ตอนที่แล้วบทที่ 20 คำแถลง
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 22 เพื่อพวกเขา

บทที่ 21 ชนะทุกฝ่าย


“ไม่! ไม่มีทางแน่นอน! อาเธอร์! ลูกรู้หรือไม่ว่าการเป็นนักผจญภัยนั้นอันตรายแค่ไหน? ลูกเพิ่งกลับมาหลังจากที่เราทุกคนคิดว่าลูกตายไปแล้วและตอนนี้ลูกกำลังบอกว่าลูกต้องการไปเพื่อเสี่ยงอันตรายที่นั่น? ไม่มีทาง! ไม่ได้อย่างแน่นอน”

แม่ของฉันน้ำตาไหลขณะที่เธอพูดแบบนี้ เธอไม่เคยควบคุมอารมณ์ได้ดี เอลีนอร์ที่อยู่ข้างๆเธอจับขาของเธอไว้

“แม่อย่าโกรธเลยพี่ชายไม่ใช่คนเลว! อู้ว…แม่อย่าร้องไห้นะค่ะ”

ผู้อำนวยการกู๊ดสกี้ออกจากคฤหาสน์หลังจากพูดคุยของฉัน ฉันบอกได้เลยว่าเธอยังอยากถามคำถามมากมายกับฉัน แต่เราขอตัวเพื่อกลับไปคุยกับครอบครัวก่อน ตอนนี้เราอยู่ในห้องพ่อแม่ของฉันโดยที่แม่ของฉันยืนอยู่ตรงหน้าห้ามไม่ให้ฉันคิดจะทำอะไรที่เป็นอันตราย

พ่อเป็นคนมีเหตุผลมากขึ้นเล็กน้อย ฉันบอกได้เลยว่าเขาไม่ชอบความคิดนี้เช่นกัน แต่เขาไม่เห็นเหตุผลที่จะห้ามฉันไม่ให้เป็นนักผจญภัยนอกจากอายุของฉันที่ยังไม่เหมาะสมพอ

ฉันจะไม่ถกเถียงกับแม่ของฉัน เธอพูดทั้งหมดนี้เพราะเธอเป็นห่วงและฉันไม่สามารถตำหนิเธอในเรื่องนั้นได้ มันเป็นสิ่งที่ฉันคาดหวังไว้แล้วและฉันอยากจะค่อยๆคลายความคิดของเธอออกไป แต่การพบกับผู้อำนวยการกู๊ดสกี้ได้ทำให้ทุกอย่างผิดแผนไปหมด

หลังจากเงียบมาตลอดในที่สุดพ่อก็พูดขึ้น

“ที่รักอย่างน้อยก็มาฟังเหตุผลของอาเธอร์กันเถอะ ฉันไม่ได้บอกว่าฉันยินยอมให้เขาเป็นนักผจญภัย แต่คุณคิดว่าอย่างน้อยเราควรฟังสิ่งที่เขาพูดไม่ใช่หรือ”

“คุณพูดแบบนั้นได้ยังไง จำไม่ได้หรือว่าวันนั้นเกิดอะไรขึ้น!” แม่ของฉันตะโกนใส่ด้วยเสียงสะอื้น

ฉันมองไปที่พ่อเพื่อหาคำตอบเพราะอยากรู้ว่าเธอพูดถึงเรื่องอะไร แต่เขาก็ส่ายหัวและปลอบใจแม่ของฉัน

ดูเหมือนใช้เวลาเกือบชั่วโมงก่อนที่เธอจะสงบลงพอที่เราจะพูดได้อีกครั้ง

ฉันจับมือแม่

"แม่ครับผมไม่ได้วางแผนที่จะออกเดินทางในวันพรุ่งนี้ ผมรอคอยที่จะได้ใช้เวลาสองสามเดือนที่บ้านกับทุกๆคน”

เธอนิ่งเงียบ แต่ใบหน้าของเธอก็ดูโล่งใจเล็กน้อยเมื่อนั้นและฉันก็ยิ้มให้เธออย่างอบอุ่น ซิลวีทำตามและเริ่มเลียมือของเธอ

“สิ่งที่ผมหมายถึงจากการเป็นนักผจญภัยคือเพื่อให้ผมได้รับประสบการณ์บางอย่าง หลังจากอยู่ในอาณาจักรเอลฟ์มาสามปีผมพลาดเกี่ยวกับสิ่งที่ผมควรรู้เกี่ยวกับโลกของเรา ผมแค่คิดว่าการเป็นนักผจญภัยจะเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการได้รับประสบการณ์จริง”

ฉันกระตุ้นต่อโดยไม่ปล่อยมือของแม่

“พ่อเข้าใจว่าลูกหมายถึงอะไรนะอาเธอร์ แม้แต่พ่อเองตอนเป็นวัยรุนก็อยากจะได้รับประสบการณ์จริงในการต่อสู้ทันทีที่ตื่นขึ้นมาในฐานะนักเวทย์”

เขารำพึง

“แต่แม่ของลูกก็พูดถูกเช่นกันว่ามันอันตรายและคาดเดาไม่ได้”

แม่ของฉันพยักหน้าอย่างแรงกับเรื่องนี้

ฉันนิ่งเงียบไปเล็กน้อยขณะที่ครุ่นคิด

"พ่อครับแม่ครับแล้วถ้าผมต้องมีทีมหรือหัวหน้าทีมที่อยู่กับผม นั่นจะทำให้พวคุณสบายใจขึ้นเล็กน้อยมั้ย?”

“…”

“อืม…ลูกรู้มั้ยว่านั้นไม่ใช่ความคิดที่แย่”

ฉันแทบจะเห็นฟันเฟืองในหัวของพ่อหมุนเมื่อเขาเริ่มคิดถึงผู้ที่มีศักยภาพพอ

“แต่…แม่จะไม่ได้เจอลูกถึงสามปีเลยนะ!”

แม่เริ่มท้วงอีกแล้ว

ฉันส่ายหัวฉันพูดกับเธอ

“แม่ผมจะไม่รับภารกิจไกลๆ หรือไปทำภารกิจที่อันตราย ผมจะพยายามกลับมาทุกๆสองสามเดือนอาจจะบ่อยกว่านั้นขึ้นอยู่กับงานที่ผมทำ”

“พี่ชายพี่จะไปอีกแล้วเหรอ”

น้องสาวของฉันมีสีหน้าราวกับว่าเธอเพิ่งถูกบอกว่าซานต้าไม่มีอยู่จริง

ฉันเริ่มตกใจ

“ไม่ๆ เอลลีพี่อยู่ที่นี่ น้องจะได้เห็นพี่ชายคนนี้อีกเยอะเลยโอเคไหม?”

เห็นได้ชัดว่าทั้งแม่และพ่อของฉันเล่าเรื่องเกี่ยวกับตัวฉันให้เอลีนอร์ฟังมามายว่าฉันเข้มแข็งและฉลาดแค่ไหน นิทานก่อนนอนเรื่องโปรดของเอลลีคือวิธีที่ฉันช่วยแม่จากกลุ่มคนเลวตรงหน้าผาและฉันได้รับบาดเจ็บดังนั้นฉันจึงต้องใช้เวลาพอสมควรในการกลับบ้าน ในที่สุดฉันก็กลายเป็นฮีโร่ของน้องสาวไปจนได้

ฉันมองกลับไปที่แม่ของฉัน ใบหน้าของเธอรู้สึกสบายใจขึ้นมากหลังจากพูดถึงเรื่องนี้ ฉันเดาว่าเธอเพิ่งสันนิษฐานสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุดและคิดว่าฉันต้องการที่จะสังหารสิ่งที่ชั่วร้ายที่แข็งแกร่งที่สุดในโลกตอนอายุแปดขวบหรืออะไรสักอย่าง

“ทำไมลูกถึงอยากเป็นนักผจญภัยก่อนที่จะเข้าโรงเรียนละ? ปกติแล้วมันควรจะเป็นตรงกันข้ามไม่ใช่หรือ?”

แม่ของฉันพึมพำเบา ๆ

“เหตุผลของพ่อเป็นส่วนหนึ่งในนั้น อีกอย่างผมต้องการทดสอบทักษะของผมในสถานการณ์ชีวิตจ แม่อย่างน้อยผมก็อยากจะเข้ากับทุกคนได้เมื่อผมไปโรงเรียน มันจะยากกว่ามากถ้าผมเริ่มเรียนตอนอายุแปดขวบ ผมไม่คิดว่าจะสามารถคบเพื่อนที่มีอายุต่างกันได้มากขนาดนี้”

มันเป็นข้อแก้ตัวที่น่าสมเพชมาก แต่ครั้งนี้แม่ของฉันมองฉันด้วยความเข้าใจ ฉันเดาว่ามันเป็นฝันร้ายที่สุดของคนเป็นแม่ที่ลูกตัวเองต้องกลายเป็นพวกนอกรีต

มันไม่ใช่เรื่องโกหกซะทีเดียวเพราะฉันนึกถึงความปรารถนาของซิลเวียก่อนที่เธอจะตาย เธอต้องการให้ฉันมีความสุขกับชีวิตและมีชีวิตที่ไม่ใช่แค่การฝึกฝน นี่เป็นสัญญาที่ฉันวางแผนไว้ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น

“นอกจากนี้ผมจะอยู่ที่นี่อีกสองสามเดือน ใครจะไปรู้บางทีแม่อาจจะเบื่อผมในตอนนั้นและไล่ผมออกไปก่อนที่ผมจะมีโอกาส”

ฉันขยิบตาให้แม่

นั่นทำให้ฉันได้รับการตบรางวัลเข้าที่หัว และเธอก็หัวเราะเบาๆเช่นกัน

"ลูกคนนี้! เหมือนกับพ่อไม่มีผิด ขอบคุณพระเจ้าที่อย่างน้อยก็มียังพอมีสติปัญญาของแม่อยู่บ้าง ”

เธอกอดฉันครั้งใหญ่ทิ้งฉันไว้ด้วยความรู้สึกอบอุ่นที่ฉันยังไม่คุ้นเคย

“เฮ้! แล้วความฉลาดของฉันล่ะ! เขามีพรสวรรค์ด้านความสามารถในการใช้ไฟเหมือนฉันด้วยนะ!”

พ่อของฉันประท้วง

“หึ! ลูกชายของเราได้รับพลังของดีวีเอินทจากฉันนะ”

แม่ดึงตัวฉันออกห่างจากพ่อและแลบลิ้นใส่เขา

“เอลลีด้วย! แบร์!”

น้องสาวของฉันลอกเลียนแม่ของฉันและแลบลิ้นใส่พ่อที่กำลังน้อยใจของฉัน

"เหอะ! ไม่มีใครเข้าข้างฉันเลย”

เขาร้องไห้อย่างสนุกสนานพยายามกอดลูกสาวของเขา สิ่งนี้ทำให้พวกเราทุกคนมีเสียงหัวเราะอย่างพอดี

วันรุ่งขึ้นเป็นวันอาทิตย์ ทำให้มันเป็นวันหยุดของพ่อ ครอบครัวเลย์วินและเฮลสเตอารับประทานอาหารเช้าด้วยกัน

“แล้วพวกคุณคิดว่าจะทำอย่างไรกับอาเธอร์?”

วินเซนต์ถามขณะที่กำลังเคี้ยวไข่เจียวของเขา

ทาบิธาส่ายหัว

"ฉันสาบานว่าบางครั้งฉันก็มีช่วงเวลาที่ยากลำบากในการเชื่อว่าคุณเป็นขุนนางชั้นสูงที่มีนิสัยการกินที่น่ากลัวนะที่รัก”

“คุคุคุไม่ต้องกังวลไป อย่างน้อยสามีคุณก็ดีกว่าของฉัน จำได้ไหมว่างานเลี้ยงอาหารค่ำงานหนึ่งที่เรย์คายอาหารออกมาจากการหัวเราะอย่างหนัก? ฉันต้องใช้เอลลีเป็นข้ออ้างในการออกจากโต๊ะเพราะฉันอายมาก”

แม่ของฉันถอนหายใจ

"อะแฮม! อย่างไรก็ตาม! ใช่หลังจากพูดถึงเรื่องนี้เมื่อคืน เราตกลงที่จะให้เขาเป็นนักผจญภัยภายใต้เงื่อนไขบางอย่างวินซ์ ”

พ่อของฉันแค่หน้าแดงเบาๆ ในขณะที่เขาพยายามเปลี่ยนกลับหัวข้อ

“โอ้? เงื่อนไขอะไร”

ทาบิธาที่อยากรู้อยากเห็นพูดขณะที่เธอกำลังหั่นไข่เจียวเป็นชิ้นเล็กๆ ให้ลิเลีย

“เขาจะไม่กลายเป็นนักผจญภัยจนกว่าจะถึงวันเกิดซึ่งก็คืออีกสามเดือน เรายังตัดสินใจที่จะมีพี่เลี้ยงไปกับเขาในภารกิจของเขา นอกจากนั้นฉันรู้สึกว่าเขาฉลาดพอที่จะจัดการส่วนที่เหลือด้วยตัวเอง แน่นอนเงื่อนไขสุดท้ายคือเขาจะต้องมาเยี่ยมพวกเราบ่อยๆ”

พ่อของฉันอธิบายพร้อมกับจัดการกับเนื้อย่างที่เหลือของเขา

“ผู้พิทักษ์ของเขาจะเป็นใครกัน? จะมีพี่เลี้ยงที่สามารถปกป้องเขาได้หรือ? ฉันรู้สึกว่าอาเธอร์จะเป็นคนที่ปกป้องพี่เลี้ยงเสียเอง!”

เขาหัวเราะเบาๆ กับความไร้สาระของเด็กน้อยวัยแปดขวบที่ปกป้องนักผจญภัยที่โตกว่าแล้วและมีประสบการณ์มากว่า

แม่ตอบเขาโดยมองไปที่พ่อของฉันว่า

“เรายังไม่มีคนที่เหมาะจริงๆ เรย์และฉันคิดว่าเราสามารถใช้หนึ่งในเจ้าหน้าที่ประมูลของเฮลสเตอาได้ แต่ยังไม่มีใครเหมาะสมเลย”

“หนูขอไข่เจียวเพิ่มได้ไหมค่ะ?”

น้องสาวของฉันใช้ส้อมจิ้มขึ้นไปในอากาศ

"ฉันพอจะนึกออกแล้ว!"

พ่อของฉันยืนขึ้นอย่างกะทันหัน ทำให้ฉันแทบสำลักชิ้นเนื้อที่อยู่ในปากของฉัน

“พวกทวินฮอนจะกลับมาจากการสำรวจในดันเจี้ยนเร็วๆ นี้ ฉันได้รับจดหมายจากกิลด์นักผจญภัยที่แจ้งว่าพวกเขาควรจะกลับภายในสองเดือน! เวลาที่เหมาะ! ทำไมฉันถึงใช้เวลานานในการคิดเรื่องนี้ เราขอให้สมาชิกในทวินฮอนคนหนึงดูแลลูกได้นะอาเธอร์! ลูกยังจำพวกเขาได้ใช่ไหม?”

ดวงตาของพ่อฉันเปล่งประกายด้วยความตื่นเต้น

“เฮ้! นั่นไม่ใช่ความคิดที่แย่เลย!”

แม่พูดจากในครัว เสียงของเธอบ่งบอกว่าเธอตกใจแค่ไหนที่พ่อมีความคิดที่ดี

ฉันยื่นชิ้นเนื้อให้ซิลวีที่เกาะอยู่บนตักของฉันโดยมีอุ้งเท้าสองข้างวางอยู่บนโต๊ะ ฉันก็ตอบเช่นกัน

“แน่นอนผมจำพวกเขาได้ ฟังดูเหมือนจะเป็นความคิดที่ดีนะพ่อ พวกเขารู้ไหมว่าผมกลับมาแล้ว?”

“ไม่..น่าเสียดายที่พ่อยังไม่มีโอกาสส่งจดหมายถึงพวกเขา พ่อวางแผนที่จะทำในวันนี้”

พ่อของฉันนั่งลงและเกาหัวของเขา

วินเซนต์ก็เข้าร่วมการประชุมเล็กๆกันหลังจากทานอาหารเช้าเสร็จ

“อาเธอร์คุณเคยพูดกับผู้อำนวยการซินเทียเมื่อวานนี้ว่าจะไม่แสดงพลังของคุณให้ใครเห็นจนกว่าคุณจะสมัครเข้าเรียนในสถาบันไซรัสใช่ไหม? คุณวางแผนที่จะทำสิ่งนั้นอย่างไรในขณะที่คุณเป็นนักผจญภัย”

“อ่าใช่ ผมตั้งใจจะทำเช่นนั้น”

ฉันพูดขณะหยิบสตรอเบอร์รี่ด้วยส้อม

“ผมวางแผนที่จะปกปิดตัวตนของผมในฐานะนักผจญภัย ผมได้อ่านมาว่ามีสมาชิกหลายคนของกิลด์นักผจญภัยที่ใช้นามแฝงโดยไม่เปิดเผยตัวตนต่อสาธารณะ”

น่าเสียดายที่ไม่มีทางปิดบังรูปลักษณ์ของซิลวีฉันก็แค่ต้องซ่อนเธอให้ดี โชคดีที่เธอตัวเล็กพอที่จะใส่ในเสื้อคลุมได้

“อืม…ฉันเข้าใจแล้ว”

ทั้งวินเซนต์และทาบิธาพยักหน้ารับสิ่งนี้

อาหารเช้าก็สิ้นสุดลงและเราต่างก็แยกย้ายกันไป

พ่อไปที่กิลด์ฮอลล์เพื่อส่งจดหมายถึงสมาชิกเก่าของเขาในขณะที่แม่ของฉันกับทาบิธาไปช็อปปิ้งและพาเอลลีกับลิเลียไปด้วย พวกเขาขอให้ฉันไปด้วย แต่ฉันปฏิเสธข้อเสนออย่างสุภาพเพื่อไม่ต้องทนทุกข์ทรมานกับสิ่งที่พวกเขาเรียกว่างานอดิเรก

ฉันล้างตัวและมุ่งหน้าไปทางปีกขวาของคฤหาสน์ซึ่งเป็นที่ทำงานของวินเซนต์

*ก๊อกก๊อก*

"ใครนะ?"

“อาเธอร์ครับ”

ฉันตอบ

ประตูเปิดออกเผยให้เห็นวินเซนต์ด้วยสีหน้าสงสัย

“อ๊ะเข้ามาสิ! อะไรทำให้คุณมาที่นี่ละอาเธอร์? คุณไม่เคยเข้ามาในห้องทำงานของฉันมาก่อนเลย”

“อ่าใช่ครับ มีเรื่องบางอย่างที่ผมอยากจะคุยกับคุณในวันนี้ซึ่งเป็นสาเหตุที่ผมมาเยี่ยม”

ฉันพูดขณะที่มองไปรอบๆ กองเอกสารบนพื้นและบนโต๊ะของเขา

มุมมองของ วินเซนต์ เฮลสเตอา:

เด็กคนนี้อายุแปดขวบจริงๆเหรอ?

ฉันตัวสั่นไปตามกระดูกสันหลังของฉันด้วยน้ำเสียงของอาเธอร์ ทำไมฉันถึงรู้สึกกังวลเมื่อพูดถึง ‘เรื่องบางอย่าง’ ที่เขาอยากจะคุยกับฉัน

“มันคือเรื่องอะไร?”

ฉันแค่ถามและใบหน้าของฉันเปลี่ยนเป็นจริงจังขึ้นเล็กน้อย

“ผมต้องการความช่วยเหลือจากคุณในการจัดหาสิ่งของบางอย่างที่อาจหาได้ยากจากที่อื่น”

จากนั้นเขานั่งลงและพูดพร้อมกับมองตรงมาที่ฉัน

“ผมต้องการเสื้อคลุมหรือชุดคลุมที่มีฮู้ดที่แข็งแรงและหน้ากากที่สามารถปกปิดทั้งใบหน้าของผมได้ จะดีมากถ้าหากหน้ากากจะมีความสามารถในการเปลี่ยนเสียงของผมด้วย”

ไม่ใช่เรื่องยากที่จะเข้าใจว่าทำไมเขาถึงต้องการสิ่งของเหล่านี้ ในฐานะเจ้าของประมูลเฮลสเตอาที่สามารถดึงดูดแม้แต่ขุนนางระดับสูงและแม้แต่ราชวงศ์ ไม่ใช่เรื่องยากเกินไปที่จะหาไอเท็มเหล่านี้ หน้ากากอาจจะยุ่งยากเล็กน้อยเพราะดีวีเอินทประเภทเสียงจะต้องเป็นคนทำสิ่งนี้ แต่ก็สามารถหาได้

แต่…ทำไมห้องนี้ถึงรู้สึกหนักอึ้งขึ้นมา?

ฉันไม่สามารถวางนิ้วลงได้เลย…

แค่นั้นแหละ!

ทำไมเด็กอายุแปดขวบคนนี้ถึงให้ความรู้สึกกดดันเหมือนกับตอนที่ฉันอยู่ข้างๆราชาแห่งเซปินเลย?

ไม่สิ บรรยากาศในตอนนี้อาจจะหนักกว่าตอนที่ฉันอยู่กับราชาเสียอีก

เห็นได้ชัดว่าเขากำลังขอความช่วยเหลือจากฉัน แต่มันก็ให้เกิดความรู้สึกราวกับว่าเขากำลังตรวจสอบฉันว่าเขาจะประเมินว่าฉันอยู่ในรายชื่อของ "คนที่รอดชีวิต" ได้ที่ไหน

ฉันไม่เคยรู้สึกแบบนี้จากเขา แต่นั่นอาจเป็นเพราะฉันเคยเห็นเขากับครอบครัวเท่านั้น

ฉันตอบกลับอย่างรวดเร็วเพื่อต้องการให้เรื่องมันจบลง

“แน่นอนว่ามันไม่เป็นปัญหาในการหาสิ่งเหล่านั้น หน้ากากอาจต้องใช้เวลาสักหน่อย แต่ฉันแน่ใจว่าเราจะได้มันมาก่อนที่คุณจะกลายเป็นนักผจญภัย”

การพยักหน้าเล็กน้อยของเขาทำให้ฉันโล่งใจ ฉันมีขุนนางที่รอเข้าแถวเพื่อแนะนำตัวกับฉัน แต่เด็กคนนี้ ...

“มีอะไรที่คุณต้องการให้ผมช่วยเพื่อเป็นการตอบแทนไหม? ผมคงรู้สึกแย่ที่ขอสิ่งนี้โดยไม่มีค่าตอบแทนใด ๆ”

เขาตอบกลับ

ฉันรู้สึกว่ามีเหงื่อออกเล็กน้อยเหนือคิ้วของฉัน

“ไม่เป็นไรจริงๆ ฉันเป็นหนี้พ่อของคุณมามากจริงๆ เขาอาจจะทำงานให้ฉัน แต่วิธีที่เขาฝึกทหารยามของฉันช่วยลดปัญหาที่เกิดขึ้นในระหว่างการประมูลได้มาก”

นี่คือความจริงที่จริงเรย์ได้กลายเป็นส่วนหนึ่งที่ไม่สามารถถูกแทนที่ได้ของ บ้านประมูลเฮลสเตอา ความเป็นผู้นำและความสามารถพิเศษของเขาในหมู่ทหารองครักษ์ที่เขาฝึกเป็นชั้นหนึ่ง ฉันเป็นหนี้เขาตอนที่เขาช่วยชีวิตฉันและตอนนี้ฉันยังเป็นหนี้เขาและครอบครัวของเขาอีก แม้จะมีเงินเดือนที่สูงกว่าค่าเฉลี่ยและการปล่อยให้ครอบครัวของเขาอยู่ในบ้านของเราฉันก็ยังรู้สึกว่ามันเป็นข้อตกลงในส่วนของฉัน ทั้งทาบิธาและลิเลียมีความสุขมากขึ้นกว่าเดิมหลังจากที่เรย์ย้ายมาอยู่เพราะอลิซและเอลลี ฉันรู้สึกผิดมาตลอดที่ไม่สามารถใช้เวลากับครอบครัวได้มากเท่าที่พวกเขาต้องการ แต่ตอนนี้ทุกอย่างดีขึ้นมาก

“อืมพูดถึงการฝึกนั่นทำให้ผมมีความคิดที่ดี”

เขาพึมพำขณะมองลงไป

ฉันสังเกตเห็นมานานแล้วว่าเมื่ออาเธอร์เริ่มคิดอะไรเขาก็จะมีรูปลักษณ์เช่นนี้ รูปลักษณ์ที่การจ้องมองของเขามุ่งไปที่ระยะไกลและคิ้วของเขาขมวด เป็นรอยพับเล็กๆ ใกล้ริมฝีปากของเขาและการกระตุกเล็กน้อยของจมูกทำให้ดูเหมือนว่าเขากำลังคิดอะไรบางอย่างที่เหนือกว่าที่สติปัญญาของมนุษย์ปกติจะสามารถทำได้ มันเป็นรูปลักษณ์ของปัญญาชนที่แท้จริง เฮ้อ...มันยากที่จะเชื่อว่าเขาอายุเท่ากับลิเลียตัวน้อยของฉัน

“ให้ผมฝึกลูกสาวของคุณให้เป็นนักเวทย์จะได้ไหม?”

เขาปลดทุ่นระเบิดนี้ราวกับว่าเขากำลังเข้าใจความคิดของฉัน

มุมมองของอาเธอร์เลย์วิน:

“ยังไงซะฉันก็ต้องสอนน้องสาวของฉันในการจัดการกับมานาเร็วๆ นี้ คงไม่เป็นปัญหามากนักที่สอนทั่งคู่ในบทเรียนเหล่านี้ ฉันสังเกตว่าทั้งคุณและเลดี้ทาบิธาไม่ใช่นักเวทย์ดังนั้นอาจเป็นไปไม่ได้ที่เธอจะตื่นขึ้นมาด้วยตัวของเธอเอง แต่ถ้าเราเริ่มในตอนนี้ผมคิดว่าเธอจะสามารถตื่นได้ตามอายุเฉลี่ยทั่วไป”

ฉันกล่าว

คำพูดของฉันพบเข้ากับความเงียบ ฉันมองขึ้นและเห็นวินเซนต์ทำกองเอกสารหล่นด้วยความกระวนกระวาย ใบหน้าของเขาถูกแช่แข็งในขณะที่ฉันได้ยินเสียงหัวใจของเขาเต้นเร็วขึ้น

“ฉะะ..ฉันจะเชื่อในสิ่งที่คุณพูดจริงๆได้ไหม? คุณจะทำให้ลูกสาวของฉันกลายเป็นนะะ..นักเวทย์ได้หรือ?”

เขาถามหลังจากเงียบอยู่ครู่หนึ่ง

“แน่นอนมันอาจจะต้องใช้กระบวนการที่ยาวนาน แต่เป็นไปได้อย่างแน่นอน เอ่อ…ผมจะต้องขอให้คุณเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับ ผมเกลียดที่จะถูกรุมเร้าจากพ่อแม่ที่มาขอให้ผมช่วยให้ลูกของเขาเป็นนักเวทย์”

ฉันแค่หัวเราะเบาๆ พยายามทำให้ความตึงเครียดเบาลง

เขาพยักหน้าอย่างโกรธเกรี้ยวหลังจากไม่สามารถสร้างประโยคที่สอดคล้องกัน ..

“ขอแสดงความนับถือ…ไม่มีความสุขใดที่จะยิ่งใหญ่ไปกว่าการได้เห็นลูกสาวของฉันกลายเป็นนักเวทย์”

เขาพยายามพูดตะกุกตะกักทั้งๆที่น้ำตาแทบร่วง

“เยี่ยมมาก! งั้นผมขอรบกวนเกี่ยวกับเงือนไขที่เราคุยกันไว้! ตอนนี้ผมขอตัวก่อน ขออภัยที่รบกวนเวลางานของคุณ”

ฉันเดินออกจากห้องไปและหยิบซิลวี่ที่กำลังหลับใหลออกจากตัก

ฉันดีใจที่ข้อตกลงของเราทั้งสองมันเวิร์ค

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด