี่ต้องหาอะไรแบบนี้มาให้หนูอีกโอเคไหมค่ะ?” เอลลีเอนตัวไปข้างหน้าบนเก้าอี้ของเธอขณะที่เธอพูดอย่างตื่นเต้น

“แน่นอน” ฉันพูดและพยายามคำนวณว่าจริงๆแล้วไอเทมอย่างจี้นั้นจะมีราคาสูงถึงขนาดไหน

“อืมคุณน้าอลิซ? คุณช่วยรักษาใบหน้าของผมก่อนผมไปโรงเรียนได้ไหมครับ ผมไม่อยากให้การเดบิวต์ที่โรงเรียนผิดพลาดเพราะรอยขีดข่วน” อาไลจาห์หันไปมองซิลวีที่แลบลิ้นออกมาตอบกลับ

“ยังทะเลาะกับซิลวี่อยู่อีกเหรอ” แม่ของฉันยิ้ม “มาที่นี่แล้วให้ฉันดูหน่อย” เธอวางมือไว้ข้างหน้าของอาไลจาห์และกระซิบเสียงแผ่วเบาจนกระทั่งแสงเริ่มเปล่งออกมาจากปลายนิ้วของเธอ ไม่กี่อึดใจต่อมารอยขีดข่วนเล็กๆ บนใบหน้าของเขาก็หายไปและมันทำให้อาไลจาห์ถึงกับโล่งใจ

“ขอบคุณครับน้าอลิซ” อาไลจาห์เอนหลังพิงเก้าอี้และกินอาหารเช้าต่อ

พ่อของฉันเข้ามา เห็นได้ชัดว่าเขาเพิ่งกลับมาจากการฝึกฝนเพราะมีเม็ดเหงื่อกำลังกลิ้งลงบนใบหน้าของเขา “ขอโทษที่พ่อมาทานอาหารเช้าช้า! พ่ออยู่ระหว่างการพัฒนาเล็ก ๆ น้อย ๆอยู่นะ !” เขานั่งลงและมองดูอาไลจาห์กับฉันอย่างกระตือรือร้น “ว้าวไอ้ตัวแสบสองคนของฉันกำลังจะไปโรงเรียนแล้ว ฉันไม่อยากจะเชื่อเลย ดูเหมือนว่าเราเลี้ยงดูอาเธอร์เป็นอย่างดีใช่ไหมที่รัก?” พ่อของฉันยิ้มกว้าง

"คุณหมายถึงอะไรที่บอกว่า " เรา "? ฉันเป็นคนที่เลี้ยงดูเขามาต่างหาก” แม่ของฉันเย้ยหยันยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์

“ฉันเดาว่าครั้งเดียวที่ฉันเลี้ยงลูกคือตอนที่ฉันสร้างปัญหา?” พ่อของฉันเลิกคิ้ว

“รู้แล้วก็ดี” แม่ของฉันพูดตามความเป็นจริงทำให้ทั้งโต๊ะหัวเราะหึๆ

คนที่ไม่อยู่ที่โต๊ะอาหารคือวินเซนต์และลิเลีย ลิเลียต้องไปโรงเรียนสองสามวันก่อนหน้านี้เนื่องจากเธอต้องทำงานบางอย่างให้กับสภานักเรียน แต่วันนี้วินเซนต์ยุ่งมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะเขาเป็นส่วนหนึ่งของคณะกรรมการบริหารเรือที่จะออกเดินทางในวันนี้

“พ่อค่อนข้างประหลาดใจเมื่อลูกบอกว่าลูกอยากจะเข้าเรียนที่ไซร้สในฐานะนักเวทย์วิชาการนะอาร์ต” พ่อของฉันพูดขึ้นมาในขณะที่กำลังพันไข่ของเขา

“ใช่ทั้งสองเป็นทางเลือกที่ดี แต่ในที่สุดนักเวทย์สายต่อสู่กลับเป็นผู้ที่ได้รับเกียรติทั้งหมด” ทาบิธาถอนหายใจ ลิเลียเป็นนักเวทย์ต่อสู้เช่นกันแม้จะมีความขัดแย้งจากทั้งทาบิธาและวินเซนต์ พวกเขาสองคนต้องการให้ลิเลียเป็นนักเวทย์วิชาการเพราะมันจะอันตรายน้อยกว่ามากในอนาคต แต่ลิเลียยังคงยืนหยัดที่จะสร้างชื่อเสียงให้กับตัวเอง

“ผมจะยังคงเรียนวิชาทั่วไปเกี่ยวกับการต่อสู้ทุกครั้งที่ทำได้เพื่อคลายกล้ามเนื้อ แต่ถ้าหากว่ามันเป็นแค่กลยุทธ์การต่อสู้มันก็ไม่มีอะไรให้ผมต้องเรียนรู้” ฉันหัวเราะเบา ๆ

“ไม่ค่อยมีอะไรให้เรียนรู้…ถ้านักเรียนคนไหนได้ยินนายพูดแบบนั้นนายจะต้องตกเป็นเป้า...ไม่สิจะมีนักเรียนคนไหนสามารถเอาชนะนายได้?” อาไลจาห์แค่หัวเราะกับตัวเองที่คิดว่าการสังหารหมู่ที่โรงเรียนจะเกิดขึ้นหากใครก็ตามที่ทะเลาะกับอาร์ต

“โปรดควบคุมตัวเองให้ได้ระดับหนึ่งนะอาเธอร์ มีสมาชิกในครอบครัวที่มีอิทธิพลมากเข้าเรียนในโรงเรียนนั้น ลูกคงไม่อยากสร้างปัญหาให้กับครอบครัวของทาบิธาหรอกนะ” แม่ของฉันชะงักใบหน้าของเธอที่เต็มไปด้วยความกังวล

“ไม่ต้องกังวล ผมจะเอาชนะพวกได้ในระดับที่ไม่รุนแรงเท่านั้น!” ฉันทำท่าตะเบ๊ะในขณะที่เอาข้าวโอ๊ตยัดปาดให้มากขึ้นโดยมีซิลวี่ที่ขโมยผลไม้ที่ผสมอยู่ในนั้น แม่ของฉันส่ายหัวแต่พ่อกลับหัวเราะขณะที่สาวใช้เดินเข้ามา

"คุณอาเธอร์คุณอาไลจาห์คนขับรถบอกว่าเราควรออกไปตอนนี้ถ้าคุณจะไปให้ทันงานพิธีปฐมนิเทศ” เธอกล่าวขณะโค้ง

“เอาล่ะไปกันเลย!” อาไลจาห์กัดแฮมชิ้นสุดท้ายเสร็จแล้วยัดผักใบเขียวเข้าปากก่อนจะลุกขึ้นยืนและยืดเสื้อเบลเซอร์สีดำให้ตรง

ฉันลุกขึ้นยืนและเดินไปรอบๆ โต๊ะที่แม่และเอลลีนั่งอยู่ “แม่เอลลีก่อนที่ผมจะไปผมต้องการให้พวกคุณแสดงนิ้วชี้ให้ผมดูสักหน่อย”

"ฮะ?" แม่มองมาที่ฉันอย่างงง ๆ แต่ก็ยังเอานิ้วชี้ของเธอให้ฉันดูในขณะที่น้องสาวของฉันทำตามอย่างไม่เต็มใจ ฉันจิ่มนิ้วชี้ทั้งสองข้างของพวกเขาอย่างรวดเร็วด้วยนิ้วที่มีมานาของฉันเพียงพอให้เลือดหยดที่ปลายนิ้วของพวกเขาหนึ่งหยด

“เอาเลือดใส่สร้อยนะ” ความจริงจังในน้ำเสียงของฉันทำให้พวกเขายอมทำตามอย่างเงียบๆ แม้ว่าพวกเขาจะแปลกใจในตอนแรกก็ตาม ทั้งคู่วางนิ้วชี้ลงบนสร้อยคอของพวกเขาและเลือดที่ปลายนิ้วของพวกเขาก็ซึมเข้าไปในอัญมณีทันที

“สร้อยคอพวกนี้ถูกผูกไว้กับพวกคุณแล้ว ดังนั้นมีเพียงคุณสองคนเท่านั้นที่สามารถสวมใส่มันได้ มันจะปกป้องแม่และน้องในกรณีที่ผมหรือพ่อไม่อยู่ แต่ยังไงก็รักษาตัวให้ปลอดภัยในขณะที่ผมไม่อยู่ด้วยโอเคนะ?” ฉันกอดทั้งสองอย่างแรงและน้องสาวของฉันก็ฉีกยิ้มเล็กน้อย ฉันกอดพ่อของฉันและทาบิธาเช่นกันพ่อของฉันกอดฉันไว้แน่นในอ้อมแขนที่แข็งแกร่งของเขา

“เป็นเด็กดีไม่ต้องห่วงพวกเรา” พ่อของฉันพูด

“มาเยี่ยมทุกครั้งเท่าที่ทำได้และติดต่อมาบ้างนะ!” แม่ของฉันเสริมก่อนที่จะปล่อยเราออกไป

“ลาก่อนพี่ชายลาก่อนอาไลจาห์! เดินทางปลอดภัยนะ!” น้องสาวของฉันตะโกนเรียกเราขณะที่เราเดินลงบันได

“กระเป๋าของพวกคุณอยู่ด้านหลังของรถม้าแล้วครับ” คนขับรถโค้งคำนับและเปิดประตูให้เราทั้งสองคน

“ปลายทางสถาบันไซรัส!” อาไลจาห์ชี้นิ้วขึ้นไปบนฟ้าราวกับประกาศก่อนจะเข้าไปในรถม้า

ฉันอดไม่ได้ที่จะยิ้มมองกลับไปที่บ้านหลังเก่าขณะที่ฉันก้าวเข้าไปในรถม้าที่จะพาฉันไปยังบ้านหลังใหม่

___________________________________________________________________

การนั่งรถไปยังสถาบันไซรัสใช้เวลาไม่นานนักเนื่องจากมันอยู่ในเมืองเดียวกัน แต่วิทยาเขตเองก็มีขนาดใหญ่มากดังนั้นการจะผ่านประตูใหญ่จึงใช้เวลาพอสมควร

มีรถม้าที่ตกแต่งอย่างฟุ่มเฟือยจำนวนมาก บางคันยาวกว่ารถม้าธรรมดาถึงสองเท่าโดยมีสัตว์มานาระดับต่ำลากพวกมัน

“ฟะ....ไอ้พวกขี้อวด” อาไลจาห์บ่นในขณะที่มองดูนักเรียนที่ดูโอ้อวดก้าวออกมาจากรถม้าอย่างมั่นใจพร้อมกับอาวุธประดับเพื่อบ่งบอกว่าพวกเขาเป็นคอนเจอะเรอร์หรือออกเมนเตอร์

รถม้าของเราก็ค่อนข้างหรูหราเช่นกัน แต่นั่นมาจากมุมมองของสามัญชน เมื่อเทียบกับรถม้าที่ตกแต่งอย่างหรูหราของตระกูลใหญ่ๆ แล้วรถของเราก็ไม่ได้หวือหวาสักเท่า

“เรามาแล้วครับมาสเตอร์อาเธอร์มาสเตอร์อาไลจาห์” คนขับเปิดประตูให้เราแล้วเราก็ก้าวออกไป เราทั้งคู่สูดอากาศหายใจของมหาวิทยาลัยเข้าลึกๆ

“หึ…อากาศมีรสชาติเหมือนกันไปหมด…ฉันคิดว่ารสชาติของมันจะดีกว่านี้” อาไลจาห์พูดขณะที่เม้มริมฝีปาก

“อย่าโง่ไปหน่อยเลย” ฉันผลักเพื่อนของฉันไปข้างหน้าขณะที่เราเดินตามกลุ่มนักเรียนที่เดินบนทางหินอ่อนที่สว่างไสว

“โอ้วพระ…” ขากรรไกรของอาไลจาห์ลดลงขณะที่เขามองอาคารตรงหน้าเราในแนวดิ่ง อาคารสีขาวขนาดมหึมาที่มีอักษรรูนฝังอยู่ทำให้ฉันประหลาดใจ

“เข้าไปเถอะ” ฉันดึงอาไลจาห์ให้กลับมามีสติและเราก็เดินเข้าไปพร้อมกับนักเรียนใหม่คนอื่นๆ ที่เข้าเรียนในโรงเรียนนี้เป็นครั้งแรก

เมื่อเข้าไปข้างในฉันก็ลุ้นว่ามันจะเสียงดังแค่ไหน นักเรียนที่ตื่นเต้นหลายพันคนพูดคุยกัน บางคนมากับเพื่อน บางคนมากับคนที่พวกเขาพบกันเป็นครั้งแรก

“ไปหาที่นั่งกันเถอะ!” ฉันต้องตะโกนให้อาไลจาห์ซึ่งอยู่ข้างๆฉันได้ยิน ในที่สุดเราก็พบที่นั่งตรงกลางหอประชุมใกล้ๆกับแถวหลัง

เมื่อมองไปรอบๆ อย่างละเอียดฉันก็รู้สึกประหลาดใจที่ได้เห็นคนแคระและเอลฟ์จำนวนมากกำลังพูดคุยกับคนรอบข้าง

“ว้าวฉันไม่เคยเห็นเอลฟ์มาก่อนเลย ดูเหมือนว่าจะเป็นเรื่องจริงที่ทั้งสามเผ่าพันธุ์สามารถเข้าเรียนในสถาบันนี้ได้” อาไลจาห์มองไปรอบๆ อย่างตื่นเต้นและมองหาคู่ชีวิตที่มีศักยภาพท่ามกลางฝูงชน ฉันอดไม่ได้ที่จะส่ายหัวกับพฤติกรรมที่คาดหวังว่าจะเห็นนี่อยู่แล้ว นักเรียนเหล่านี้สำหรับฉันแล้วเป็นเพียงแค่เด็กน้อยเท่านั้น

ฉันรู้สึกเบื่อที่จะมองไปรอบๆ จึงจดจ่อกับความสนใจบนเวทีที่มันยังว่างเปล่ายกเว้นโพเดียมตัวเดียว ทันใดนั้นภาพเบลอก็คมชัดขึ้นและโฟกัสเข้ามา ฉันเห็นผู้อำนวยการกู๊ดสกี้ยืนอยู่ข้างหลัง เธอไม่ได้สวมหมวกขนาดใหญ่แบบที่คอนเจอะเรอร์สวมใส่เหมือนครั้งสุดท้ายที่เราพบกันเมื่อเกือบสี่ปีก่อน แต่เธอสวมมงกุฎกลมสีขาวหรูหราที่เข้ากับเสื้อคลุมสีขาวของเธอซึ่งดูดีกว่าตอนที่ฉันพบเธอในครั้งแรก ผู้อำนวยการกู๊ดสกี้หลับตาลงแต่เมื่อเธอเปิดมันดูเหมือนว่าเธอจะมองตรงมาที่ฉันทำให้ฉันสั่นไปทั้งตัว เธอยิ้มและยกมือขึ้นช้าๆในขณะที่ดวงตาของเธอยังคงจับจ้องมาที่ฉัน

ในเวลานี้นักเรียนปีแรกที่เข้ามาสังเกตเห็นเธอและเริ่มพูดเสียงดังขึ้น บางคนถึงกับส่งเสียงเชียร์ แต่เมื่อมือของผู้อำนวยการกู๊ดสกี้มาถึงระดับหัวของเธอทันใดนั้นทุกอย่างก็เงียบสงบไป

เมื่อมองไปรอบๆ ทุกคนต่างก็มีสีหน้าประหลาดใจเพราะในขณะที่ริมฝีปากของทุกคนเคลื่อนไหวได้แต่กลับไม่มีใครได้ยินเสียงใดๆ เลย

“ขอโทษสำหรับความไรมารยาทของฉัน แต่ฉันเกลียดการพูดด้วยเสียงดังๆ มันไม่ดีต่อลำคอของฉันอย่างแน่นอน” เธอพูดด้วยน้ำเสียงที่ไพเราะซึ่งในขณะที่มันนุ่มนวลแต่ก็ดังพอที่จะได้ยินอย่างชัดเจนแม้จะอยู่แถวหลังก็ตาม

“ฉันยินดีต้อนรับทุกคนที่นี่ เหล่าผู้นำในอนาคต นักวิชาการ และผู้มีอำนาจของไดคาเธนในการเข้าสู่สถาบันการศึกษาที่ต่ำต้อยแห่งนี้ ฉันชื่อซินเทียกู๊ดสกี้โปรดเรียกฉันว่าผู้อำนวยการกู๊ดสกี้และอย่ากลัวที่จะทักทายเมื่อเห็นฉันอยู่รอบๆ มหาวิทยาลัย ฉันพูดบทสุนทรพจน์ไม่เก่งนักดังนั้นฉันจึงขอยืนอยู่ตรงนี้ต่อหน้าพวกคุณทุกคนและกล่าวสวัสดีในวันนี้และขอแนะนำสภานักเรียนที่เป็นตัวแทนของสถาบันนี้ให้พวกคุณได้รู้จักและมีส่วนร่วมในการตัดสินใจครั้งสำคัญร่วมกับฉัน โปรดให้การต้อนรับพวกเขาอย่างอบอุ่น” เธอโบกมือยกมือและสมาชิกสภาก็เริ่มเดินออกไป

ครั้งแรกที่ฉันเห็นจาร์รอดเดินอย่างมั่นใจและมองตรงไปข้างหน้า ใบหน้าของเด็กผู้ชายที่น่ารักของเขาทำให้เกิดเสียงกรีดร้องโหยหวนจากสาวๆ

ส่วนคนที่ตามมาข้างหลังเขาเป็นผู้ชายขี้เล่นร่าเริงและโบกมือให้ผู้ชมและยิ้มสดใสให้เรา

“ดูสิดูสิ! นั้นมันลิเลีย! เราต้องเชียร์บ้างละ!” อาไลจาห์ยืนขึ้นและตะโกนสุดเสียงและฉันก็ทำตามโดยตะโกนเรียกชื่อเธอเช่นกัน ท่าทางขี้อายของเธอหายไปในขณะที่เธอเดินไปตรงกลางเวทีอย่างใจเย็นซึ่งเธอโค้งคำนับไปในแต่ละทิศทาง ไม่มีทางที่เธอจะเห็นเราหรือรู้ว่าเราส่งเสียงเชียร์ไป แต่เราก็ยังคงให้กำลังใจเพื่อนของเรา

ข้างหลังเธอเป็นเด็กนักเรียนตัวสูงผมยาวแสกกลาง ใบหน้าของเขาถูกแช่แข็งและดูเหมือนแสยะยิ้มอย่างรุนแรงพร้อมกับสายตาอันเฉียบคมที่ดูเหมือนจะดูถูกทุกคน มันทำให้เขาดูโอ้อวด ในขณะที่เสียงเชียร์สำหรับเขาไม่ได้ดังเท่ากับจาร์รอดหรือผู้ชายร่าเริงคนก่อนแต่เขาก็เดินได้อย่างสง่างาม

ในที่สุดคนสุดท้ายที่มาถึงและมันทำให้ฝูงชนถึงกับเงียบลง ผมสีเงินที่ไม่ผิดเพี้ยนซึ่งสะท้อนแสงไฟในหอประชุมทำให้เธอมีประกายอันเงียบสงบขณะที่ผิวสีครีมพีชของเธอทำให้หนุ่มๆ รอบตัวฉันถึงกับอ้าปากค้าง เธอหันหน้าเข้าหาผู้ชมเพื่อให้ดวงตาสีฟ้าครามกลมโตของเธอสะกดหัวใจของเด็กผู้ชายทุกคนในหอประชุมแห่งนี้

เธออายุแค่สิบสามจริงๆ…ใช่มั้ย?

ฉันมีช่วงเวลาที่ยากลำบากที่จะเชื่อว่าเด็กผู้หญิงที่ฉันมองว่าเด็กอยู่ตลอดได้โตเป็นสาวพอที่จะทำให้ฉันตะลึง ใบหน้าของเธอยังคงมีความไร้เดียงสาแบบเด็กๆ แต่วิธีที่เธอแสดงตัวทำให้ฉันสงสัยว่านี่คือผู้หญิงคนเดียวกับที่ฉันรู้จักตั้งแต่วัยใกล้เตาะแตะจริงๆหรือ

ในขณะที่เธอตัวสูงกว่าลิเลียเล็กน้อยเธอยังค่อนข้างเตี้ยกว่าผู้ชายที่ดูจริงจังข้างๆเธอ แต่ท่าทางของเธอทำให้เธอดูสูงและสง่างามกว่าคนอื่นๆ บนเวที เธอก้มโค้งคำนับพร้อมกับรวบผมส่วนหนึ่งไว้ข้างหลังใบหูที่แหลม ใบหน้าของเธอไร้อารมณ์ราวกับตุ๊กตา

“ฉันมีชื่อว่าเทสเซียเอราลิธและฉันรู้สึกเป็นเกียรติมากที่ได้ยืนอยู่ที่นี่ในฐานะของประธานสภานักเรียนของสถาบันแห่งนี้”

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด