ตอนที่แล้วSign in Buddha's palm 28 โอสถควบรวมไอศักดิ์สิทธิ์
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปSign in Buddha's palm 30 จากไป

Sign in Buddha's palm 29 พลังศักดิ์สิทธิ์


Sign in Buddha's palm 29 พลังศักดิ์สิทธิ์

“นี่ข้าได้รับโอสถควบรวมไอศักดิ์สิทธิ์จริงๆ น่ะหรือ?”

ซูฉินดูมีความสุขเหลือล้น รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้า

ตั้งแต่ที่เขากลายมาเป็นระดับชั้นที่หนึ่ง ก็ไม่รู้ว่าเขาใช้ 'โอสถกักเก็บพลังศักดิ์สิทธิ์' ไปแล้วกี่เม็ดเพื่อสั่งสม'พลังศักดิ์สิทธิ์' ในร่าง

แต่ผลที่ออกมาก็ไม่ค่อยน่าพอใจนัก

แม้ว่า 'พลังศักดิ์สิทธิ์' ของเขาจะเติบโตขึ้นเรื่อยๆ แต่ก็ยังห่างไกลจากการกลั่นจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ออกมาได้

ดูเหมือนว่าการจะควบแน่นจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ออกมาได้นั้น ไม่ได้ขึ้นอยู่กับปริมาณของ 'พลังศักดิ์สิทธิ์' ที่มี

เดิมทีซูฉินวางแผนจะใช้เวลาหลายสิบปีในการกลั่นเกลาจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ไปอย่างช้าๆ

แต่ตอนนี้หลังจากที่ลงชื่อเข้าใช้ แล้วมี 'โอสถควบรวมไอศักดิ์สิทธิ์' เด้งออกมาจากระบบ ซูฉินก็ตระหนักได้ในทันทีว่าคงใช้เวลาอีกไม่นานแล้ว

“อย่าได้เป็นกังวลๆ”

“ก่อนที่จะกลืน 'โอสถควบรวมไอศักดิ์สิทธิ์' ควรจะต้องปรับสภาพตนเองให้ถึงพร้อมที่สุดเสียก่อน”

ซูฉินไม่ได้รีบใช้ 'โอสถควบรวมไอศักดิ์สิทธิ์' ในทันที แต่สงบใจลงพิจารณารายละเอียดยิบย่อยของการ กลั่นจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ในส่วนของตน

แม้ว่า 'โอสถควบรวมไอศักดิ์สิทธิ์' จะช่วยให้ยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งควบแน่นจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ออกมาได้

แต่สิ่งที่สำคัญเหนืออื่นใดคือซูฉินต้องพึ่งพาตัวของตัวเอง ไม่ว่า 'โอสถควบรวมไอศักดิ์สิทธิ์' จะมีสรรพคุณคับฟ้าเพียงไร แต่สุดท้ายมันก็เป็นเพียงส่วนเสริม

แล้วก็

ในบางกรณีที่มีโอกาสเกิดขึ้นน้อยมากคือมีบางสิ่งผิดพลาดขณะกลั่นจิตสัมผัสจนทำให้จิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์เสียหาย ผลกระทบที่ตามมาย่อมทบต้นไปไม่มีสิ้นสุด

หากร่างกายเสียหาย สามารถดูแลให้มันฟื้นฟูอย่างช้าๆ หรือไม่ก็รับโอสถตามอาการ

แต่ถ้าจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์เสียหาย มีเพียงแต่ต้องพึ่งพาตัวเองเท่านั้น

ด้วยความคิดแบบนี้ซูฉินจึงตัดสินใจว่าระหว่างนี้นอกจากลงชื่อเข้าใช้ตามปกติแล้ว เขาควรจะชะลอการบ่มเพาะลงเสียหน่อยแล้วไปเตรียมความพร้อมก่อนจะใช้ 'โอสถควบรวมไอศักดิ์สิทธิ์'

จากนั้น

ชีวิตก็ดำเนินเรื่อยไปตามที่ควรจะเป็น

ไม่ว่าจะเป็นพระพุทธรูปโบราณ หรือจะโคมไฟสีน้ำเงินในวัดเส้าหลินล้วนทำให้ซูฉินไม่รู้สึกถึงกาลเวลาที่เปลี่ยนแปลงไป

สิ่งที่แตกต่างไปจากแต่ก่อน ก็คงจะเป็นองค์หญิงราชวงศ์ถังตัวน้อยที่ดูจะติดซูฉินไม่น้อย เมื่อใดที่ซูฉินเดินผ่านป่าไผ่ นางมักจะแอบติดตามเขาไปตลอด

ตั้งแต่ที่ซูฉินได้โอสถควบรวมไอศักดิ์สิทธิ์มา ก็ทำให้อยู่ในอารมณ์ที่เบิกบานยิ่ง หากไม่มีอะไรต้องไปทำ เขาก็มักจะสนทนากับองค์หญิงตัวน้อยเพื่อฆ่าเวลา

ในระหว่างที่พูดคุยกัน ซูฉินก็ได้รู้เรื่องราวความลับในวังเพิ่มมาบ้างจากองค์หญิง

ตามคำอธิบายจากองค์หญิงราชวงศ์ถัง องค์จักรพรรดิถังไม่ได้ทำงานราชการอีกต่อไปและคงมีชีวิตอยู่ได้อีกไม่กี่ปี

ในพระราชวังองค์ชายแต่ละพระองค์ก็ล้วนมีความคิดอ่านที่แตกต่างกันออกไป หลายคนก็สั่งสมกองกำลังมีความคิดที่จะฉวยโอกาสยึดอำนาจ

เป็นไปได้ว่าเมื่อใดที่องค์จักรพรรดิถังสวรรคต เจ้าชายเหล่านี้จะต้องต่อสู้ห้ำหั่นกันอย่างเต็มที่เพื่อยศฐา

แน่นอนว่าสิ่งเหล่านี้หาได้เกี่ยวข้องกับซูฉินไม่

ซูฉินจะไม่แม้แต่หันไปมองซ้ำ ไม่ว่าจะเลือดชโลมเต็มผืนฟ้า หรือท่วมพื้นพสุธา

“พระตัวน้อย ข้านั้นไม่ชอบสถานะการเป็น 'องค์หญิง' เสียจริงๆ ถ้าเป็นไปได้ข้าก็มิอยากใช้แซ่ลี่”

เด็กหญิงตัวเล็กพูดด้วยน้ำเสียงกระท่อนกระแท่น

“ไม่อยากจะใช้แซ่ลี่?”

ซูฉินหันมององค์หญิงด้วยสายตาประหลาดใจ

ต้องทราบว่าแซ่ลี่ เป็นชื่อสกุลของเชื้อพระวงศ์ ไม่รู้ว่ามีกี่คนกันที่ปรารถนาจะใช้ชื่อสกุลนี้เพื่อทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าในก้าวเดียวแล้วกลายเป็นขุนนาง

“แล้วเจ้าอยากจะใช้ชื่อสกุลว่าอะไร?”

ซูฉินถามออกอย่างไม่ได้จริงจังนัก

เด็กหญิงตัวเล็กจับไปที่แก้มของตน คิดอยู่สักพักก่อนจะพูดอย่างจริงจังว่า “ข้าคิดว่าชื่อสกุลของข้านั้นควรจะเป็น อู่”

“อู่?”

ซูฉินทวนถาม

“ถูกต้อง เพราะข้าต้องการจะเป็นยอดยุทธที่แท้จริง และกำหนดโชคชะตาของข้าด้วยตัวข้าเอง” เด็กหญิงตัวเล็กกำหมัดแน่น

“พระตัวน้อยแล้วเจ้าล่ะอยากจะเป็นอะไรในอนาคต?”

เด็กน้อยถามขึ้นอย่างกะทันหัน

“ต้องการจะเป็นอะไรอย่างนั้นหรือ?”

ซูฉินครุ่นคิดอยู่ครูหนึ่งและจึงตอบด้วยน้ำเสียงจริงจัง

“ผู้ไร้พ่ายในใต้หล้า!”

“อุ๊ฟ!”

เด็กหญิงแทบกลั้นขำไม่อยู่

ไร้พ่ายในใต้หล้า?

ก็รู้อยู่ว่าแม้กระทั่งขันทีชุดม่วงที่คอยคุ้มกันองค์จักรพรรดิถังและใช้ความแข็งแกร่งของตนข่มขู่ขุนนางและองค์ชายจนหงอก็ไม่กล้าที่จะอวดอ้างว่าตนไร้พ่ายในใต้หล้านี้.......

เวลาผ่านเลยไปอย่างรวดเร็ว

สามเดือนต่อมา

“คืนนี้แหละ ข้าคงสามารถใช้ 'โอสถควบรวมไอศักดิ์สิทธิ์' ได้แล้ว”

ซูฉินนั่งไขว้ขา กลืน 'โอสถควบรวมไอศักดิ์สิทธิ์' ลงไปหนึ่งเม็ด

'โอสถควบรวมไอศักดิ์สิทธิ์' ละลายในปากก่อนจะค่อยๆ ซึมเข้าไปในร่างและหายไปอย่างไร้ร่องรอย

ซูฉินไม่ได้แปลกใจกับการหายไปนี้ ทั้งหมดทั้งมวลนั้น'โอสถควบรวมไอศักดิ์สิทธิ์' เป็นโอสถที่มีผลเฉพาะกับพลังศักดิ์สิทธิ์ กายเนื้อนั้นไม่สามารถดูดซึมมันได้

ฟู่!

ชี่!

ซูฉินรู้สึกว่า'โอสถควบรวมไอศักดิ์สิทธิ์'กลายเป็นกระแสพลังหมุนวนห่อหุ้ม 'พลังศักดิ์สิทธิ์' พยายามบีบอีดและกลั่นพลังออกมาอย่างต่อเนื่อง

เป๊ง!!

ในขณะที่ 'พลังศักดิ์สิทธิ์' ยังคงกลั่นตัวอยู่ จิตวิญญาณที่มองไม่เห็นก็เกิดความผันผวนกระจายแผ่ไปทั่วทั้งตัว

ครู่ต่อมา!

ตูม!!!

จิตวิญญาณของซูฉินพลันคำรามก้องและ 'พลังศักดิ์สิทธิ์' ที่ถูกบีบอัดมาอย่างต่อเนื่องจนเป็นจุดเดียว ในที่สุดก็ระเบิดออกกลายเป็นพลังที่มองไม่เห็นกวาดไปทั่วทุกสารทิศ

ถึงความผันผวนนี้จะมองไม่เห็นและสัมผัสไม่ได้แต่มันมีอยู่จริง

“ในที่สุดก็กลั่นจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ออกมาได้...”

ซูฉินค่อยๆ เลื่อนเปิดเปลือกตาขึ้น

ในตอนนี้โลกตรงหน้าของเขาแตกต่างจากที่เคยเห็นมาก่อน

ภายในรัศมีรอบตัวหลายสิบฟุต หญ้า พืชพรรณ ดอกไม้ และใบไม้ล้วนตกอยู่ในสายตาของซูฉิน

เมื่อเทียบกับความสามารถของดวงตาแห่งสัจจะแล้ว จิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ทำให้เขารู้สึกว่าเขาแทบจะควบคุมทุกสิ่งทุกอย่างในขอบเขตรอบตัวได้

“ไหนมาลองดูขอบเขตของจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์หน่อยซิว่ากว้างไกลเพียงใด”

เมื่อความคิดสั่งการ จิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ที่ครอบคลุมรอบร่างกายค่อยๆ แผ่ออกไปทั่วทิศอย่างช้าๆ

หลังจากทดสอบอยู่ช่วงสั้นๆ ซูฉินก็พบว่าสำหรับจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ระยะที่ดีที่สุดคือสิบฟุตรอบตัวของเขาเอง

สำหรับระยะทางที่ไกลออกไปจิตสัมผัสจะเริ่มพร่าเลือนลง

“แผ่ขยายออกไปอีก!”

ซูฉินต้องการจะทดสอบขีดจำกัดด้านระยะของจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์

ฉับพลัน

จิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ก็กลายเป็นเหมือนกันคลื่นที่มองไม่เห็นข้ามผ่านอากาศกวาดไปทั่วทิศทาง

ในช่วงเวลานี้ลานจิปาถะ เนินเขาเล็กๆ รวมถึงป่าไผ่ที่พระชายาลี่เฟยพักอาศัยก็ถูกกวาดผ่านด้วยจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์

ด้านในป่าไผ่

ในห้องใต้หลังคาที่งดงาม

ใบหน้าของพระชายาลี่เฟยซีดเซียว ตัวของเธอนอนพิงอยู่กับเตียง

มีม่านกั้นลงมาคลุมปิดมิดชิด ถ้ามองจากภายนอกจะเห็นได้เพียงเงาร่างที่คลุมเครือ

“ไอ้บัดซบนั่น!”

ดวงตาของพระชายาลี่เฟยเย็นชายิ่ง เค้นคำพูดออกมาตามไรฟัน

“พระชายาโปรดอย่ามีโทสะไปเลย!”

หงกงกงรีบปรามพระชายา “ถึงพิษของดอกลำโพงม่วงจะถูกระงับเอาไว้ แต่มันก็ยังไม่ได้ถูกกำจัดออกไปจนหมด หากพระชายาโกรธมันอาจจะไปกระตุ้นพิษขึ้นมาได้...”

เมื่อคำได้กล่าวออก

พระชายาลี่หลับตาลงและเมื่อเธอลืมตาอีกครั้งก็พูดด้วยน้ำเสียงนิ่งสงบ “ข้าเข้าใจแล้ว”

“วัดเส้าหลินเป็นเยี่ยงไร ที่นี่มีภัยคุกคามใดหรือไม่?”

พระชายาลี่เฟยถามตรงๆ

“ไม่ต้องกังวลไปพระชายา” หงกงกงกล่าว “ข้ารับใช้เฒ่าผู้นี้สำรวจวัดเส้าหลินมาตลอดช่วงสองสามเดือนมานี้ ยกเว้นไว้แต่พื้นที่ต้องห้ามไม่กี่แห่ง เช่น ภูเขาด้านหลัง ก็ไม่มีอันตรายอื่นอีก”

“วัดเส้าหลินในยุคนี้มีเพียงระดับชั้นที่สองและนั่นก็คือเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวิน ข้ารับใช้ชราผู้นี้สามารถที่จะกำราบมันได้ภายในยี่สิบกระบวนท่า และสามารถสังหารมันได้ภายในร้อยกระบวนท่า!”

หงกงกงอธิบายเพิ่มเติมอย่างช้าๆ

“ถึงแม้วัดเส้าหลินจะเป็นสุดยอดพรรค แต่ยุคนี้กลับเสื่อมถอยลงโดยสมบูรณ์”

“ที่เรียกขานกันว่าดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของชาวพุทธก็ไม่มีอะไรมากไปกว่าการเอาทองมาแปะติดใบหน้าให้ดูขลังก็เท่านั้น”

หงกงกงส่ายหัวอย่างเหยียดหยาม

อย่างไรก็ตาม

ในช่วงเวลาถัดมา

คลื่นแห่งจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ม้วนผ่านเข้ามาแล้วกวาดซัดไปทั่วห้องใต้หลังคาในชั่วพริบตา

พระชายาลี่เฟยย่อมไม่สังเกตเห็นอะไร

แต่การแสดงออกของหงกงกงเปลี่ยนผันไปอย่างมาก

“นี่คือ?!!”

ทันใดนั้นหงกงกงก็ตัวตั้งตรงราวกับว่าได้สัมผัสถึงอะไรบางอย่างที่น่าเหลือเชื่อ

“ความผันผวนของจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์?”

“นี่คือยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่ง?”

หงกงกงตัวแข็งเกร็งและสั่นเทิ้มอยู่หลายครั้งหลายครา

--------------------------------------------------------

คาดเดาว่าพระชายาลี่เฟย คือชื่อตำแหน่งของสตรีในวังหลังในสมัยถังเสวียนจง ซึ่งเป็นระบบซานฟูเหริน มีพระชายาขั้นที่ 1 ชั้นเอก สามตำแหน่งและลี่เฟยก็เป็นหนึ่งในสามตำแหน่งนั้น ทั้งนี้ยังมีลำดับขั้นที่รองลงจากนี้คือพระสนมชั้นเอกอยู่อีกเก้าตำแหน่ง จึงขอเปลี่ยนแปลงคำเรียกขานจากพระสนมลี่เฟยเป็นพระชายาลี่เฟยแทน

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด