ตอนที่แล้วSign in Buddha's palm 35 ลงชื่อเข้าใช้! กายามารพุทธะทองคำ!
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปSign in Buddha's palm 37 บุกฝ่าอย่างรุนแรง

Sign in Buddha's palm 36 ความแข็งแกร่งของซูฉิน


Sign in Buddha's palm 36 ความแข็งแกร่งของซูฉิน

เขตหวงห้ามภูเขาด้านหลัง

ซูฉินนั่งขัดสมาธิหายใจสงบนิ่งสม่ำเสมอ ราวกับเป็นเพียงคนธรรมดา

แต่ถ้ามียอดปรมาจารย์อยู่ที่นี่ตอนนี้ จะต้องประหลาดใจแน่เมื่อเห็นว่ารอบตัวของซูฉินในระยะสิบเมตรมีอาณาเขตพลังที่ยากจะหยั่งถึง

ภายในอาณาเขตนี้ แม้แต่ยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งก็ถูกสะกดข่ม และยิ่งเข้าใกล้ซูฉินมากเท่าไหร่ก็ยิ่งถูกข่มมากขึ้นเท่านั้น

“ในที่สุดข้าก็พบวิธีที่จะแปลงสภาพกำลังภายใน......”

ซูฉินค่อยๆ ลืมตาขึ้น รอยยิ้มปรากฏเด่นชัดบนใบหน้า

ในช่วงหนึ่งปีที่ผ่านมา ซูฉินได้ไปเยี่ยมชมทั่ววัดเส้าหลินอีกครั้งหนึ่งเพื่อตรวจสอบพื้นที่ตกสำรวจที่เขาไม่ค่อยได้ไปลงชื่อเข้าใช้เท่าไหร่

สุดท้ายซูฉินก็ต้องประหลาดใจเมื่อพบว่าเขตหวงห้ามภูเขาด้านหลังเขา สามารถลงชื่อได้อีกเมื่อเวลาผ่านไป

ในการลงชื่อเข้าใช้ในพื้นที่นี้ นอกเหนือจาก [กายามารพุทธะทองคำ] ซูฉินยังได้รับวิชาอื่นๆ จากเขตหวงห้ามภูเขาด้านหลัง คือ [วิถีมารแยกจิตฝังร่าง] [เพลิงมารผลาญสวรรค์] [มารพุทธาเก้ากระแทก] ฯลฯ ทั้งหมดนี้เป็นวิชาเฉพาะตัวของมารพุทธะ

ในหมู่วิชาเหล่านี้ 'วิถีมารแยกจิตฝังร่าง' เป็นทักษะเฉพาะตัวของมารพุทธะที่ใช้ในการสละกายหยาบแล้วอาศัยอยู่ในรูปของจิตมารวิญญาณแรกกำเนิด

ด้วยวิธีการเรียนรู้ของซูฉินที่ไม่เหมือนใครทำให้เขาเข้าใจในทุกแง่มุมแม้วิชาเหล่านี้จะเป็นวิชาสำหรับผู้ที่เป็นระดับ 'อรหันต์' แล้วก็ตาม

ต้องรู้ว่าแม้แต่ผู้ที่บรรลุระดับ 'อรหันต์' ก็ไม่ได้อยู่ยงคงกระพัน มีช่วงชีวิตยาวนานแค่ห้าร้อยปี

แต่ด้วยอำนาจของวิชา [วิถีมารแยกจิตฝังร่าง] ทำให้มารพุทธะมีชีวิตอยู่รอดมาได้เกือบพันปี เพียงพอที่จะสังหาร 'อรหันต์' ได้ถึงสองชั่วอายุคน

แต่ก็เท่านั้น

อย่างไรซูฉินก็ไม่ได้ให้ความสนใจในวิชา [วิถีมารแยกจิตฝังร่าง]

หากมีวิธีอื่น ใครจะอยากเปลี่ยนตัวเองให้กลายเป็นแบบมารพุทธะ จะเป็นผีก็ไม่ใช่คนก็ไม่เชิง?

เมื่อเทียบกับมารพุทธะ ซูฉินมีศักยภาพไร้ขีดจำกัด เหตุใดจึงต้องใช้ [วิถีมารแยกจิตฝังร่าง] เพื่อยืดอายุออกไป?

แน่นอนว่าซูฉินไม่ได้ตั้งใจจะสละทิ้งกายหยาบ แต่แนวคิดบางอย่างในวิชา [วิถีมารแยกจิตฝังร่าง] นั้นคุ้มค่าที่จะเรียนรู้

นอกเหนือจาก [วิถีมารแยกจิตฝังร่าง] แล้ว วิชา [เพลิงมารผลาญสวรรค์] ถือเป็นผลประโยชน์อันยิ่งใหญ่ที่สุดของซูฉิน

เป็นเคล็ดวิชาที่ใช้จุดเพลิงมนตราด้วยจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์

เพลิงมนตรานั้นมองไม่เห็นด้วยตาเปล่าและไร้สภาพ แต่มันสามารถเผาผลาญสิ่งสกปรกที่เจือปนอยู่ในกำลังภายใน ผลลัพธ์ก็เพื่อทำให้กำลังภายในบริสุทธิ์

“ด้วยความเร็วที่เพลิงมารผลาญสวรรค์จะชำระกำลังภายในให้บริสุทธิ์ มันสามารถแปลงสภาพของกำลังภายในได้ภายในห้าปี!”

ดวงตาของซูฉินสว่างไสว

หากไม่มีเพลิงมารผลาญสวรรค์ ซูฉินที่ทำเพียงคอยขัดเกลามันอย่างค่อยเป็นค่อยไปตามกาลเวลา วิธีนี้อย่างน้อยก็ต้องใช้เวลาหลายสิบปีในการฝึกอย่างหนักเพื่อแปลงสภาพของกำลังภายใน

แต่เพลิงมารผลาญสวรรค์ทำให้ขั้นตอนนั้นหดสั้นลงหลายต่อหลายเท่า

ถ้าให้เหล่ายอดปรมาจารย์ระดับจุดสูงสุดที่บำเพ็ญเพียรอย่างหนักหน่วงในการขัดเกลากำลังภายในมารู้เรื่องนี้ละก็ พวกเขาจะต้องอิจฉาจนคลั่งตาย

แน่นอนว่าซูฉินไม่ได้สนใจพวกยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่ง

ด้วยความแข็งแกร่งในปัจจุบันของเขานั้น การจัดการพวกยอดปรมาจารย์ก็เพียงแค่ใช้ลูกตบไปหนึ่งที

“น่าเสียดายที่หลังจากคราวก่อนต้องใช้ผนึกตราประทับที่ภูเขาด้านหลังในการสะกดมารพุทธะเอาไว้ ไม่เช่นนั้นข้าคงสามารถเอามาใช้เสริมแกร่งร่างกายเพิ่มขึ้นได้อีกครั้งหนึ่ง”

ซูฉินเหลือบมองไปรอบตัวด้วยความเศร้าเสียใจ

การที่มีองค์ยูไลอยู่ระหว่างกึ่งกลางคิ้ว ซูฉินสามารถควบคุมตราประทับเขตหวงห้ามภูเขาด้านหลังได้อย่างสมบูรณ์

แต่ซูฉินรู้ดีถึงความร้ายแรงของเรื่องราวที่จะเกิดขึ้นหลังจากที่ปลดผนึกออกแล้วมารพุทธะถูกปลดปล่อยออกมา มันคุ้มแล้วหรือกับสิ่งที่ได้มา?

ย้ำอีกครั้ง

ตอนนี้ร่างกายของซูฉินแข็งแกร่งขึ้นจนเกือบจะถึงขีดจำกัดแล้ว แม้ว่าจะขัดเกลาซ้ำอีกครั้งมันก็ไม่ได้มีศักยภาพเพิ่มขึ้นมากเท่าไหร่

“หลังจากห้าปีต่อจากนี้ ยามที่กำลังภายในได้แปรสภาพเรียบร้อย ข้าจะลองหาทางตัดผ่านขอบเขตไปยังระดับอรหันต์ให้ได้”

ซูฉินลุกขึ้นแล้วเดินออกนอกภูเขาด้านหลังไป

ซูฉินหลบเลี่ยงภิกษุสงฆ์ที่คอยเดินลาดตระเวนอยู่อย่างเงียบงัน เขากลับไปลานจิปาถะในพริบตาเดียว

“ความแข็งแกร่งในปัจจุบันของข้า เมื่อเทียบกับนักพรตจางทายาทสายตรงของตระกูลเจินเขาหวู่ตั้ง หรือราชครูแห่งอาณาจักรเหมิ่งหยวน ข้าก็ไม่รู้ว่าผู้ใดกันแน่ที่แข็งแกร่งหรืออ่อนแอกว่ากัน?”

ซูฉินคิดอยู่ในใจอย่างไม่ร้อนรน

ไม่ว่าจะเป็นนักพรตจางหรือราชครูแห่งอาณาจักรเหมิ่งหยวน ทั้งคู่ต่างก็เป็นยอดปรมาจารย์ที่ยอดเยี่ยมที่สุดในยุทธภพ

ปกติแล้วระดับชั้นที่หนึ่งทั่วๆ ไป เมื่ออยู่ต่อหน้าสองคนนี้จะไม่กล้าทำตัวกร่างเลย

ซูฉินแอบสงสัยอยู่เล็กน้อยว่าตอนนี้ ทั้งนักพรตจางและราชครูแห่งเหมิ่งหยวนนั้นอยู่ในระดับใด?

ตราบใดที่อย่างหนึ่งอย่างใดใน 'พลังศักดิ์สิทธิ์' 'ร่างกาย' และ'กำลังภายใน'ได้รับการแปรสภาพก็สามารถกล่าวได้ว่าเป็นยอดยุทธในระดับจุดสูงสุดของระดับชั้นที่หนึ่ง

การแปรสภาพครั้งที่สอง ซึ่งจะเป็นการสำเร็จการแปรสภาพทั้งสามรูปแบบ ก็ยังคงได้ชื่อว่าเป็นจุดสูงสุดของระดับชั้นที่หนึ่งอยู่ดี

แม้ว่าตัวซูฉินจะได้แปรสภาพทั้งพลังศักดิ์สิทธิ์และกายเนื้อเรียบร้อยแล้วในปัจจุบัน แต่ด้วยความยอดเยี่ยมของกายเนื้อเพียงอย่างเดียวของเขาก็สามารถเผชิญหน้ากับยอดยุทธที่แปรสภาพมาแล้วสามอย่างได้โดยไม่เกรงกลัว

แต่แน่นอน

แม้ความแข็งแกร่งของซูฉินในตอนนี้จะอยู่ในจุดสูงสุดของยุทธภพแล้ว แต่เขาก็ยังไม่ได้พึงพอใจกับมันแม้แต่น้อย

ในมุมของซูฉิน ถ้าต้องการจะอยู่ยงคงกระพันไร้พ่ายในใต้หล้า ระดับชั้นที่หนึ่งนั้นยังห่างไกลจากคำว่าพอ อย่างน้อยก็ต้องเป็นระดับอรหันต์ถึงจะพอรู้สึกว่าถึงเกณฑ์ที่เขากำหนดเอาไว้

ซูฉินยังรู้สึกถึงขนาดว่าระดับอรหันต์นั้นก็ยังไม่ไร้เทียมทานพอ

เก้าร้อยปีก่อน ถ้าการเป็นระดับอรหันต์มันดีจริงดังว่า แล้ว'ถัวอา' อรหันต์รูปสุดท้ายของวัดเส้าหลินทำไมจึงมรณภาพไป?

เขาไม่แม้แต่จะสังหารมารพุทธะลงได้ ทำได้เพียงสะกดไว้ด้วยฝ่ามือยูไล หลังจากนั้นก็มรณภาพไปอย่างรวดเร็วด้วยอาการบาดเจ็บ

จะเกิดอะไรขึ้นถ้าซูฉินไปอยู่ในยุคนั้นแล้วมีมารพุทธะอีกคนกำเนิดขึ้น?

วันถัดมา

ซูฉินมาที่ลานโพธิ์เพื่อกวาดลาน

“ระบบ ลงชื่อเข้าใช้!”

ซูฉินกล่าวกับตัวเองเงียบๆ ในใจ

[ขอแสดงความยินดี โฮสต์ลงชื่อเข้าใช้สำเร็จ ได้รับโอสถ 'โอสถชะลอโฉม']

เสียงจักรกลดังขึ้นในหูของซูฉิน

“โอสถชะลอโฉม?”

ซูฉินผงะไปชั่วขณะหนึ่ง

เขาไม่ได้คาดหวังว่าครั้งนี้เขาจะลงชื่อเข้าใช้แล้วได้รับ 'โอสถชะลอโฉม'

ในความจริง สำหรับซูฉินแล้ว 'โอสถชะลอโฉม' ไม่มีผลใดๆ มันมีคุณค่าน้อยกว่าโอสถเสริมศักยภาพขนาดเล็กเสียอีก อย่างน้อยโอสถพวกนั้นก็ยังเอามาเคี้ยวเล่นเป็นขนมได้

แต่แน่นอนว่าในสายตาของผู้หญิงบางคน 'โอสถชะลอโฉม' สามารถช่วยให้พวกเธอคงความเยาว์เอาไว้ได้ตลอดไป ซึ่งมันไม่ต่างไปจากยาอายุวัฒนะเลย

“ลืมมันไปเสีย”

“เก็บมันเอาไว้ก่อนแล้วกัน”

“บางทีอาจจะมีโอกาสได้ใช้มันในอนาคต”

ซูฉินโยน 'โอสถชะลอโฉม' กลับเข้าไปในคลังของระบบ

หลังจากลงชื่อเข้าใช้สำเร็จ ซูฉินก็มองขึ้นไปที่อาคารของลานโพธิ์

“ฮุ่ยเหวินปิดด่านฝึกตนมาเป็นปีแล้ว ทำไมยังไม่เสร็จสิ้นอีกเล่า หรือจะมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นกัน?”

ซูฉินงุนงง

เขาจำได้ว่าเมื่อยามที่เขาก้าวจากระดับชั้นที่สองขึ้นมาเป็นระดับชั้นที่หนึ่ง เขาไม่พบกับความยากลำบากใดๆ เลย มันเป็นเรื่องง่ายดายและเป็นธรรมชาติอย่างที่สุด

นอกจากนี้ เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินก็ได้ต่อเติมพื้นที่ในลานโพธิ์สำหรับใช้ในการเก็บตัวครั้งนี้ เพื่อเพิ่มโอกาสความสำเร็จในการตัดผ่านโดยการใช้โอสถจำนวนมหาศาลที่ปรุงขึ้นจากลานโพธิ์

ถ้าว่าตามเหตุและผล มันไม่น่าจะมีปัญหาใด

“ลองดูหน่อยซิ”

ซูฉินใช้ดวงตาแห่งสัจจะมองลึกเข้าไปในส่วนลึกของอาคารลานโพธิ์

ด้วยดวงตาแห่งสัจจะ ในขอบเขตการมองเห็นของซูฉินพบรัศมีของบุคคลนับสิบอยู่ในส่วนลึกด้านในอาคารลานโพธิ์

ซูฉินจับจ้องไปที่ไอพลังของเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินได้อย่างรวดเร็ว

หลังจากเข้าร่วมวัดเส้าหลินมาเป็นเวลานานกว่าสิบปี แม้ซูฉินจะไม่ได้ติดต่อกับเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินมากนัก แต่ก็สามารถจับกลิ่นอายได้อย่างง่ายดาย

“อะไรกัน?”

“มันอ่อนแอถึงขนาดนี้ได้เยี่ยงไร?”

“หรือนี่คืออาการธาตุไฟเข้าแทรก?”

ซูฉินขมวดคิ้วและพึมพำเสียงเบา

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด