ตอนที่ 4 หนูเป็นคนขี้อาย
ตอนที่ 4 หนูเป็นคนขี้อาย
“ผมถามว่าเด็กอยู่ไหน?”
คำกล่าวเหล่านี้ส่งผ่านแรงกดดันรอบข้างไปยังหูของคุณพยาบาลขณะเหงื่อที่บริเวณหน้าผากของเธอหยดลงมาทันที
การที่เด็กหายตัวไปถือว่าทางโรงพยาบาลไม่มีความรับผิดชอบอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งสิ่งนี้เป็นสิ่งที่เธอแบกรับเอาไว้ไม่ไหว
และในขณะนี้จี้ซูหยางได้มาถึงลานจอดรถของโรงพยาบาลแล้วและวางร่างของทารกน้อยฮัวลี่ลี่ไว้บนที่นั่งผู้โดยสารด้านข้างคนขับ จากนั้นจึงมองไปรอบ ๆ ผ่านกระจกมองหลังและกอดฮัวลี่ลี่ที่กำลังนอนอยู่ในผ้าห่ม
“ทุกอย่างโอเคแล้ว ลุงจะพาหนูออกไปเอง!”
…ว่างเด็กอ่อนอายุสามเดือนไว้ที่เบาะผู้โดยสารเนี่ยนะโอเค?
ลุงคาดเข็มขัดเอาไปให้หนูด้วย!
ลุงไม่รู้กฎหมายเหรอ?
ตอนนี้ฮัวลี่ลี่รู้สึกประหม่ามากแต่ก็ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี?
เมื่อรถหยุดที่สัญญาณไฟแดงจี้ซูหยางก็รับโทรศัพท์ จากนั้นเขาก็มองไปที่กระจกมองหลังอย่างประหม่าพร้อมกับคำรามอย่างแผ่วเบา ขณะที่เหยียบคันเร่งจนสุดแล้วออกรถไปโดยมีรถตามหลังเขามา
โชคดีที่ตอนนี้บนถนนมีรถไม่มากนักจึงไม่มีสิ่งกีดขวาง ดังนั้นการขับรถที่ใช้ความเร็วสูงเช่นนี้จะเกิดการชะลอตัวก็เมื่อรถจะต้องเลี้ยวขวา ซึ่งมันทำให้เกิดการดริฟท์ที่สวยงาม ส่งผลให้ยางรถยนต์เสียดสีกับถนนยางมะตอยหลายจุดพร้อมกับเสียงเอี๊ยดอ๊าดที่เกิดจากการเสียดสีนั้นและกลุ่มควันที่รุนแรง
ฮัวลี่ลี่ซึ่งตอนนี้เป็นเพียงแค่ทารกน้อยที่เกือบจะกระเด็นหล่นลงจากที่นั่งผู้โดยสารที่เธอนอนอยู่ ขณะที่ตัวสั่นงันงกอยู่ในผ้าห่มที่ห่อตัวเธอพลางเอื้อมมือเล็ก ๆ อันอวบอ้วนไปกำเข็มขัดนิรภัยเอาไว้แน่นด้วยความตื่นตระหนก!
และในกรณีนี้เห็นได้ชัดว่าการคาดเข็มขัดนิรภัยอาจไม่เป็นประโยชน์!
ในขณะนี้เธอสวดมนต์อยู่ในใจด้วยความรู้สึกกลัวมากจนฉี่แทบจะราด และในเสี้ยววินาทีนั้นฮัวลี่ลี่ตัดสินใจได้ในทันทีว่าจะไม่เชื่อคำกล่าวของเขาเด็ดขาด!
จี้ซูหยางเฝ้าดูสถานการณ์ของรถที่ตามมาด้านหลังขณะที่เขากำลังขับรถด้วยความกระวนกระวายใจ พลางทุบพวงมาลัยด้วยความโกรธเมื่อเห็นรถหลายคันไล่ตามตนเองมาติด ๆ
และในจังหวะนั้นรถของคุณลุงก็เกือบสูญเสียการทรงตัวที่บริเวณสี่แยก เพราะเขาต้องการขับรถออกจากเมือง แต่หนทางข้างหน้ากลับกำลังก่อสร้าง ซึ่งมันทำให้ถนนถูกกีดขวาง
ตอนนี้แม้ว่าจี้ซูหยางจะต้องการหาทางออกอื่นก็ทำไม่ได้เสียแล้ว เพราะรถที่ตามหลังเขามาจอดขวางทางเรียงเป็นแนวอยู่ทางด้านหลัง
ทำให้สถานการณ์ตอนนี้คือมีผู้ไล่ตามอยู่ด้านหลังอีกทั้งยังมีทางตันอยู่ข้างหน้า เมื่ออยู่ท่ามกลางความกดดันทำให้จี้ซูหยางจำเป็นต้องตัดสินใจอย่างเร่งด่วน จึงรีบอุ้มฮัวลี่ลี่ออกจากรถและวิ่งหนีไปในความมืด อย่างไรก็ตามในไม่ช้าเขาก็ถูกล้อมโดยไม่มีทางหนีรอดไปได้
ตอนนั้นฮัวลี่ลี่รู้สึกว่าหัวใจที่อ่อนโยน ตับ ม้าม ปอดและไตของเธอกำลังถูกกระแทกกระทั้นจนแทบจะหลุดออกมา จากนั้นความรู้สึกแปลก ๆ ก็แผ่ซ่านจากบริเวณกระดูกสันหลังลงไปสู่ส่วนล่างของเธอ
เอ่อ…ไม่นะ...อั้นเอาไว้ก่อน!
รถทั้งสามคันโอบล้อมจี้ซูหยางไว้ตรงกลางและทันใดนั้นไฟหน้าของรถทุกคันก็เปิดขึ้นแทบจะพร้อมเพรียงกัน ทำให้เขาไม่สามารถลืมตาได้ด้วยอาการตาพร่ามัวในทันที
เมื่อสภาพแวดล้อมกดดันด้วยแสงจ้าที่รุนแรงเขาจึงยกมือขึ้นเพื่อปิดตาตนเองอย่างลืมตัว อย่างไรก็ตามเมื่อทำเช่นนั้นเด็กที่อยู่ในมือของเขาก็ถูกกระชากไปอย่างง่ายดาย โดยสิ่งที่เหลืออยู่ในมือของเขาคือผ้าห่มที่ใช้พันตัวของฮัวลี่ลี่ จากนั้นเขาก็ถูกเตะให้ลงไปกองกับพื้นอย่างรวดเร็ว
และสภาพร่างกายของจี้ซูหยางนั้นอ่อนแอเกินไปส่งผลให้การต่อสู้ในครั้งนี้นั้นเขาไม่มีโอกาสตอบโต้กลับเลยแม้แต่ครั้งเดียว
และในที่สุดนายใหญ่ก็เดินทางมาถึง ท่ามกลางสายตาหลายคู่ที่จะจัองมองมายังชายหนุ่มผู้มีความเย่อหยิ่งซึ่งจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากฮัวซุ่ยเฉิง
โดยเขาเดินออกจากรถและยืนอยู่ตรงหน้าจี้ซูหยางขณะที่ยืนพิงไฟหน้า ทำให้ร่างสูงใหญ่ถูกปกคลุมด้วยความมืดมิดและไม่สามารถมองเห็นการแสดงออกบนใบหน้าของเขาได้
คอนนี้มีคนอุ้มทารกน้อยเอาไว้และยืนอยู่ตรงหน้าฮัวซุ่ยเฉิง ส่วนฮัวลี่ลี่ที่ถูกถอดผ้าห่มพันตัวออกไปแล้วจึงสวมแค่เพียงชุดจั๊มสูทสีขาวจากโรงพยาบาลเท่านั้น
ตอนนี้ด้วยใบหน้าเล็ก ๆ ที่แดงก่ำและน่องถูกยืดออกอีกทั้งนิ้วเท้ากับนิ้วมือมือยังเกร็งจนกล้ามเนื้อตึงไปทั้งร่าง มันทำให้ดูราวกับว่าเธอกำลังหนาวสั่น แต่ในความเป็นจริงแล้วความมุ่งมั่นทั้งหมดของเธอกำลังต่อสู้กับระบบประสาทซึ่งไม่สอดคล้องกัน โดยที่เธออดไม่ได้ที่จะให้กำลังใจตัวเอง
...อดทนเอาไว้...
เด็กสาวอายุสิบแปดที่ขี้อายจะทำแบบนี้ตอหน้าคนจำนวนมากได้ยังไง? ฉันไม่สามารถทำสิ่งที่น่าอับอายเช่นนี้ได้อย่างแน่นอน!
เดี๋ยวก่อน! เราต้องอดทน!
เมื่อมองไปยังใบหน้าจิ้มลิ้มของฮัวลี่ลี่ที่ยู่ยี่จนฮัวซูเฉิงรู้สึกผิดปกติเล็กน้อย ขณะที่อุ้มทารกน้อยด้วยมือข้างเดียวของผู้ชายที่ยืนอยู่ด้านข้าง โดยนึกชมอยู่ในใจว่าทารกน้อยคนนี้ค่อนข้างกล้าหาญที่ไม่ส่งเสียงร้องไห้ออกมาเลย
และในช่วงเวลาสุดท้ายนี้ ในที่สุดร่างกายที่มีอายุไม่กี่เดือนของเธอก็สามารถเอาชนะจิตวิญญาณของเด็กสาวอายุสิบแปดปีได้อย่างสิ้นเชิง เพราะตอนนี้เธอไม่สามารถควบคุมการทำงานตามธรรมชาติของร่างกายตนเองได้อีกต่อไปเพราะในที่สุดมันก็ถูกปล่อยออกมา
ไม่! ฉันจะไม่ฉี่แตกตรงนี้!
ต่อหน้าผู้คนมากมายเนี่ยนะ!
ต้องควบคุม! ควบคุมให้ได้!!!
จากนั้นเธอก็รู้สึกราวกับว่ามีสายลมเย็นพัดผ่านมาจากทุกทิศทุกทางจนขนลุกไปทั้งร่าง ขณะที่เกิดความรู้สึกเหมือนไฟฟ้าช็อตแพร่กระจายอย่างรวดเร็วจากปลายกระดูกสันหลังของเธอ ซึ่งมันทำให้หัวใจของเด็กทารกฮัวลี่ลี่เต้นรัวเหมือนกลอง
…เสร็จแล้ว…อ๊ะ...อา.อา.ควบคุมไม่ได้แล้ว !!!
หยดสิ…
ติ๋ง...ติ๋ง...ติ๋ง...
“ประธานฮัวครับ…เอ่อ...”
ตอนนั้นในจิตใจของฮัวลี่ลี่ว่างเปล่าขณะที่หรี่ตามองไปยังใบหน้าของผู้ชายคนที่อุ้มร่างกาย อันเปียกปอนของเธอด้วยความรู้สึกหดหู่ใจ
และแม้ว่าเธอจะยังมีชีวิตอยู่ แต่เธอก็รู้สึกอับอายจนไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรงและไม่รู้ว่าจะทำหน้าอย่างไรดี
———