ตอนที่แล้วบทที่ 26 ดันเจี้ยนมรดกและราชาแห่งขุนเขา(1)
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 28 ดันเจี้ยนมรดกและราชาแห่งขุนเขา(3)

บทที่ 27 ดันเจี้ยนมรดกและราชาแห่งขุนเขา (2)


"ถูกต้อง"

ชไวเซอร์ยิ้มจาง ๆ แล้วควันก็หายไป

ครร

ประตูบานใหญ่เริ่มเปิดออกอย่างช้าๆ เฟรย์ซึ่งอยู่ห่างออกเพียงหนึ่งก้าวยืนอยู่ที่นั่นและดูสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น

ในที่สุดภายในของดันเจี้ยนก็ถูกเปิดเผย อย่างไรก็ตามเฟรย์ดูเหมือนจะไม่มีความสุขเลยแม้แต่น้อย

“…”

หลังประตูที่เปิดมานั่นเป็นห้องที่ใหญ่แต่ว่างเปล่า

ไม่...มันไม่ได้ว่างเปล่า

มีโลหะสองตัวยืนอยู่ที่นั่นซึ่งดูเหมือนจะทำจากโลหะที่เขาไม่รู้จัก

พวกมันคือโกเลมเหล็ก

แต่สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่สิ่งที่จะถูกกำจัดไปได้ง่ายๆเพราะแท้จริงแล้วพวกมันคือผู้พิทักษ์แห่งดันเจี้ยนใต้ดิน

พวกมันมีพลังมากจนแม้แต่เฟรย์ก็ไม่สามารถเอาชนะพวกมันได้

เดิมทีห้องนี้น่าจะมีคาถาที่ทรงพลังบันทึกการวิจัยเวทย์มนตร์หรืออุปกรณ์ที่น่าทึ่ง

เฟรย์เคยคิดว่าไม่น่าจะมีใครมาเยี่ยมชมสถานที่แห่งนี้มาก่อน แต่เขาลืมที่จะคำนึงถึงข้อเท็จจริงที่ว่ามันอยู่มานานถึง 4,000 ปี

“ฉันไม่รู้ด้วยซ้ำว่าของในดันถูกเอาออกไปตอนไหน”

เฟรย์หยุดชั่วคราวขณะที่เขามองไปรอบๆ อย่างเงียบๆ

‘พื้นที่นี้…มันเล็กขนาดนี้เลยเหรอ?’

เมื่อเขาตรวจสอบเกาะแล้ว ดันเจี้ยนก็ดูเหมือนจะใหญ่กว่าที่เขาเห็นมาก

ขณะที่เขามองไปรอบ ๆ ด้วยความสับสนสายตาของเขาก็ถูกดึงไปที่ประตูอีกบานที่อยู่อีกด้านหนึ่งของห้องขนาดใหญ่

ทางด้านขวาของประตูบานใหญ่ซึ่งดูเหมือนกับประตูที่เพิ่งเปิดออกไปนั่นคือหินอ่อนอีกอัน

เฟรย์เดินเข้ามาหาหินอ่อนนี้และผสมด้วยมานาของเขา

ตุยยยยย

เหมือนก่อนหน้านี้ควันได้พวยพุ่งออกมาอีกครั้งก่อนจะกลายร่างเป็นคนผมสีเทา

ชไวเซอร์ปรากฏตัวอีกครั้ง

ความแตกต่างเพียงอย่างเดียวคือครั้งนี้ดูเหมือนว่าเขาจะมีอายุมากขึ้นเล็กน้อย

ภาพลวงตาครั้งแรกเป็นของเด็กผู้ชายคราวนี้เขาปรากฏตัวเป็นชายหนุ่ม

“สำหรับคำถามที่สอง”

“คำถามที่สอง?”

“อา..ฉันอาจจะอธิบายไม่ถูก ยิ่งคุณเข้าไปข้างในมากเท่าไหร่คุณก็จะได้รับไอเทมที่หายากมากขึ้นเท่านั้น และโปรดทราบว่าคุณสามารถนำออกได้เพียงชิ้นเดียวเท่านั้น”

ชไวเซอร์ไม่ได้ตอบสนองเขาจริงๆ

เพียงแค่ว่าช่วงเวลาของคำถามของเขาสมบูรณ์แบบมากจนดูเหมือนว่าพวกเขากำลังสนทนากันจริงๆ

ชไวเซอร์ชี้ไปที่โกเลมเหล็ก

“ฉันจะไม่รับผิดชอบหากคุณตัดสินใจที่จะฝ่าฝืนกฎนี้ ฉันอาจจะให้อภัยคุณได้ แต่พวกเขาคงไม่ยอมแน่นอน”

จากนั้นเขาก็ยิ้มอย่างสดใส

“ถ้าคุณตอบผิดคุณจะถูกส่งตัวไปทันทีดังนั้นทำใจให้สบาย”

* * *

“ถ้าอย่างนั้นเรามาดูคำถามต่อไปกันดีกว่า”

ในขณะนั้นเฟรย์เริ่มรู้สึกประหม่าเล็กน้อย

เขารู้สึกว่าเขารู้หลายเรืองเกี่ยวกับชไวเซอร์ แต่เขาไม่สามารถรับประกันได้ว่าเขารู้ทุกอย่างจริงๆ

เพราะทุกคนต่างก็มีบางสิ่งที่พวกเขาอาจไม่ต้องการที่จะเปิดเผย

นี่ก็คงเหมือนกันสำหรับลูคัสที่ถูกเรียกว่ามหาจอมเวทย์และชไวเซอร์ที่ถูกยกย่องว่าเป็นนักปราชญ์

“แม่มดดำ ไอริสไพลส์ฟาวเดอร์ ฉันละไม่ชอบผู้หญิงคนนั้นจริงๆ”

“…”

มันเป็นคำพูดลอยๆออกมา

เฟรย์เอียงศีรษะเล็กน้อยด้วยความสับสน

เขารู้ว่าไอริสและชไวเซอร์ไม่สามารถเข้ากันได้เป็นพิเศษ แต่ ...

‘ไอริสมีปัญหาหรือเปล่า?’

เฟรย์หรี่ตาลงเล็กน้อย

ผู้หญิงคนนั้นดูเหมือนจะเป็นตัวเป็นตนของปริศนา เธอชอบที่จะซ่อนหลายๆอย่างและเธอก็ยังทำมันได้ดีอีกด้วย

ในขณะที่เฟรย์กำลังครุ่นคิดอย่างจริงจังชไวเซอร์ก็พูดต่อ

“เธอแสร้งทำเป็นไม่สนใจในขณะที่เรากำลังปกป้องโลก ในตอนแรกฉันไม่ชอบแม่มดคนนั้นมากเพราะฉันไม่เข้าใจวิธีคิดของเธอ ทำไมเธอต้องมามีความรักทั้งที่ทวีปกำลังจะกลายเป็นทะเลเพลิง?”

“ฮู…”

สิ่งนี้น่าสนใจ

เฟรย์เริ่มจำไอริสได้

เธอเป็นผู้หญิงที่มักจะมีรอยยิ้มลึกลับซึ่งเข้ากันได้ดีกับผมสีเข้มของเธอ เขาไม่เคยรู้มาก่อนว่าเธอพยายามยั่วยวนเพราะเธออดอยากความต้องการทางเพศจริงๆ หรือเป็นเพียงนิสัยทั่วไปของแม่มด

แต่เขาหมายความว่าอะไรนะ? มีผู้ชายที่ไอริสชอบหรือ?

ไม่เคยมีการนินทาใดๆ เกี่ยวกับการที่เธอมีความสัมพันธ์ในกลุ่มเพื่อนๆของเธอ

“ลูคัสไอ้บื้อนั่น เขาเป็นคนเดียวที่ไม่เคยเห็นเลยว่าเธอกำลังอ่อยเขาอย่างโจ่งแจ้ง”

"…ฮะ?"

ใบหน้าของเฟรย์ซีดลงเล็กน้อยเมื่อชไวเซอร์พูดคำเหล่านั้น

“นายกำลังพูดถึงอะไร…?”

“อย่างที่ฉันพูดไปฉันไม่ชอบไอริสจริงๆ แต่เมื่อฉันเห็นใบหน้าของลูคัสซึ่งไม่แม้แต่เลิกคิ้วด้วยความเสน่หาของเธอแม้แต่ฉันก็โกรธเขา ฉันแน่ใจว่าพวกโกเลมหินพวกนี้จะสังเกตเห็นมันได้เร็วกว่าเขาอีก”

“…”

ในขณะที่เฟรย์ยังคงตกตะลึงจากการเปิดเผยหลังจากผ่านไป 4,000 ปีชไวเซอร์ยังคงพูดด้วยน้ำเสียงสบายๆ

"อา....ฉันคงต้องพูดจนเมื่อยแน่ถ้าฉันต้องพูดอะไรแบบนี้ไปเรื่อยๆ อย่างไรก็ตามเกี่ยวกับผู้หญิงคนนี้ชื่อไอริส มีปีศาจที่ทรงพลังสามตนที่เธอได้ทำสัญญาด้วย ในหมู่พวกเขามีคนหนึ่งที่ถืออาวุธที่แตกต่างกันในแต่ละมือและเป็นตัวแทนของการดำรงอยู่ของความดีและความชั่ว…”

“…อาชูร่า”

"ถูกต้อง!"

ครร

ประตูบานใหญ่ค่อยๆเปิดออกและฝุ่นก็ลอยขึ้น

ร่างของชไวเซอร์หายไปอีกครั้งหลังจากยิ้มที่สดใส

แทนที่จะก้าวไปข้างหน้าเฟรย์ลังเลในขณะที่แสดงออกอย่างซับซ้อน

‘…อย่าบอกนะว่ามันจะเป็นแบบนี้ต่อไปเรือยๆ?’

มันให้ความรู้สึกเหมือนกำลังแอบดูไดอารี่ของเพื่อน

เขาคิดอยู่สักพักว่าเขาควรจะเข้าไปดีหรือเปล่า

เฟรย์รู้สึกหนักใจอย่างมาก

* * *

ห้องถัดไปก็ยังใหญ่เช่นเดิม แต่ไม่เหมือนห้องแรกคือมันไม่ได้ว่างแล้ว

อย่างไรก็ตามมีเพียงสิ่งเดียวที่ดูเหมือนจะเป็นของวิเศษ

[สร้อยข้อมือหิมะนิรันดร์]

มันเป็นเครื่องมือวิเศษที่ให้ผู้ใช้สามารถร่ายคาถาระดับ 7 ดาว ‘บลิซซาร์ด’ ได้สัปดาห์ละครั้ง

เรียกได้ว่าเป็นไอเทมสุดล้ำ

แต่เฟรย์ก็ผ่านมันไปทันทีโดยไม่ได้มองต่อแม้แต่วินาทีเดียว

มันไม่ใช่สิ่งที่เขาต้องการ

เฟรย์เดินเข้ามาอีกประตู

หลังจากเติมมานาของเขาใส่หินชไวเซอร์ก็ปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง

รอยยิ้มร่าเริงปรากฏบนใบหน้าของเขาดูเหมือนว่าเขามีอายุเพียงไม่กี่ขวบ

“แล้วคำถามต่อไป…”

“…”

ดันเจี้ยนใต้ดินนั้นยาวมาก โชคดีที่ไม่มีคำถามใดที่เฟรย์ไม่สามารถตอบได้

อย่างไรก็ตามคำถามส่วนใหญ่ไม่ใช่เรื่องที่คนทั่วไปจะรู้

เขารู้ว่าชไวเซอร์เป็นคนแปลกๆ แต่เฟรย์ไม่คาดคิดว่าเขาจะตั้งคำถามในดันเจี้ยนใต้ดินเช่นนี้

คำถามไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับความรู้ทางด้านเวทย์มนตร์เลย

เมื่อมาถึงห้องที่ห้าชไวเซอร์ก็พูดขึ้นอีกครั้ง

“คุณเป็นคนแรกที่มาได้ไกลถึงขนาดนี้”

แน่นอนที่สุด

ในห้องนี้มีไอเทมเวทมนตร์คาถาและหนังสือวิจัยมากมายของชไวเซอร์ซึ่งมีค่าอย่างมากหากนำออกไปข้างนอก

มีแม้แต่หนังสือเกี่ยวกับศิลปะการต่อสู้และม้วนหนังสือที่อัศวินหรือนักรบเวทย์มนต์สามารถใช้ได้

‘รองเท้าลาวา, เสื้อคลุมบินได้, หินอัญเชิญของโกเลมเหล็ก, ดาบแสงจันทร์…’

แม้ว่าจะเป็นพ่อมดทหารรับจ้างหรืออัศวิน แต่ของที่พวกเขาสามารถหาได้ที่นี่คือของที่พวกเขาจะยอมแม้กระทั่งขายวิญญาณของพวกเขาด้วยซ้ำ

อย่างไรก็ตามเฟรย์เพียงเดินต่อไปในขณะที่เขามองไปที่มัน

ห้อง 5 ผ่านไป

ห้อง 6 ผ่านไป

ห้องอื่นๆผ่านอีกครั้ง

จนถึงจุดๆหนึ่งเฟรย์สูญเสียการนับจำนวนห้องที่เขาผ่านไป

‘นี่คือห้องที่สิบ’

“นี่คือห้องสุดท้าย”

ชไวเซอร์สวมรอยยิ้มตามปกติ แต่เฟรย์อดไม่ได้ที่จะจ้องมองเขา

นี่คือชไวเซอร์ที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน

เคราสีขาวยาว หน้าตาที่มีริ้วรอยมากมายและตอนนี้เสื้อคลุมสีขาวของเขาดูเหมือนจะเข้ากับลักษณะโดยรวมของเขา

ครั้งสุดท้ายที่เฟรย์ได้เห็นชไวเซอร์ เขาอยู่ในวัยกลางคน

เขาไม่เคยเห็นเพื่อนเก่าคนนี้ ‘แก่’ ขนาดนี้มาก่อน

เฟรย์อดไม่ได้ที่จะพึมพำแม้ว่าเขาจะรู้ว่าชไวเซอร์ไม่ได้ยินเขาก็ตาม

“แต่นั่นหมายความว่านายมีชีวิตอยู่นานกว่าที่ฉัน”

ร่างของเฟรย์เสียชีวิตเมื่อเขาอายุห้าสิบปีและวิญญาณของเขาก็ติดอยู่ในอเวจี

ตอนนี้ชไวเซอร์ดูเหมือนจะอยู่ในอายุประมาน 70 ปี ไม่มีท่าทีซุกซนก่อนหน้านี้ของเขาให้เห็นอีกเลย

แต่เขาก็ยังคงยิ้มอย่างมีความสุข และดูเหมือนกับรอยยิ้มแสนใจดีของชายผู้สูงอายุมากกว่า

เฟรย์ฟังสิ่งที่ชไวเซอร์พูด

“ลูคัสโทรว์แมน”

เมื่อพูดคำเหล่านั้นร่างกายของเฟรย์ถึงกับสั่นสะท้าน

เพราะชื่อของเขาถูกเรียกด้วยน้ำเสียงที่ดูเหมือนจะมีความรู้สึกเศร้าอย่างสุดจะพรรณนา

“มหาจอมเวทย์ที่ยืนอยู่บนจุดสูงสุดของโลกด้วยเพียงอายุสี่สิบปี! ปรมาจารย์ที่ได้รับความเคารพจากทุกคนในโลก! การได้เป็นเพื่อนกับเขาเป็นหนึ่งในสิ่งที่ฉันภูมิใจที่สุดในชีวิต”

"…ฉันเองก็ด้วย"

ริมฝีปากของเฟรย์กระตุกและเขารู้สึกคันในตา

"ฉันก็เองเช่นกัน"

“ฉันจะถามคุณเป็นคำถามสุดท้าย ชื่อจริงของฉันคืออะไร?”

“…!”

เฟรย์ตัวสั่น

เขารู้สึกเหมือนชไวเซอร์กำลังยิ้มและมองมาที่เขา

'คำถามนี้…'

บางทีในโลกทั้งใบอาจมีเพียง "ลูคัส" เท่านั้นที่จะรู้คำตอบสำหรับคำถามนั้น

ในเวลานั้นเฟรย์เริ่มรู้สึกว่าชไวเซอร์กำลังมองมาที่เขาจริงๆ

เหมือนเขากำลังมองเฟรย์ด้วยสายตาที่คาดหวัง

“ชไวเซอร์ไวลส์แมน”

ชไวเซอร์หัวเราะ

มันดูทั้งสดใสและสดชื่น

"ถูกต้องและ ... ทุกสิ่งที่อยู่ข้างในนั้นเป็นของนายนะลูคัส "

"นายรู้ด้วยหรอ? รอก่อน"

เฟรย์ด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความโหยหา เขารีบถามทั้งๆที่รู้ว่าเสียงของเขาไม่สามารถเข้าถึงได้

ชไวเซอร์ยังคงยิ้มและขยับริมฝีปาก

“…”

"เมื่อกี้นายพูดว่าอะไรอะไร?"

เฟรย์ไม่ได้ยินคำพูดนั้น

ร่างของชไวเซอร์ค่อยๆหายไปราวกับผี

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด