ตอนที่แล้วChapter 5: เจ้าชายคือผู้ดูแลสุสาน -3
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปChapter 7:  เจ้าชายเป็นคนหัวหมอ - 2

Chapter 6: เจ้าชายเป็นคนหัวหมอ -1


นี่มันไม่ใช่เรื่องธรรมดาทั่วไปเลยสักนิด

ภายในค่ำคืนเดียว หมู่บ้านได้ล่มสลายลง เหลือทิ้งไว้เพียงผู้รอดชีวิตประมาณแค่หนึ่งร้อยคน

พวกเขาต่างรวมตัวกันอยู่ที่ด้านหน้าโบสถ์ที่ใกล้จะผุพัง ไม่ว่าจะเป็นเด็ก คนแก่หรือภรรยาต่างคร่ำเคร่งอธิษฐานกันอย่างสิ้นหวัง ภายในตึก ในขณะที่พวกผู้ชายต่างลากศพไปยังสุสาน

เมื่อเรื่องมันเงียบสงบลง ตัวแทนของหมู่บ้าน หัวหน้าหมู่บ้านเดินมาหาฉัน “ขอบคุณสำหรับการช่วยเหลือครับ ฝ่าบาท”

ฉันวิตกกังวล หมู่บ้านนั้นล่มสลายก่อนที่น้ำศักดิ์สิทธิ์จะได้แจกจ่ายกันอีกงั้นเหรอ? มันทำให้ฉันมีเรื่องต้องทำอีกเยอะเลย จากการเกิดเหตุการณ์แบบนี้

“ไม่ใช่ว่ามันมีพาลาดินอยู่ในหมู่บ้านงั้นเหรอ?” ฉันถามออกมา นึกถึงพาลาดินที่อาศัยอยู่ในหมู่บ้านที่ใหญ่ที่สุด ซึ่งเขามีหน้าที่คอยจับตาดูฉันเอาไว้

“หลังจากเกิดเหตุการณ์ขึ้น พวกเราได้ไปตามหาเขามาแล้ว ยังไงก็ตาม สถานที่ที่เขาอยู่กลับเป็นปริศนาซะอย่างงั้น” หัวหน้าหมู่บ้านตอบกลับ

“แล้วส่งจดหมายไปยังจักรวรรดิทีโอเครติคหรือยัง?”

แน่นอนละว่าเขายังคงโดนลงโทษขับไล่อยู่ แต่เขายังเป็นถึงเจ้าชาย ซึ่งการที่เจ้าชายยังคงอยู่ที่นี่ พาลาดินยังปรากฏตัวขึ้น เนื่องจากเจ้าของร่างกายนี้ออกไปอาละวาดมา ดังนั้นมันไม่มีทางที่พวกผู้คนชั้นสูงจะไม่เห็นการเคลื่อนไหวของฝูงซอมบี้เช่นนี้

อย่างน้อยที่สุด พวกเขาก็น่าจะที่ส่งกองกำลังอัศวินหรืออะไรสักอย่างมา

“นั่นมัน…พวกเราพยายามที่จะส่งคนส่งสารไปแล้วครับ แต่ว่า..”

“แต่?”

“เขาน่าจะถูกฆ่าตาย โดยซอมบี้ระหว่างทางไปแล้วครับ”

“…”

“มันมีซอมบี้ซ่อนตัวอยู่ตลอดทางไปยังโรเนีย แม้แต่การติดต่อจากผู้คอยสอดส่องยังถูกตัด…”

ซอมบี้ของโลกนี้มันช่างน่ามหัศจรรย์เสียนี่กระไร

พาลาดินที่คอยดูแลหมู่บ้านหายตัวไป ด้วยเหตุนี้ ซอมบี้จึงใช้โอกาสนี้ในการบุกโจมตีและพวกมันยังตัดเส้นทางออกอีก นั่นหมายความว่าพวกมันสามารถใช้หัวได้?

ถ้ามันเป็นแบบนั้นแล้ว เจ้าพวกนี้มันคงน่ากลัวยิ่งกว่าซอมบี้ที่มาจากในหนังเสียอีก ซอมบี้พวกที่วิ่งเหมือนกับพวกนักวิ่งมาราธอนหน่ะ

อีกอย่างหนึ่ง การหาต้นตอของโรคระบาดยังเป็นเรื่องที่แทบจะเป็นไปไม่ได้ ถ้ามันมาจากอีกสิ่งหนึ่งที่มีสติปัญญา คอยสั่งการคนอื่น

“มีซอมบี้อยู่มากเท่าใด?”

“ประมาณ 30ตัวครับ นั่นคือเท่าที่พวกเราเห็นตอนวิ่งหนีออกมา”

หมู่บ้านที่อยู่ใกล้กับโบสถ์นั้นมีประมาณสี่หมู่บ้าน ฉันไปยังหมู่บ้านที่ล่มสลายไปแล้วเมื่อวาน ดังนั้นนั่นหมายความว่า ในคืนเพียงคืนเดียว หมู่บ้านที่เหลือทั้งสามต่างถูกกวาดออกไปจากในแผนที่แล้ว

ถ้ามันมีประมาณสามสิบตัวแล้ว นั่นหมายความว่ามันมีซอมบี้ประมาณสิบตัวในแต่ละหมู่บ้าน? หรือว่าพวกมันร่วมมือกันบุกโจมตีหมู่บ้านด้วยกัน มันไม่เหมือนกับว่าพวกเรากำลังจะจัดการกับรังซอมบี้หรืออะไรแบบนั้นเสียหน่อย ดังนั้นมันไม่จำเป็นต้องกลัวซอมบี้ที่วิ่งไม่ได้หรอก และทำได้เพียงแต่เดินมาอย่างเชื่องช้า อีกอย่างหนึ่ง การโดนกัดเพียงหนึ่งครั้งก็ไม่ได้เปลี่ยนให้กลายเป็นซอมบี้อีกด้วย

“โอเค แล้วไงต่อ?”

“พวกเราต้องการให้ท่านติดต่อกับปราสาทครับ ฝ่าบาท”

“แต่เจ้าไม่ได้บอกว่าถนนทั้งหมดมันถูกปิดงั้นเหรอ?”

“ไม่ใช่ว่าการอธิษฐานมันมากพอแล้วงั้นเหรอครับ? อย่างเช่น การใช้เวทมนต์อะไรแบบนี้..”

โชคร้ายที่ฉันไม่ได้มีสกิลที่สะดวกสบายแบบนั้นนี่สิ

ชาวบ้านต่างมองมาที่ฉันด้วยสายตาที่คาดหวัง แต่มันเป็นหน้าที่ของฉันที่จะต้องแจ้งข่าวร้ายให้กับพวกเขา “เรื่องแบบนั้นมันเป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอน เจ้าบอกว่าเจ้าเห็นกลุ่มซอมบี้ใช่ไหม? นั่นหมายความว่าพวกเราไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากการลุกขึ้นต่อต้านมัน จนกว่าพวกพาลาดินจะมาถึง ไม่อย่างงั้นแล้วพวกเราก็คงจะตายกันทั้งหมดนั่นแหละ”

ฉันไม่อยากให้พวกเขามีความหวัง ดังนั้นฉันจึงบอกสถานะและตำแหน่งของพวกเรา รวมทั้งวิธีการสู้ ด้วยเหตุนี้พวกชาวบ้านจึงตกอยู่ในสภาวะตื่นตระหนก พวกเขาต่างหน้าซีด ในขณะที่บางคนร้องไห้ออกมาอย่างควบคุมไม่ได้ บางคนกรีดร้องออกมาด้วยซ้ำ

ชาวบ้านต่างตกอยู่ในความสิ้นหวัง

มันเป็นเรื่องที่เห็นได้เด่นชัดมาก ตั้งแต่ที่พวกเขากำลังจะตายโดยโรคระบาดนี่ หรือไม่ก็เปลี่ยนกลายเป็นอาหารมื้อต่อไปของซอมบี้

แม้ว่าฉันจะเพลิดเพลินไปกับ ‘ค่าสถานะ’ แบบเดียวกันกับซอมบี้ การปรากฏตัวขึ้นอย่างต่อเนื่องของซอมบี้มันก็ยังเป็นเรื่องที่อันตรายสำหรับฉันในระยะยาว ถ้าฉันเอาชีวิตรอดไปได้คนเดียว เมื่อทุกคนต่างตายกันทั้งหมด มันก็ทำให้ฉันดูแปลกไปกว่าคนอื่น ใช่ไหมละ?

นั่นหมายความว่าสถานการณ์ในปัจจุบันไม่ใช่สิ่งที่ดีเลยสำหรับชาวบ้านและฉันเอง

“ได้โปรดช่วยเราด้วยครับ! ฝ่าบาท! ไม่ใช่ท่านเป็นหลานชายของจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์งั้นเหรอ?”

แม้ว่าจะเป็นอย่างงั้น ฉันก็แค่คนธรรมดาแล้วในตอนนี้

ฉันจ้องไปที่หัวหน้าหมู่บ้าน ชาวบ้านเหล่านี้ต่างดูเหมือนจะพึ่งพาหลานชายจักรพรรดิที่ถูกขับไล่

ราชวงศ์ที่โดนขับไล่ก็ไม่ได้ต่างไปจากคนธรรมดาที่สูญเสียสถานะทั้งหมดไปหรอก คนที่ถูกขับไล่มายังที่นี่ก็ต้องทำงานที่ยากลำบาก แถมยังต้องคอยรับใช้ชาวบ้านอีก และพวกเขายังไม่ได้รับของตอบแทนกลับคืนมา มันก็ไม่มีกรณีที่คนถูกขับไล่ล้างแค้นกับชาวบ้านด้วยเช่นกัน

พวกเขาคงคิดว่าพวกเขาพบเจอคนรับใช้แสนดีที่อยู่ตรงนี้เข้าให้แล้วละ

ฉันไม่พอใจกับคำขอของพวกเขา แต่ว่าชาวบ้านก็ดูเหมือนยินดีที่จะช่วยฉันด้วยเช่นกัน

ถ้ามันเป็นแบบนี้แล้วละก็....ถ้าเจ้าพวกนี้มันหน้าด้านมากพอที่จะคิดว่าฉันจะ ‘ช่วยเหลือ’ พวกเขาอย่างจริงจังแบบนี้ ฉันคงไม่มีแผนที่จะยิ้มรับมันหรอก

ถ้ามันเป็นแบบนี้แล้ว ฉันคงจะไม่เพียงแค่ยิ้มและรับมันไว้อย่างเดียวหรอกนะ

เมื่อเป็นแบบนี้แล้ว ฉันควรที่จะหาเงื่อนไขที่ทำให้ฉันสบายที่สุด ฉันยิ้มและจ้องไปที่หัวหน้าหมู่บ้าน ในขณะที่ใช้ [เนตรจิต] ยืนยันสถานะของเขา

[ชื่อ : พารอค]

อายุ : 75

ความสามารถพิเศษ :  ลักขโมย ,ทำไร่ , เล่ห์กล

+ สถานะปัจจุบันอยู่ในสถานะหวาดกลัว]

รอยยิ้มของฉันปรากฏขึ้น เมื่อฉันศึกษาเขา “ได้สิ ฉันจะช่วยพวกเจ้าเอง”

ชาวนาทั้งสองคนที่มาพบกับฉันคืนก่อนยิ้มออกมา ในอีกด้านหนึ่ง ชายที่เหลือทั้งหมดต่างเต็มไปด้วยท่าทางที่หวั่นกลัว

ปฏิกิริยาของพวกเขาที่แสดงออกมามันทำให้รู้เลยว่า แม้ว่าฉันจะทุบหน้าอกและประกาศตนออกมา “คิดว่าฉันคือใครกัน? ฉันก็ไม่ใช่ใครอื่นนอกจากหลานชายของจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์หรอก” มันก็ไม่ได้ทำให้คนอื่นเชื่อมั่นในตัวฉันได้สักเท่าไหร่อยู่ดี

เนื่องจากว่าฉันแม่งเป็นตัวบัดซบของราชวงศ์ยังไงละ

ฉันใช้ภูมิหลังของราชวงศ์ในการข่มขี่ข่มเหงคนใช้และคุกคามทางเพศกับเหล่านางรับใช้ แถมฉันยังเคยพยายามที่จะข่มขืนนางในอีก ใครจะมาเชื่อฉันกัน?

หัวหน้าหมู่บ้านลังเลใจก่อนที่จะเปิดปากพูดออกมา แสดงให้เห็นถึงว่าเขายินดีที่จะจับเชือกเส้นสุดท้ายไว้โดยไม่มีตัวเลือกอื่น “ถ้าอย่างงั้น พวกเราจะอยู่ภายใต้การคุ้มครองของท่านครับ”

เขาน่าจะเข้าใจดีว่ามันไม่มีทางเลือกที่ดีกว่าการเชื่อ ‘นักบวช’ ที่อยู่เบื้องหน้าของเขาแล้ว

แน่นอนว่ามันเป็นการกระทำที่หน้าด้าน

ฉันเดาว่าหนึ่งในความสามารถของเขาคือ การหน้าด้าน เมื่อเขาคอยสั่งคนที่มียศตำแหน่งสูงศักดิ์ตามที่เขาต้องการ มันจึงทำให้การกระทำที่หน้าด้านแบบนี้ฝังรางลึกเข้าไปในกระดูกของเขา

ช่างเถอะ มันไม่สำคัญหรอก

การช่วยเหลือพวกเขาคือหนทางเดียวที่ฉันจะใช้เวลาที่แสนสงบสุขกับตัวฉันเอง นอกจากนี้แล้วฉันยังไม่ต้องไปจัดการกับซอมบี้ ‘ด้วยตัวฉันเอง’ ด้วย

“ยังไงก็ตาม ฉันมีข้อแม้”

หัวหน้าหมู่บ้านตัวสั่น ก่อนที่จะหันหน้ามาหาฉัน พร้อมกับใบหน้าที่เต็มไปด้วยความสับสน เขาถามฉันออกมา “ข้อแม้อะไรกันครับ…”

“ฉันต้องการให้พวกเจ้าจ่ายเงินที่จำเป็นมาให้กับฉัน มันค่อนข้างไม่ยุติธรรมกันเลยใช่ไหมละ ที่ฉันช่วยพวกเจ้าแบบไม่คิดเงินมาโดยตลอด ใช่ไหมละ? เจ้าก็คิดว่างั้นสินะ?’

“ท่านบอกว่า...ให้พวกเราจ่ายค่าจ้างให้กับท่านงั้นเหรอครับ? แต่...แต่ว่าทุกคนที่ถูกขับไล่มาที่นี่นั้น…”

ฉันจ้องไปที่หัวหน้าหมู่บ้าน

บรรยากาศกดดันที่ฉันส่งออกมาทำให้เขาถอยตัวไปและพยักหน้า “ผม…ผมเข้าใจแล้วครับ”

“อย่าไปบอกกับพวกพาลาดินทีหลังนะ เข้าใจไหม?”

ตราบเท่าที่ฉันอาศัยอยู่ในโบสถ์นี้ ฉันก็จะได้รับอาหารและน้ำมาแบบฟรีๆ ยังไงก็ตาม มันก็แค่นั้นแหละ ฉันไม่มีเงินไว้ใช้ด้วยซ้ำ

ทุกๆหนึ่งเดือน พ่อค้านักเดินทางจะโผล่ขึ้นมาในหมู่บ้าน ดังนั้นมันเป็นเรื่องที่ดีที่จะซ่อมโบสถ์โดยเงินที่ฉันจะได้รับทีหลัง จักรวรรดิทีโอเครติคทิ้งฉันไปแล้ว ฉันอาจจะต้องใช้ชีวิตทั้งชีวิตอยู่ที่นี่ ดังนั้นฉันควรที่จะหาเฟอร์นิเจอร์มีไว้สักหน่อยไหมละ?

“โอ้ อีกอย่างหนึ่ง” ฉันชี้ไปที่โบสถ์ที่ทรุดโทรมนั่น “ฉันต้องการให้พวกเจ้าซ่อมพวกมันด้วย ในขณะที่พวกเจ้าอยู่ที่นี่”

“ขอโทษนะครับ?”

หัวหน้าหมู่บ้านมองไปที่โบสถ์ ถึงแม้ว่ามันจะเก่าและทรุดโทรม โบสถ์นี้มันใหญ่มากพอที่จะให้ชาวบ้านอาศัยอยู่กว่าร้อยคน นั่นหมายความว่าค่าซ่อมแซมมันจะค่อนข้างแพง

หลังจากครุ่นคิดอยู่สักพักหนึ่ง หัวหน้าหมู่บ้านก็พูดออกมาและพยักหน้า “ผมเข้าใจแล้ว ผมจะพยายามให้ดีที่...”

“พวกเจ้ายังต้องแบ่งปันทรัพยากรอย่างฟรีๆด้วย”

“…..ผมจะทำเท่าที่ผมทำได้ครับ”

เยี่ยม! ปัญหาทุกอย่างของฉันก็ถูกคลี่คลายแล้ว

เวลาฝนตกแล้วมันรั่วเข้าไปภายในโบสถ์ มันได้ทำให้ฉันหงุดหงิดมาสักพักหนึ่งแล้วละ

ไม่เพียงแค่นั้น ผลตอบแทนที่ฉันได้รับมันก็แค่มันฝรั่งและพวกผัก ฉันควรที่จะหาเนื้อกินได้บ้างแล้ว ตั้งแต่ที่ฤดูหนาวกำลังจะมาถึง ฉันอาจจะต้องให้พวกชาวบ้านมอบรางวัลที่น่าพึงพอใจให้ฉันบ้างแล้วละ ดังนั้นฉันจะได้ไม่ต้องออกไปหาฟืนมาด้วยตัวเอง

“ฝ่าบาท! เจ้าชายครับ!”

ในขณะที่ฉันอยู่ท่ามกลางการคุยกับหัวหน้าหมู่บ้าน ชายคนหนึ่งรีบวิ่งมาหาพวกเรา เขาตะโกนออกมาด้วยหน้าตาที่ซีดเซียว “ฝูงซอมบี้บุกมาแล้วครับ!”

ฉันตกใจ

ซอมบี้มาที่นี่แล้ว?

นั่นหมายความว่ามันไม่จำเป็นที่พวกเขาจะต้องไปเอง ตัดสินจากที่พวกมันมารวมตัวกันที่นี่เพื่อมาล่าพวกคนที่ยังมีชีวิต พวกมันยังคงขึ้นตามสัญชาตญาณของมัน

มันค่อนข้างน่าโล่งอก ฉันไม่จำเป็นต้องเดินหาพวกมันทีละตัวเพื่อชำระล้างพวกมัน จำนวนงานที่ฉันต้องทำก็ลดลงไปมาก

“เยี่ยมมาก! พวกเจ้าทั้งหมด เตรียมอุปกรณ์ให้พร้อม!”

ชาวบ้าน รวมทั้งหัวหน้าหมู่บ้านต่างหันมามองยังพวกเขา พวกเขาต่างสับสนและจ้องมาที่ฉันอย่างงุนงง

“เอ่อ แล้วท่านละครับ?”

ฉันยักไหล่ หลังจากที่ได้ยินคำพูดของหัวหน้าหมู่บ้าน “พวกเจ้าเป็นอะไรกัน? ไม่ใช่ว่าพวกเจ้าต้องการให้ฉันจัดการแก้ไขปัญหานี้ให้กับพวกเจ้างั้นเหรอ?”

“ครับ แต่ว่าทำไม...?”

เสียงของเขาค่อยๆหายไป “…ทำไมท่านถึงใช้คำพูดที่น่ารังเกียจอย่าง ‘อุปกรณ์’ กับพวกเรากันละครับ?”

ปากของฉันยกขึ้น “มันก็เห็นได้ชัดเจนแล้วนี่”

แน่นอน ว่ามันเห็นได้อย่างชัดเจนอย่างมาก

ฉันมีอาชีพอยู่ 4 อย่าง

หนึ่ง เป็นเจ้าชาย

สอง เป็นผู้ดูแลสุสาน

สาม เป็นนักบวช

และสุดท้ายแล้วก็คือการเป็นเนโครแมนเซอร์

ไม่มีอาชีพไหนเลยที่เขาจะสามารถนำอยู่แนวหน้าและใช้วิชาดาบหรืออะไรแบบนั้นเลย

“เอาละ หลังจากนี้พวกเจ้าต้องไปล่าซอมบี้กันแล้วละ นั่นแหละคือเหตุผล”

“…!!”

หัวหน้าหมู่บ้านและชาวบ้านต่างตัวแข็งทื่อ

“ไม่ต้องกังวลไป มันไม่ใช่ว่าพวกเจ้าจะกลายเป็นซอมบี้ไปเมื่อโดนกัด มันก็แค่ปวดเล็กน้อยและมีไข้สูงแค่นั้นแหละ พวกเจ้าวางใจได้เลย เพราะว่าข้าจะปวดใจเหมือนกัน เมื่อพวกเจ้าเจ็บปวด”

หัวหน้าหมู่บ้านฉีกยิ้มให้ได้มากที่สุดเท่าที่เขาทำได้ รวมทั้งเหงื่อไหลออกมาจากบนใบหน้าของเขา “ท่าน...ฝ่าบาท นี่ไม่ใช่เรื่องตลกนะครับ ท่านบอกว่าท่านจะช่วยพวกเรานี่นา ก่อนหน้านี้”

ฉันมองไปที่เขาและยิ้มออกมา “นี่มันเหมือนเรื่องตลก เพราะว่าฉันยิ้มงั้นเหรอ?”

เขาแสดงท่าทางออกมาราวกับจะพูดว่า ‘นี่มันเรื่องไร้สาระอะไรกัน…’

เอาเถอะ ถ้าพวกเจ้าไม่ชอบ พวกเจ้าก็ลืมไปละกัน

ฉันจ้องไปที่เขาและยิ้มออกมาอย่างชั่วร้าย

....

ชายที่มีรูปร่างสมส่วนยืนอยู่ด้านหน้าโบสถ์ พวกเขามีคนประมาณห้าสิบคน พวกเขาแต่ละคนต่างถืออุปกรณ์ไว้ใช้ทำนา ขวานตัดไม้ เลื่อยหรือธนูไว้ล่าสัตว์ อะไรแบบนั้น..

พวกเขาต่างมีรูปร่างที่ดูทนทาน บางที มันอาจจะเป็นเพราะว่าพวกเขาเป็นชาวนา คนตัดไม้ หรือนักล่า

เยี่ยม! พวกเขาไม่ได้ลืมอาวุธของพวกเขาออกมาด้วย ตอนที่พวกเขาวิ่งหนีออกไป แม้ว่าจะเร่งรีบก็ตาม สัญชาตญาณในการเอาชีวิตรอดของคนในโลกนี้ยังคงยอดเยี่ยม

“โอ้ แล้วอุปกรณ์ที่พวกเจ้าออกไปจากโบสถ์ อย่าทำให้พวกมันเสียหายด้วยละ เข้าใจไหม? ฉันจะเก็บเงินจากพวกเจ้านะ ถ้าพวกเจ้าทำมันพัง”

ชาวบ้านต่างชักสีหน้า

ฉันเมินพวกเขาไปและพยักหน้าอย่างพึงพอใจ “เยี่ยม แค่นี้ก็พอแล้วละ พวกมันอาจจะเป็นซอมบี้ แต่ตราบเท่าที่พวกเจ้าไม่ได้จัดการกับพวกสัตว์ พวกเราก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไรหรอก เพราะมันค่อนข้างช้า”

อีกอย่างหนึ่ง แม้ว่ามันจะมีพวกสัตว์มาผสมด้วย พลังโจมตีของพวกมันก็น่าจะจำกัดด้วยเช่นกัน ดังนั้นมันไม่สำคัญอะไรหรอก

“เอาละ ความปลอดภัยของพวกเจ้าทุกคนจะต้องเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด อย่าฝืนตัวเองเกินไปกับการล่าซอมบี้ละ ถ้ามันยากไป พวกเจ้าก็คอยช่วยเหลือกันเอง ตราบเท่าที่พวกเราไม่เร่งรีบ มันจะไม่มีใครบาดเจ็บและ…”

ฉันปิดจมูกอย่างเร่งรีบ กลิ่นเหม็นฉุนมันลอยโชยมาจากระยะไกล พลังมารลอยละล่องกลางอากาศจนเหม็นฉุนอย่างมาก

ฉันเหลือบตามองไปทางป่า สายตาที่เต็มไปด้วยความกระหายเลือดค่อยล้อมรอบโบสถ์ เพียงเวลาไม่นาน ซอมบี้ที่เดินอย่างเชื่องช้าคลืบคลานออกมาจากหมอกควัน จำนวนของพวกมันมีหลายร้อยตัว

“บ้าอะไรวะเนี่ย...”

…ทำไมมันมีเยอะขนาดนี้เนี่ย!

ฉันเรียกหัวหน้าหมู่บ้านที่ถอยออกไปอย่างสั่นกลัว

“เห้ย เจ้าหัวหน้าหมู่บ้าน”

“ครับ??”

เขาจ้องกลับมาด้วยใบหน้าที่ซีดเซียว

“ไม่ใช่ว่าพวกเจ้าบอกว่ามีประมาณสามสิบตัวงั้นเหรอ?”

“นั่นเป็นสิ่งที่พวกเราเห็น..”

แม้แต่หัวหน้าหมู่บ้านยังสับสน เขาไม่เข้าใจว่ามันเกิดอะไรขึ้น

ฉันเริ่มที่จะนวดหน้าผากตัวเอง “สี่….. ไม่สิ หนึ่งในหมู่บ้านมันล่มสลายลงไปก่อนฃแล้ว ดังนั้น...จำนวนของสามหมู่บ้านรวมกันมันประมาณเท่าไหร่?”

หัวหน้าหมู่บ้านรีบนับนิ้ว “เอ่อ... หมู่บ้านที่ใหญ่ที่สุดมีคนประมาณสองร้อยคน ในขณะที่อีกหมู่บ้านน่าจะมีประมาณ 50 ถึง 100 คน อย่างน้อยมันน่าจะเกิน 300”

“โอเค เอาละ...ตั้งแต่ที่มันมีผู้รอดชีวิตอยู่ที่นี่กับพวกเรา หนึ่งร้อยคน และพวกเจ้าเห็นประมาณสามสิบตัว ถ้างั้น คนที่เหลือละ?”

หัวหน้าหมู่บ้านตัวแข็งทื่อและเขาจ้องกลับมาที่ฉันอย่างมึนงง “ผมไม่แน่ใจเหมือนกันครับ พวกเรารีบหนีกันออกมา ดังนั้น…”

“เอาละ ฉันเข้าใจชัดละ”

ชาวบ้านบางกลุ่มที่หลบหนีออกมาถูกฆ่าตาย ไม่ก็พวกมันอาจจะเป็นพวกที่เดินไปมาในดินแดนแห่งความตายนี้ก็ได้ เอาเถอะ พื้นที่บริเวณนี้มันก็เป็นสถานที่แห่งสรวงสวรรค์ของพวกอันเดทอยู่ดี

ตาของฉันกระตุก เมื่อฉันคอยสังเกตเห็นฝูงซอมบี้ที่คลืบคลานมาหาฉันอย่างเชื่องช้า ชาวบ้านต่างตื่นตระหนกกัน

“ฝ่าบาท พวกเราจะทำยังไงดีครับ?”

“ฝ่าบาท!!”

“พวกเราหนีไปจะดีกว่าไหมครับ?”

หัวหน้าหมู่บ้านพูดขัดขึ้นมาและถามฉัน

ฉันทำได้เพียงนวดขมับมากขึ้นกว่าเดิม “มันมีทางอื่นในการจัดการกับซอมบี้ไหม?”

“ไม่ครับ มันไม่มี”

“แม้ว่าฝูงซอมบี้จะมาอะนะ?”

หัวหน้าหมู่บ้านรีบปาดเหงื่อและตอบกลับ “เหตุการณ์แบบนี้มันไม่ค่อยเกิดขึ้นหรอกครับ ถ้าพวกเราพบเจอกับภัยพิบัติแบบนี้ พวกเราก็แค่แจ้งเรื่องกับเจ้าเมืองและรอจนกว่าพวกเขาจะส่งกองกำลังมา”

ฉันอดที่จะหน้าเสียไม่ได้ ‘ทำไมงานของฉันมันมีแต่เพิ่มขึ้นแบบนี้กัน? เดี๋ยวก่อนนะ หรือว่าฉันรับกรรมจากกระทำของเจ้าของร่างกายนี่ ที่มันทำมาในอดีตกัน?’

ถึงแม้ว่าฉันจะรู้สึกว่ามันตลกก็ตาม แต่ก็อดที่จะรู้สึกเซงไม่ได้ มันน่าจะเป็นเรื่องเป็นไปได้ กับสิ่งที่เขาคิด

ตั้งแต่ที่เวทย์มนต์มันมีจริงในโลกใบนี้ ฉันก็ไม่ได้ปิดกั้นความเป็นไปได้ที่ว่าเทพนั้นมีจริง ไม่ใช่ว่าฉันเชื่อหรืออะไรก็ตาม แต่ถ้าพระเจ้ามีจริง มันก็ไม่มีทางที่พวกเขาจะไม่ทำอะไรเลย สำหรับพวกที่ก่นด่าใส่พวกเขาใช่ไหม?

‘ไอ้หลานเวร!’

ฉันหงุดหงิดมาก

การดูหมิ่นศาสนาของเจ้าของร่างกายคนก่อนมันโคตรสารเลวมาก ถ้าฉันต้องชำระบาปแทนเขาแล้วละก็ ถ้าอย่างงั้น ฉันคงตกอยู่ในปัญหาใหญ่แล้วละ

“อ๊า! เทพีแห่งความรักและเมตตา ไกอา!”

เมื่อฉันตะโกนออกมา หัวหน้าหมู่บ้านและคนในหมู่บ้านต่างมองมาที่ฉันกันทั้งหมด ไม่ใช่ว่าฉันกำลัง ‘อธิษฐาน’ อยู่อย่างงั้นเหรอ? พวกเขาต่างดูมีชีวิตชีวามากขึ้น

พวกเขาอาจจะคิดว่าการมีนักบวชที่ใช้พลังศักดิ์สิทธิ์ต่อหน้าฝูงอันเดท เป็นเรื่องที่น่าไว้วางใจ แน่นอนว่าพวกผู้ชายและผู้หญิงที่ใช้พลังศักดิ์สิทธิ์จะต้องอธิษฐานก่อนที่จะรวบรวมพลัง และร่ายเวทย์

ยังไงก็ตาม ฉันแตกต่างออกไป

ฉันทำลายความคาดหวังของชาวบ้านที่มีต่อนักบวชอย่างฉันทิ้งไป

“ความรักและเมตตาก็เชี่ยละ! ถ้าท่านทำให้ฉันต้องลำบากทรมานแบบนี้ เพราะฉันด่าท่านไปรอบหนึ่งแล้วละก็ ฉันก็จะด่าท่านให้หนักกว่านี้! ไอ้เทพีเจ้าคิดเจ้าแค้นเอ้ย!”

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด