ตอนที่ 5 : “หมู่ดาว”
เรื่อง : รัตติกาลไม่สิ้นแสง (长夜余火 Embers Ad Infinitum)
ตอนที่ 5 : “หมู่ดาว”
* * * * * * * * * * * * * * *
หลงเยว่หงอ้าปากราวกับจะพูดชวน
“…งั้นก็ไม่เป็นไร”
ซางเจี้ยนเย่านั่งอยู่พักหนึ่งก่อนจะถือถาดเดินไปที่ทางออก แล้วยื่นส่งทุกอย่างไปให้กับพนักงานโรงอาหารที่กำลังทำหน้าที่อยู่
ด้านนอกของ “ตลาดโภคภัณฑ์” ลำแสงจากหลอดไฟฟ้าบนเพดานที่เรียงกันเป็นแถวอย่างเป็นระเบียบส่องสว่างลงบนทางเดินที่นำไปยังชั้นอื่นๆ บรรดาพนักงานชายหญิงหลายช่วงวัยจับกลุ่มสองคนบ้างสามคนบ้างมุ่งหน้าไปที่ “ศูนย์กิจกรรม” บ้างก็กลับบ้านกันเป็นกลุ่ม บ้างก็ดูลูกๆ วิ่งเล่นรอบๆ อย่างสนุกสนาน
ซางเจี้ยนเย่าเดินอยู่ท่ามกลางพวกเขาและรีบออกจากเขต C เขาผ่านถนนมีกำแพงที่ถูกขีดเขียนลายพร้อยเข้าไปยังเขต B ที่มีห้องอยู่อย่างหนาแน่น
ที่พักในเขตพักอาศัยของอาคารใต้ดินแห่งนี้ไม่ได้มีลักษณะแบบที่เรียกว่าอาคาร พนักงานนั้นอาศัยอยู่ในห้อง ไม่ใช่บ้าน มีคำเปรียบเทียบที่อยู่แบบนี้ว่ารวงผึ้ง ซึ่งคำพูดนี้มาจากคนที่ทำงานอยู่ในเขตนิเวศน์ชั้นในที่เคยได้เห็นรวงผึ้งของจริงมาก่อน
เพียงแต่ว่าทางเดินระหว่างแถวของแต่ละห้องนั้นกว้างขวางเป็นอย่างยิ่ง ถูกปูด้วยหินเรียบสีขาวนวล ให้คนเดินเคียงเรียงหน้ากระดานกันได้ถึงห้าหกคนเลยทีเดียว
นี่เป็นนโยบายของบริษัทเพื่อหลีกเลี่ยงความแออัดในกรณีเกิดเหตุฉุกเฉิน
ซางเจี้ยนเย่าเดินไปสักพักก็เห็นห้องของตัวเอง
มันไม่ได้แตกต่างไปจากห้องข้างเคียงอื่นๆ ผนังเป็นสีดำสนิทและมีความมันเงาในระดับหนึ่งทำให้ดูจมลึกลงไปเล็กน้อย บานประตูไม้สีน้ำตาลอมแดง ด้านข้างเป็นหน้าต่างแบบสี่ช่อง
สิ่งเดียวที่ระบุว่านี่เป็นห้องของเขามีเพียงหมายเลขสีขาวบนประตู :
“ห้อง 196”
ชั้น 495 เขต B ห้อง 196
ซางเจี้ยนเย่าล้วงกระเป๋ากางเกงหยิบเอากุญแจสีทองเหลืองแล้วสอดเข้าไปในล็อกสีเดียวกันแล้วบิดเบาๆ
เสียงดังคลิก ซางเจี้ยนเย่าใช้อีกมือหนึ่งบิดลูกบิดประตูแล้วผลักเข้าไป
ประตูเปิดเข้าไปได้เพียงครึ่งเดียวเพราะติดเตาภายในห้อง
ห้องนี้กว้างสองเมตร ลึกสามเมตร และสูงสี่เมตร มีเตียงไม้ที่ซางเจี้ยนเย่าแทบจะนอนเหยียดขาไม่ได้ วางแนวขวางอยู่ด้านในสุด มีเพียงช่องว่างแคบๆ ไม่ถึงสิบเซนติเมตรระหว่างปลายเตียงกับผนัง ซึ่งแน่นอนว่าไม่สามารถวางเฟอร์นิเจอร์ใดๆ ได้ แต่ก็มีตอกตะปูเกลียวไว้ที่ผนังซึ่งแขวนเสื้อผ้าที่ดูเรียบๆ และแบบซ้ำๆ กันสองชุดห้อยไว้
ถัดไปด้านข้างมีอ่างล้างจานซึ่งแยกไว้ด้วยฟิล์มพลาสติกครึ่งแผ่น อีกด้านของอ่างล้างจานเป็นเตาที่มีท่อดูดควันอยู่ด้านบน ด้านล่างเป็นตู้เก็บของ
การมีอยู่ของสิ่งอำนวยความสะดวกทั้งสองนี้ทำให้ซางเจี้ยนเย่ารู้สึกพอใจอยู่เสมอ เพราะไม่ใช่ทุกห้องที่จะมีได้
อาคารใต้ดินนี้มีหลายชั้นและมีผู้คนอาศัยอยู่มากเกินไป แม้ว่าจะมีลิฟต์ ระบบระบายอากาศ ระบบระบายน้ำ หรือระบบจ่ายพลังงาน ทั้งหมดนี้ล้วนแต่เผชิญกับการทดสอบอันโหดร้ายจากธรรมชาติมาแล้ว
ดังนั้นไม่เพียงแต่จะมีลิฟต์หลายตัว แต่ยังมีการแยกไว้สำหรับแต่ละเขตและบางชั้นโดยจำเพาะเจาะจงอีกด้วย ดังนั้นระบบระบายอากาศและระบบระบายน้ำจึงถูกแบ่งซอยย่อย ทุกๆ 15 ชั้นหรือชั้นที่จำเพาะเจาะจงจะใช้ร่วมกัน
ด้วยวิธีนี้ หากเกิดปัญหากับระบบขึ้นมาก็จะส่งผลกระทบเพียงบางพื้นที่เท่านั้น ไม่ได้ทำให้ระบบทั้งหมดใช้การไม่ได้
ท่ามกลางสิ่งเหล่านี้ เพื่อเสถียรภาพของระบบระบายน้ำ จึงมีห้องเพียงจำนวนน้อยเท่านั้นที่บริษัททำการเชื่อมต่อกับท่อในภายหลัง
พนักงานจำนวนมากต้องต่อแถวเพื่อใช้ห้องน้ำสาธารณะที่อยู่ใน “เขต” ที่พักของตนสำหรับล้างหน้าแปรงฟัน และเนื่องจากการขาดแคลนพลังงานจึงส่งผลให้พื้นที่ใช้สอยหลายๆ ส่วนในตอนดึกและเช้ามืดจะหนาวมาก
การไม่ต้องถ่อสังขารออกจากห้องในสภาพที่ต้องใช้ผ้าห่มห่อตัวเป็นแหนมมัดเพื่อไปล้างหน้าแปรงฟันนั้นเป็นความใฝ่ฝันของพนักงานจำนวนมาก
อีกด้านหนึ่งของประตู ด้านล่างของบานหน้าต่างสี่ช่องมีโต๊ะไม้แข็งแรงทาสีแดงตั้งอยู่ สิ่งของที่วางอยู่บนโต๊ะนั้นมีหนังสือหลายเล่ม ปากกาหมึกซึม และขวดหมึกดำ
ในเวลานั้น แสงจาก “ไฟส่องทาง” บนเพดานของถนนลอดผ่านหน้าต่างสาดฉายลงบนโต๊ะ ทำให้ไม่เห็นข้อความบนปกหนังสือ
ถ้าไม่ใช่เป็นเพราะว่าห้องเขาอยู่กึ่งกลางระหว่างไฟถนนสองจุด ทำให้แสงไม่สว่างมากพอ ซางเจี้ยนเย่าก็คงจะใช้ไฟถนนเพื่ออ่านหนังสือได้โดยไม่ต้องใช้โควต้าพลังงานของตัวเอง
โต๊ะไม้นั้นมีตู้เก็บของอยู่ในตัว ด้านหลังถัดเข้าไปมีเก้าอี้สีน้ำตาลอมแดงและมีรอยเป็นด่างดวง ด้านหลังเก้าอี้มีม้านั่งที่ดูใกล้จะพังรอมร่ออยู่สองตัว นี่พอจะเรียกพวกมันได้ว่าเป็น “ห้องนั่งเล่น”
ด้านหลัง “ห้องนั่งเล่น” ก็คือเตียงไม้ที่ตั้งแนวขวาง
ซางเจี้ยนเย่าไม่ได้เปิดไฟในห้องเพราะเขาเหลือโควต้าพลังงานไม่มากนัก จึงต้องประหยัดสักหน่อย
หลังจากดึงลูกกุญแจออกมาแล้วปิดประตู ซางเจี้ยนเย่าก็เดินข้ามผ่านบริเวณที่แสงจากไฟถนนลอดผ่าน เข้าไปยังเตียงนอนที่มืดมิด
เขาหยิบหมอนที่ยัดไส้ไว้ด้วยเปลือกธัญพืชวางพิงผนังในแนวตั้งแล้วเอนตัวพิงด้วยท่ากึ่งนอนกึ่งนั่ง
ด้วยท่านี้ ซางเจี้ยนเย่าสามารถมองเห็นกระทะไฟฟ้าและหม้อหุงข้าวบนเตา
พื้นผิวพวกมันปกคลุมด้วยสนิมเนื่องจากผ่านการใช้งานมาเนิ่นนานหลายปี
เท่าที่ซางเจี้ยนเย่าจำความได้ ของพวกนี้ก็อยู่ในบ้านเขาแล้ว อันหนึ่งเอากลับมาจากซากเมืองของโลกเก่า เมื่อครั้งที่พ่อของเขาเข้าร่วมปฏิบัติการภายนอกของแผนกความมั่นคง เขาถึงกับยอมสละของอื่นๆ เพื่อที่จะแลกของชิ้นนี้มา
ส่วนสิ่งของอีกชิ้นนั้นหลังจากที่แม่แต่งงาน เธอได้อดออมคะแนนความร่วมมืออยู่นานแล้วเอาไปแลกมาจากแผงลอยเล็กๆ พวกของใหม่ๆ ในตลาดโภคภัณฑ์นั้นค่อนข้างมีราคาสูงและขาดตลาดอยู่เสมอ
ห้องนี้ไม่ใช่บ้านในความทรงจำของซางเจี้ยนเย่า เขาจำได้ว่าบ้านเดิมอยู่ที่เขต A เลขที่ 28 ในชั้นเดียวกันนี้ บ้านนั้นมีสองห้อง เล็กห้องใหญ่ห้อง และมีห้องน้ำที่คับแคบอยู่หนึ่งห้อง
นี่ทำให้ซางเจี้ยนเย่าเมื่อตอนเด็กมีสิทธิพิเศษที่ไม่ต้องไปต่อแถวรอเข้าห้องน้ำสาธารณะและสูดดมกลิ่นฉุนอันไม่น่าอภิรมย์
แต่หลังจากที่พ่อเขาหายสาบสูญและแม่จากไป บริษัทก็ยึดห้องกลับเพื่อนำไปจัดสรรให้กับพนักงานคนอื่นที่เหมาะสม ห้องปัจจุบันนี้คือห้องใหม่ที่เขาได้รับจัดสรรมาหลังจากออกจากสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าและเข้ามหาวิทยาลัย
เพื่อเป็นการประหยัดพลังงาน ห้องพวกนี้ที่แยกออกมาในภายหลังจึงไม่ได้ติดตั้งระบบล็อกอิเล็กทรอนิกส์ แต่ใช้เพียงล็อกธรรมดาที่เอามาจากเมืองในโลกเก่า และมีผลิตเพิ่มจากโรงงานบางแห่ง
ซางเจี้ยนเย่ามองเรื่อยเปื่อยไปยังโต๊ะไม้ใต้หน้าต่าง
เขาได้ยินแม่บอกว่าเมื่อตอนที่แม่เพิ่งแต่งงานกับพ่อหมาดๆ พ่อต้องอดออมและประหยัดเพื่อซื้อไม้จากตลาดโภคภัณฑ์เอามาทำโต๊ะเอง
โต๊ะไม้ที่มีตู้เก็บของตัวนี้กับเสื้อผ้าที่แม่ของซางเจี้ยนเย่าเย็บเอง รวมถึงเครื่องใช้ไฟฟ้าอีกสองชิ้นที่ถูกส่งกลับคืนมาให้เขาหลังจากสามปีที่อยู่ในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า
อย่างไรก็ตาม ซางเจี้ยนเย่าเติบโตจนไม่สามารถสวมเสื้อผ้าในตู้ได้อีกแล้ว
ซางเจี้ยนเย่าหลับตา ยกมือขวาขึ้นมานวดขมับ
แล้ววางมือลงไป ยังคงอยู่ในท่าเดิม ไม่ได้เคลื่อนไหวอีก
ทั้งห้องเงียบสงัด ความมืดเหมือนจะมืดลงไปอีก
ซางเจี้ยนเย่าเอนตัวลงราวกับว่าหลับไป
* * * * *
ซางเจี้ยนเย่าลืมตาขึ้น ไม่ได้รู้สึกแปลกใจที่มองเห็นห้องโถงอันกว้างใหญ่และว่างเปล่า
ห้องนี้ใหญ่กว่าพื้นที่ของ “ตลาดโภคภัณฑ์” ทั้งหมดรวมกัน
ห้องโถงล้อมรอบด้วยผนังสีดำที่เป็นมันวาวของโลหะและให้ความรู้สึกเยือกเย็น เหนือศีรษะเป็นความมืดสลัว เขามองไม่เห็นด้านบน ไม่รู้ว่ามันสูงแค่ไหน
ท่ามกลางความมืดมิดนี้มีจุดสว่างอยู่นับไม่ถ้วน พวกมันค่อยๆ หมุนวนราวกับรูปร่างของสายธาราแห่งความฝันที่มีเพชรโปรยปราย
ซางเจี้ยนเย่ายังคงตื่นตะลึงกับฉากนี้ ไม่อาจบรรยายสภาพเบื้องหน้าด้วยคำพูดได้
เขานึกถึงภาพท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาวพร่างพรายบนหน้าจอที่อาจารย์เอามาให้ดูเมื่อตอนที่เขาเข้ามหาวิทยาลัยครั้งแรก
นั่นเป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นดวงดาว
และตอนนี้เขารู้สึกเหมือนว่ากำลังอยู่ท่ามกลางหมู่ดาว
กลางห้องโถงนั้น “แสงดาว” กระจายแล้วรวมตัวเป็นรูปร่างที่ไม่ชัดเจน
ร่างนี้แผ่สองมือออกอย่างสมมาตรเป็นที่สุดราวกับกำลังเลียนแบบดุลยภาพ
เสียงของ “เขา” ดังก้องในห้องโถงราวกับว่ากำลังถ่ายทอดความตระหนักรู้จากดวงดารา
“สละหนึ่ง ได้รับสาม”
“สละหนึ่ง ได้รับสาม…”