ตอนที่แล้วตอนที่ 3 : ตลาด
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 5 : “หมู่ดาว”

ตอนที่ 4 : ข่าวลือ


เรื่อง : รัตติกาลไม่สิ้นแสง (长夜余火 Embers Ad Infinitum)

ตอนที่ 4 : ข่าวลือ

* * * * * * * * * * * * * * *

ซางเจี้ยนเย่าถืออาหารกระป๋องไว้ ไม่ได้ตอบอะไรแต่ก็ไม่ได้วางลง

ผ่านไปสองสามวินาที ถึงจะพูดขึ้น

“มันร้องเพลงได้ไหม?”

“หือ?” เฉินเสียนอวี่มีชีวิตมานานหลายปี นี่เป็นครั้งแรกที่เขาคิดว่าหูตัวเองเริ่มมีปัญหา

ตอนนั้นเอง หลงเยว่หงถือกล่องอาหารพลาสติกสีเหลืองสองกล่องเดินเข้ามาใน “ศูนย์กิจกรรม” ก็มองเห็นซางเจี้ยนเย่า

เขาทักทายด้วยรอยยิ้มเกลื่อนหน้า

“เดี๋ยวไปกินข้าวด้วยกันสิ!”

“นายจะเลี้ยงฉันเหรอ?” ซางเจี้ยนเย่าวางอาหารกระป๋องในมือลงแล้วยืนขึ้น

หลงเยว่หงรีบส่ายหน้าโดยไม่ต้องคิด

“ไม่มีทาง

“นายยังมีแต้มเบี้ยเลี้ยงอยู่ตั้งเยอะไม่ใช่เรอะ?”

แม้ว่าพ่อแม่ของซางเจี้ยนเย่าจะไม่ได้ทิ้งมรดกอะไรไว้ให้ แต่ว่าบริษัทก็ได้ให้คะแนนความร่วมมือแก่เขาไว้จำนวนหนึ่ง เมื่อเขาเข้าเรียนในมหาวิทยาลัย ก็ได้รับเพิ่มอีก 1,200 แต้มในแต่ละเดือน ซึ่งนักศึกษามหาวิทยาลัยแต่ละคนก็ได้เช่นกัน

นี่จึงทำให้ซางเจี้ยนเย่าพอจะมีอยู่มีกินประทังไปได้

แต่แต้มเบี้ยเลี้ยงนี้จะหยุดให้หลังจากที่จบการศึกษาและได้รับบรรจุงานแล้วหนึ่งเดือน

ซางเจี้ยนเย่าถูกปฏิเสธก็ไม่ได้รู้สึกอับอายอะไร หัวเราะพูดตอบ

“มีความสุขก็สมควรต้องแบ่งปันกับเพื่อนฝูงไม่ใช่หรือไง?”

“นายจะบอกว่าการเลี้ยงข้าวเพื่อนคือการแบ่งปันที่ดีที่สุดงั้นสินะ?” หลังจากผ่านมาสองเดือน หลงเยว่หงก็เริ่มคุ้นเคยกับวิธีคิดของซางเจี้ยนเย่า

ได้ยินสองหนุ่มพูดคุยกัน เฉินเสียนอวี่ก็หัวเราะแล้วพูดแทรก

“ใช่แล้ว เยว่น้อย เมื่อตอนบ่ายเธอยังหน้าจ๋อยเป็นหอยดองอยู่เลย แต่พอตกเย็นก็ลัลล้าขนาดนี้ นี่ต้องเจอเรื่องดีๆ มาสินะ”

“อย่าเรียกผมว่าเยว่น้อยสิ…” หลงเยว่หงพึมพำก่อนยิ้มแป้น “แม่บอกว่าผมไม่ต้องรอจัดสรรจับคู่ปีหน้าแล้ว เพื่อนร่วมงานของพ่อแม่มีหลายคนที่ลูกสาวไม่ได้เข้าเรียนมหา’ลัย เพิ่งได้บรรจุงาน แม่ว่าจะแนะนำให้ผมรู้จัก เผื่อว่าจะพัฒนาความสัมพันธ์ต่อไปได้”

พนักงานบริษัทนั้นมีเพียงโอกาสเดียวที่จะได้เข้าศึกษาต่อในมหาวิทยาลัย ถ้าหากว่าพลาดไป ก็ต้องเข้าบรรจุงานที่ตามบริษัทจัดสรรให้ (หลังจากทำงานแล้ว ถ้าผลงานดีก็มีโอกาสได้รับการแนะนำให้เข้าศึกษาในมหาวิทยาลัยได้) ในเวลาช่วงนั้นพวกเขาเพิ่งจะอายุ 18 ปี ยังไม่ถึงเกณฑ์ที่ต้องเข้าร่วมจัดสรรจับคู่แต่งงาน

หนุ่มสาวในวัยนี้มักโหยหาความรักแบบเลือกได้เอง สิ่งนี้ย่อมดีกว่าการถูกสุ่มเลือกคู่ ไม่ใช่เพราะเรื่องโชคหรอก แต่เป็นเรื่องของความรู้สึก

แน่นอนว่ามีน้อยคนที่สามารถเลือกคนรักได้ตามใจ นั่นเป็นเพราะว่าหลังจากที่ถูกบรรจุทำงานแล้ว พวกเขาจะต้องออกจากบ้านตอน 7.30 น. เลิกงานตอน 18.00 น. โดยไม่สามารถทิ้งงานในมือได้ ในระหว่างนั้นจะมีเวลาพักหนึ่งชั่วโมงสำหรับมื้อเที่ยงและมื้อเย็น หลังจากนั้นในเวลา 21.00 น. “ศูนย์กิจกรรม” ก็ได้เวลาปิดทำการ ไฟส่องทางก็ถูกดับหมด ทุกคนต้องกลับบ้านไปพักผ่อน ดังนั้นพวกหนุ่มสาวทั้งหลายจึงแทบไม่มีโอกาสได้ติดต่อกับเพศตรงข้าม และเวลาที่มีให้กันก็จำกัดมาก

ในทางกลับกัน หากเป็นที่โรงเรียนหรือในมหาวิทยาลัย ความรักแบบเลือกเองนั้นมีให้เห็นมากกว่า

พอหลงเยว่หงพูดเสร็จเขาก็พึมพำต่อ

“ไม่รู้ว่าพวกเธอจะดูถูกฉันหรือเปล่านะ ฉันได้รับยาปรับปรุงแบบธรรมดา เลยสูงแค่ 175 เอง หล่อก็ไม่หล่อ เรียนก็กลางๆ ไม่มีอะไรโดดเด่น…”

“ทางนั้นเหมือนมีเรื่องอะไร…” ซางเจี้ยนเย่าขัดจังหวะหลงเยว่หงที่กำลังตัดพ้อตัวเอง ชี้ไปทางโต๊ะเก่าๆ ที่ห่างออกไปสองสามเมตร

ที่ตรงนั้นมีพนักงานหลายคนกำลังล้อมวงคุยกันอยู่

หลงเยว่หงอยากรู้อยากเห็น จึงเดินตามซางเจี้ยนเย่าเข้าไป

เขามองกวาดไปรอบๆ พอเห็นคนรู้จักก็โพล่งถามขึ้น

“น้าเหริน คุยอะไรกันอยู่เหรอ?”

กลางวงนั้นคือน้าเหริน หญิงวัยกลางคน อายุราวสี่สิบปี สวมเสื้อทำจากใยสังเคราะห์ วงคิ้วงดงาม เกล้ารวบมวยผมไว้แบบง่ายๆ

เธอชื่อว่าเหรินเจี๋ย เพื่อนบ้านของหลงเยว่หง เป็นพนักงานตำแหน่ง “คณะกรรมการยุทธศาสตร์” ของบริษัท อยู่ระดับ D3

เหรินเจี๋ยมองหลงเยว่หงแล้วถอนใจ

“กำลังคุยกันเรื่องข่าวลือในช่วงนี้น่ะ”

“ข่าวลืออะไรเหรอ?” หลงเยว่หงถามด้วยความสงสัย

ในตอนนี้เฉินเสียนอวี่ละสายตาจากกลุ่มชน แล้วก้มมองกองอาหารกระป๋องทหารที่อยู่เบื้องหน้า อดลูบท้องกลืนน้ำลายไม่ได้

เขาเหมือนย้อนรำลึกถึงความรู้สึกที่ได้กินอาหารกระป๋องทหารในยามหิวโหยครานั้น

“มันร้องเพลงได้จริงๆ… ไม่สิ มันทำให้กระเพาะและวิญญาณร้องเพลง” เฉินเสียนอวี่รำพึงรำพันแล้วทอดถอนใจด้วยความสะเทือนอารมณ์

ในอีกด้านหนึ่ง เหรินเจี๋ยมองไปรอบๆ แล้วลดเสียงลง

“ว่ากันว่าบริษัทจะยึดสิทธิการให้กำเนิดลูกไปจากทุกคน”

“หือ?” หัวข้อสนทนานี้เกินความคาดหมายของหลงเยว่หง เขาจับต้นชนปลายไม่ถูกไปชั่วขณะ

เหรินเจี๋ยมองดูซางเจี้ยนเย่าที่ยิ้มอยู่ แล้วพูดต่อ

“บริษัทอาจจะขอให้สามีภรรยายที่ต้องการมีลูก ส่งมอบเอกสารข้อมูลทางชีวภาพของพวกเขาภายใต้คำแนะนำและการช่วยเหลือจากแพทย์

“จากนั้นก็จะสร้าง ‘ศูนย์ให้กำเนิด’ ขนาดใหญ่ขึ้นในเขตค้นคว้าวิจัย ซึ่งจะทำการปฏิสนธิภายนอก พัฒนามดลูกเทียม ช่วยการเจริญเติบโตของเด็กทารกและเข้าแทรกแซง พูดง่ายๆ ก็คือกว่าที่พวกคุณจะไปรับลูกกลับมา พวกเขาก็อาจจะอายุหลายขวบแล้ว

“เฮ้อ พวกเขาจะปลดปล่อยผู้หญิงจากการตั้งครรภ์ เพื่อบรรเทาสภาวการณ์ขาดแคลนแรงงานของบริษัท”

เมื่อเหรินเจี๋ยพูดเช่นนั้น หญิงสาววัยยี่สิบด้านข้างอดพูดขึ้นไม่ได้

“แบบนี้ไม่ดีเหรอ?”

“จะไปดีได้ยังไง?” เหรินเจี๋ยพูดด้วยสีหน้าอึมครึม “การตั้งครรภ์ให้กำเนิดบุตรคือสิทธิอันศักดิ์สิทธิ์ที่ทวยเทพ เอ่อ สวรรค์ประทานให้กับพวกเรา จะให้เครื่องจักรแย่งไปงั้นเหรอ? แล้วเธอจะสร้างสายสัมพันธ์กับลูกได้ยังไง?”

“ใช่ ใช่” ชายที่นั่งเยื้องตรงข้ามเธอเสยผมแล้วพูดอย่างกังวล “ว่ากันว่าเหตุที่โลกเก่าถูกทำลายลง เป็นเพราะว่าหลายต่อหลายครั้งที่ทำการทดลองต้องห้ามและผิดจริยธรรม”

เหรินเจี๋ยผงกศีรษะแล้วหันไปทางซางเจี้ยนเย่ากับหลงเยว่หง

“ซางน้อย เยว่น้อย พวกเธอมีความเห็นว่าไง? คิดว่าการให้กำเนิดบุตรนั้นเป็นกุญแจของการเป็นมนุษย์และเป็นสิทธิอันศักดิ์สิทธิ์ที่สวรรค์ประทานมาให้ใช่ไหม?”

ซางเจี้ยนเย่าพยักหน้าอย่างไม่ลังเล

“ใช่ครับ”

หลงเยว่หงเห็นน้าเหรินมองมาด้วยสายตาถมึงทึง จึงตอบด้วยเสียงอ่อย

“ใช่ ใช่ครับ”

“อย่างน้อยพวกเธอก็ยังมีมโนธรรมสำนึก” เหรินเจี๋ยยิ้มออกมา

มีพนักงานยิ้มแล้วพูดขึ้น

“พวกคุณซีเรียสกันเกินไปหรือเปล่า? มันก็แค่ข่าวลือเอง ขนาดลุงผมทำงานอยู่ในหน่วยงานสังกัดคณะบริหารโดยตรง ไม่เห็นจะเคยได้ยินข่าวนี้เลย!”

เหรินเจี๋ยตอบด้วยท่าทางจริงจังเป็นอย่างมาก

“ฉันเพียงแค่เตือนให้รู้ตัวก่อนแค่นั้นเอง เมื่อถึงเวลานั้น หากมีใครมาถามความคิดเห็น ก็ต้องค้านไปอย่างแข็งขัน”

บางคนนิ่งเงียบ บางคนพยักหน้า บางคนคิดต่อแล้วถามขึ้น

“ถ้าหากว่าเป็นเรื่องจริง แล้วเขาจะยกเลิกการแต่งงาน ยกเลิกการจัดสรรจับคู่หรือเปล่า?”

ชายคนที่ก่อนหน้านี้พูดถึงเรื่องเล่าลือกันในโลกเก่า กล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่น

“ไม่หรอก

“ผู้อำนวยการจี้เคยพูดไว้ว่าการแต่งงานที่กลมเกลียวปรองดองคือกุญแจสำหรับประคองรักษาสภาวะจิตที่มั่นคงของพนักงานในสภาวะแวดล้อมปัจจุบัน”

ผู้อำนวยการจี้ ชื่อว่า จี้เจ๋อ เป็นคณะกรรมการบริหารของบริษัท รองประธาน และมีระดับสูงขั้น M3 เขามักจะพูดออกอากาศอยู่บ่อยๆ และทักทายทุกคนทางหน้าจอแสดงผลของ “ศูนย์กิจกรรม” ตอนสิ้นปี

ขณะที่ทุกคนกำลังสนทนากันอยู่นั้น ก็มีเสียงสัญญาณดังมาจากพื้นที่ด้านข้าง “ศูนย์กิจกรรม”

“กริ๊งงงงง!”

นอกจากคนไม่กี่คนแล้ว คนที่เหลือเกือบทั้งหมดราวกับได้ยินสัญญาณสั่งให้บุกตะลุย ต่างพร้อมใจกันลุกขึ้นยืน

เป็นเสียงกริ่งที่ดังมาจาก “ตลาดโภคภัณฑ์” เพื่อแจ้งบอกให้ทุกคนทราบว่าเหลืออีกเพียงสามนาที ก่อนที่โรงอาหารจะเปิดทำการ

เมื่อเห็นบรรดาเพื่อนบ้านต่างเริ่มมุ่งตรงไปยัง “โรงอาหารพนักงาน” หลงเยว่หงก็เหลือบมองซางเจี้ยนเย่าที่อยู่ด้านข้าง

“ไม่น่าเชื่อว่านายเห็นด้วยกับน้าเหริน”

ซางเจี้ยนเย่ามองตรงไปข้างหน้า พูดขึ้น

“ลองถามอีกแบบดูสิ”

หลงเยว่หงขมวดคิ้วคิดอยู่อึดใจ

“นายคิดยังไงกับเรื่อง”ศูนย์ให้กำเนิด“ที่ปลดปล่อยผู้หญิงจากการตั้งครรภ์?”

ซางเจี้ยนเย่าตอบโดยไม่ลังเล

“ไม่ใช่เป็นเรื่องดีหรอกเหรอ?”

“…” หลงเยว่หงพูดไม่ออก

ระหว่างที่คุยกัน ทั้งสองก็มาถึงด้านนอกของ “ตลาดโภคภัณฑ์”

ที่นี่ไม่มีประตูทางเข้า จึงสามารถมองเห็นสิ่งที่อยู่ด้านในได้อย่างชัดเจน

ด้านซ้ายของตลาดมีโต๊ะยาวและเคาน์เตอร์ พนักงานจำนวนมากที่ไม่ได้ต้องการมากินอาหารต่างพากันหยิบเลือกข้าวของและคำนวณราคาอยู่เงียบๆ ด้านขวาคือ “โรงอาหารพนักงาน” มีประตูหน้าต่างและกลิ่นหอมลอยออกมา

เพียงไม่นานประตูโรงอาหารก็เปิดออก พนักงานจากชั้น 495 ก็เดินเข้ามากันอย่างเป็นระเบียบไม่ว่าจะเป็นคนที่ถือถ้วยโถโอชามหรือมือเปล่าก็ตาม

ซางเจี้ยนเย่าไม่ได้เอากล่องข้าวมาด้วย พอเข้าไปแล้วก็แยกจากหลงเยว่หงไปทางขวาหยิบชามไม้สองใบกับถาด

จากนั้นก็ถืออุปกรณ์ทานอาหารเดินตามคนที่อยู่ด้านหน้าไปยังเคาน์เตอร์ตามเส้นทางที่กำหนดไว้

“ข้าวอบมันเทศครึ่งจิน”

“กะหล่ำปลีตุ๋นหนึ่งชุด”

“หมั่นโถวธัญพืชสองก้อน”

[หมั่นโถว คือ ซาลาเปาที่ไม่มีไส้]

“มันฝรั่งต้มหนึ่งชุด”

หลังจากเดินผ่านไปสี่เคาน์เตอร์ ชามสองใบของซางเจี้ยนเย่าก็เต็มจนพูนไปด้วยกะหล่ำปลีตุ๋น มันฝรั่งต้ม หมั่นโถวสองใบ ส่วนข้าวอบมันเทศอยู่ในชามอีกใบที่ขอบแหว่ง

เขาต้องใช้จ่ายคะแนนความร่วมมือไป 14 แต้ม, ห้าแต้มจากข้าวอบมันเทศครึ่งจิน สองแต้มจากหมั่นโถวธัญพืช สองแต้มจากมันฝรั่งต้ม และสามแต้มสำหรับกะหล่ำปลีตุ๋นเหยาะน้ำมัน

ในที่สุดซางเจี้ยนเย่าก็มาถึงเคาน์เตอร์ที่มีกลิ่นหอมที่สุด

นี่คือกับข้าวเนื้อสัตว์

เขามองซ้ายไปขวา ขวามาซ้าย ลังเลอึดใจแล้วพูดขึ้น

“ขอหมูตุ๋นน้ำแดงหนึ่งชุด ใส่ซอสชุ่มหน่อยนะครับ”

ที่หน้าต่างเคาน์เตอร์มีคุณน้าในชุดยูนิฟอร์มสีน้ำเงินเทาถือทัพพีแล้วตักเนื้อหมูตุ๋นสีสันดึงดูดใจชิ้นบางๆ สามชิ้น แต่ละชิ้นยาวเท่านิ้วมือ ใส่ลงในชามข้าวอบมันเทศ

น้ำซอสไหลลงไปอย่างรวดเร็ว ชุ่มไปครึ่งชาม

“ดีที่เธอมาเร็วนะ ไม่งั้นก็หมดไปแล้ว” คุณน้าที่เคาน์เตอร์กับซังเจี้ยนเย่านั้นมีบ้านอยู่ใน “เขต” เดียวกัน เธอจึงมีอัธยาศัยไมตรีอันดีต่อเขา “32 แต้ม”

ซางเจี้ยนเย่าเหลือบดูเนื้อหมูตุ๋นน้ำแดงทั้งสามชิ้น หยิบเอาบัตรอิเล็กทรอนิกส์ไปรูดที่เครื่องรูด

เขากล่าวขอบคุณ แล้วหยิบถ้วยซุปที่แจกฟรีถือเดินจากไป พอพบหลงเยว่หงก็นั่งลงตรงข้ามเขา

“โห อู้ฟู่ชะมัด” หลงเยว่หงมองเห็นชามอาหารเขาแล้วร้องอุทานออกมาจากก้นบึ้งของจิตใจ

ซางเจี้ยนเย่าเมินเขา จากนั้นจัดการเขี่ยข้าวอบมันเทศที่ชุ่มซอสไปด้านข้าง แล้วหยิบหมูตุ๋นน้ำแดงขึ้นมากัดคำเล็กๆ

รู้สึกได้ถึงกลิ่นเนื้อที่อบอวลภายในปาก ซางเจี้ยนเย่ารีบก้มหน้าโกยข้าวอบมันเทศส่วนที่ไม่โดนน้ำซอสราดเข้าปาก

เขาเพิ่มความเร็วในการพุ้ยข้าว เมื่อหมูหมดไปสามชิ้นก็เหลือข้าวอบมันเทศเพียงครึ่งเดียวและก็กะหล่ำปลีตุ๋น ส่วนมันฝรั่งต้มและหมั่นโถวธัญพืชนั้นอันตรธานไปเรียบร้อย

สุดท้ายซางเจี้ยนเย่าก็เทกะหล่ำปลีตุ๋นลงไปในชามข้าวอบมันเทศที่ชุ่มซอส จากนั้นก็คลุกให้เข้ากันแล้วยัดเข้าปากในคำเดียว

“อิ่มแปล้” ซางเจี้ยนเย่ากับหลงเยว่หงวางตะเกียบลงพร้อมกัน ร้องออกมา

หลังจากดื่มซุปหมดแล้ว หลงเยว่หงก็ถามสบายๆ

“ไป ‘ศูนย์กิจกรรม’ กันไหม?”

ซางเจี้ยนเย่าสั่นหน้า

“จะกลับไปฟังวิทยุ แล้วรีบเข้านอน”

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด