ตอนที่แล้วตอนที่ 2 : ติดตามอาการ
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 4 : ข่าวลือ

ตอนที่ 3 : ตลาด


เรื่อง : รัตติกาลไม่สิ้นแสง (长夜余火 Embers Ad Infinitum)

ตอนที่ 3 : ตลาด

* * * * * * * * * * * * * * *

หลังจากที่หมอหลินวงกลมเสร็จก็ยกปากกาขึ้นมองดูซางเจี้ยนเย่า หัวเราะแล้วพูดขึ้น

“ฟังเหมือนคำขวัญของ ‘กองทัพกู้โลก’ เลยนะ”

ซางเจี้ยนเย่ารับคำ “ครับ” แล้วพูดอย่างจริงจัง

“คุณหมอหลิน ผมว่าคุณหมอกำลังเข้าใจผิดเกี่ยวกับอาการของผม มองว่าเรื่องปกตินั้นเป็นหลักฐานของอาการป่วย”

หมอหลินยืดตัวตรง รอยยิ้มประดับบนใบหน้าสะอาด

“อะไรคือความเข้าใจผิดที่คุณพูดถึง?”

ซางเจี้ยนเย่าเงียบไปราวสองสามวินาทีราวกับว่ากำลังเรียบเรียงคำพูด

“คุณไม่เข้าใจความรู้สึกอันบริสุทธิ์และสูงส่ง ไม่เข้าใจว่าอะไรคือผู้ที่พ้นแล้วจากการฝักใฝ่ในสิ่งหยาบกร้าน”

หมอหลินเม้มริมฝีปากแน่นและข่มกลั้นความรู้สึกที่อยากหัวเราะออกมา

เธอดันแว่นตากรอบทองเลื่อนขึ้นบนดั้งจมูก สูดหายใจเข้าเบาๆ แล้วค่อยๆ ผ่อนออกมา

“ก็จริง ในยุคนี้ไม่มีที่ยืนสำหรับนักอุดมคติ แม้กระทั่ง ‘กองทัพกู้โลก’ เองก็ยังล่มสลายเลย”

หมอสาวหยุดนิดหนึ่ง แล้วพูดต่อ

“หมอพยายามจะเข้าใจคุณนะ แต่คุณต้องเล่าให้ฟังว่าคุณมีความคิดแบบนี้ได้ยังไง มีอะไรเป็นแรงกระตุ้น?”

“ไม่มีครับ ผมเชื่อของผมแบบนี้” ซางเจี้ยนเย่าถอนใจแล้วยิ้มให้ “คุณหมอหลิน คุณหมอเป็นผู้หญิงที่อ่อนโยนและงดงามที่สุดเท่าที่ผมเคยพบมา ผมมีอะไรจะบอกหมอครับ”

หมอหลินเลิกคิ้วเล็กน้อย

“หมอมี…”

ก่อนที่เธอจะพูดจบประโยค ซางเจี้ยนเย่าก็พูดต่อ

“เดิมทีผมอยากให้คุณหมอเป็นแม่พระ [Spiritual Mother] ของผม แต่ตอนนี้ผมตระหนักแล้วว่าความคิดของเราทั้งคู่ต่างกันคนละโลกอย่างสิ้นเชิง น่าเสียดายจริงๆ”

“แค่ก แค่ก” คุณหมอหลินถึงกับสำลักน้ำลาย

เธอยกแก้วกระเบื้องเคลือบข้างตัวขึ้นมาดื่มสองอึกใหญ่ ไม่รู้จะสรรหาเรื่องอะไรมาพูดต่อดี

“เฮ้อ ใบชาที่ได้รับจัดสรรมาของเดือนนี้หมดซะแล้ว”

โดยไม่รอให้ซางเจี้ยนเย่าพูดต่อ เธอลดเสียงแล้วถามด้วยท่าทีลึกลับ

“ช่วงนี้คุณได้ยินเสียงอะไรที่คนอื่นไม่ได้ยินบ้างไหม?”

ซางเจี้ยนเย่าส่ายหน้ายืนยัน “ไม่มีครับ”

หมอหลินสำรวจทีท่าของซางเจี้ยนเย่าสองสามวินาทีก่อนจะถามเรื่องอื่นต่อ

ผ่านไปสิบนาทีก็มีเสียงไพเราะอ่อนหวานของหญิงสาวดังขึ้นพร้อมกันทุกชั้น

“นี่คือประกาศแจ้งเวลา

“ขณะนี้เป็นเวลา 18 นาฬิกา”

“ประกาศแจ้งเวลาแล้ว” หลังจากเสียงประกาศซ้ำสามครั้งหยุดลง หมอหลินนวดคิ้วแล้วพูดขึ้น “วันนี้พอแค่นี้ก่อนละกัน”

เธอคิดอยู่ชั่วแวบแล้วเอ่ยขึ้น

“ในเมื่อคุณไม่มีปัญหาเรื่องการนอน ไม่ได้เห็นอะไรที่คนอื่นมองไม่เห็น หมอก็ไม่ต้องจ่ายยาให้คุณ ค่อยมาพบหมอเพื่อดูอาการอีกครั้งสัปดาห์หน้านะ”

“ครับ คุณหมอหลิน” ซางเจี้ยนเย่ายืนขึ้นแล้วเดินไปที่ประตู

หลังจากเปิดประตูแล้วเขาก็หันกลับมาพูด

“ขอบคุณนะครับ คุณหมอ”

หมอหลินตอบรับด้วยรอยยิ้ม

“ไม่เป็นไรค่ะ”

ซางเจี้ยนเย่าออกจากห้องและปิดประตูอย่างระวัง หมอหลินระบายลมจากปาก พึมพำกับตัวเองด้วยรอยยิ้ม

“มารยาทดีจริงๆ”

ขณะถอนหายใจก็หยิบแฟ้มบนขึ้นมาพลิกดูบันทึกประวัติคนไข้

“ชื่อ : ซางเจี้ยนเย่า

“อายุ : 21 ปี

“วันเกิด : 8 กันยายน ปฏิทินใหม่ปีที่ 25

“สถานะครอบครัว : บิดาชื่อ ซางซื่ออาน เป็นพนักงานระดับ D7 หายสาบสูญพร้อมกับ ‘ทีมสำรวจเก่า’ เมื่อปฏิทินใหม่ปีที่ 37, มารดาชื่อ จางหรูซิน เป็นพนักงานทั่วไประดับ D3 เป็นครูสอนชั้นประถม เสียชีวิตเมื่อเดือนตุลาคม ปฏิทินใหม่ปี 40 สาเหตุอาการป่วยคาดว่าเป็นเพราะความโศกเศร้าเกินขนาด - เดือนตุลาคม ปฏิทินใหม่ปี 40 ถึงเดือนกันยายน ปี 43 ซางเจี้ยนเย่าเติบโตในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า ชั้น 495 แล้วสอบเข้าศึกษาต่อในมหาวิทยาลัย คณะการไฟฟ้า

“รายละเอียดสถานการณ์ : เดือนพฤษภาคม ปฏิทินใหม่ปี 46 ซางเจี้ยนเย่าสมัครเป็นอาสาสมัครในการทดลองลับ และเข้าร่วมโครงการ ‘C-14’ เหตุผลคือความหวังที่จะมีพลังที่แข็งแกร่งและสืบหาความจริงเบื้องหลังของการหายสาบสูญของบิดา

“ผลการทดลอง : ล้มเหลว ไม่พบความเปลี่ยนแปลงเมื่อเทียบกับกลุ่มควบคุม

“ภาวะแทรกซ้อน : ความสับสนทางตรรกะซึ่งส่งผลให้เกิดภาวะก้าวกระโดดทางความคิด ไม่มีความผิดปกติอย่างอื่น

[น่าจะหมายถึงความคิดหลุดกรอบ ทำให้คนอื่นตามวิธีคิดไม่ค่อยทัน]

“ข้อมูลเพิ่มเติม : ผลทางพันธุกรรมเป็นปกติ

“ผลประเมินโดยรวม : ความผิดปกติทางจิตระดับปานกลาง (คาดว่าเป็นอาการหลงผิด รอสังเกตอาการเพิ่มเติม) …”

หมอหลินอ่านเอกสารอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนบันทึกลงไปว่า

“ผลการติดตามอาการวันที่ 10 กรกฎาคม ปฏิทินใหม่ปี 46 : อาการยังทรงตัว ไม่ดีขึ้นแต่ก็ไม่แย่ลง ไม่มีแนวโน้มการใช้ความรุนแรงหรือสัญญาณความก้าวร้าว พิจารณาได้ว่าไม่เป็นภัยชั่วคราว”

* * * * *

หกโมงเย็นเป็นเวลาเลิกงาน นอกจากโครงการเฉพาะที่ต้องทำงานล่วงเวลาและงานที่ต้องทำตลอด 24 ชั่วโมงแล้ว พนักงานทุกคนจะออกจากพื้นที่ “เขตจัดการ” ชั้น 5, “เขตค้นคว้าวิจัย” ชั้น 6 - 45, “เขตโรงงาน” (และเขตซ่อมบำรุง) ชั้น 46 - 145, “เขตนิเวศน์ภายใน” ชั้น 146 - 345 แล้วกลับไปยัง “เขตพักอาศัย” ชั้น 300

เนื่องจากจำนวนโควต้าพลังงานที่มีให้จำกัด อีกทั้งสามีภรรยารวมไปถึงผู้สูงอายุในบ้านอาจจะยังทำงานอยู่ พนักงานหลายคนจึงเลือกที่จะไปทานอาหารที่ “ตลาดโภคภัณฑ์” ที่มีอยู่ในแต่ละชั้น

สถานที่นี้แบ่งออกเป็นสองส่วน ส่วนแรกนั้นเป็นผลผลิตที่มาจาก “นิเวศน์ภายใน” มีพวก มันเทศ มันฝรั่ง ข้าวสาร แป้ง เนื้อสัตว์ ผัก และผลไม้ กับที่มาจาก “เขตโรงงาน” เป็นผลิตภัณฑ์จำพวกเสื้อผ้า น้ำตาล เกลือ และผลิตภัณฑ์อื่นๆ พื้นที่อีกส่วนหนึ่งจะมีอาหารที่ปรุงสำเร็จแล้วทุกชนิด ซึ่งมักเรียกกันว่า “โรงอาหารพนักงาน”

ค่าใช้จ่ายสำหรับการทานอาหารที่โรงอาหารนั้นสูงกว่าทำกินเองที่บ้าน รสชาติก็ใช่ว่าจะดีเท่าไหร่ แต่ก็ดูจะเป็นตัวเลือกที่ดีกว่าเมื่อคำนึงถึงปริมาณโควต้าพลังงานซึ่งทุกคนค่อนข้างมีอย่างจำกัดจำเขี่ย รวมทั้งความเหนื่อยล้าหลังจากทำงานมาตลอดทั้งวัน

นี่เป็นแนวคิดที่ถูกนำเสนอขึ้นโดยผู้บริหารระดับสูงของบริษัท โดยหวังจะลดปริมาณการใช้พลังงานโดยการบริโภคอาหารแทน

ตอนที่ซางเจี้ยนเย่ากลับไปถึงชั้น 495 ยังคงมีเวลาอีกราว 20 นาทีก่อนที่โรงอาหารจะเปิดในเวลา 18.00 น. เนื่องจากบางงานนั้นจำเป็นต้องให้พนักงานทำความสะอาด ฆ่าเชื้อ หรือจัดการสิ่งจำเป็นอื่นๆ หลังเลิกงาน ดังนั้นเพื่อความยุติธรรม ทางคณะกรรมการบริหารจึงได้กำหนดให้โรงอาหารเปิดหลังจากเลิกงานแล้วครึ่งชั่วโมง

สำหรับพนักงานที่กลับไปยังชั้นของตนก่อนเวลา 18.15 น. “ศูนย์กิจกรรม” ที่อยู่ถัดจาก “ตลาดโภคภัณฑ์” คือสถานที่ที่เหมาะที่สุดที่จะใช้ฆ่าเวลาในช่วงนี้ พวกเขามารวมตัวกันเพื่อพูดคุยสนทนาเรื่องชีวิตประจำวัน การงาน และอีกสารพัดภายใต้แสงไฟ นี่ทำให้พวกเรารู้สึกถึงถึงชีวิตความเป็นอยู่ที่เหนือกว่าการดิ้นรนขวนขวายในโลกภายนอก

พนักงานบางคนใช้เวลานี้เพื่อขายของที่ไม่จำเป็นต้องใช้แล้วเพื่อแลกเปลี่ยนกับคะแนนความร่วมมือ ดังนั้นทุกเย็นในช่วงเวลา 18.00 - 18.30 และ 19.00 - 20.30 น. ห้องโถงของ “ศูนย์กิจกรรม” ก็จะมีแผงลอยวางกันเกลื่อนกลาด

เมื่อซางเจี้ยนเย่าเดินเข้ามาก็เห็นผู้ดูแลศูนย์กิจกรรมชั้นนี้ เฉินเสียนอวี่ กำลังนั่งบนเก้าอี้ตัวเล็กที่คอยส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าด เบื้องหน้ามีกองวัตถุหน้าตาประหลาดวางเรียงราย

“ไอ้นี่คืออะไรครับ?” ซางเจี้ยนเย่านั่งยองลงแล้วหยิบวัตถุโลหะทรงสี่เหลี่ยมที่มีกรอบโลหะและมีหน้าจอแสดงผลสีดำ

“ใครจะไปรู้ล่ะ? มันแข็งดีนะ เอาไว้อัดหน้าคนหรือใช้กันกระสุนก็ยังได้” ปู่เฉินจิ้มหน้าอกตัวเอง

“ได้มาจากไหน?” ซางเจี้ยนเย่าถามขึ้นพลางพลิกสำรวจดู

เฉินเสียนอวี่กระแอมก่อนพูดขึ้น

“จากสหายรบของเจ้าลูกชายคนเล็กน่ะ ตอนนี้เขาทำงานอยู่ ‘แผนกความมั่นคง’ เพิ่งกลับมาจากซากปรักของโลกเก่า เฮ้อ เวลาผ่านไปเร็วนัก ฉันเห็นเขาเกิดมาดูโลก แล้วก็ดูเขาเติบโตขึ้นมา…”

หลังจากรำลึกความหลังอยู่พักหนึ่ง ปู่เฉินก็ยิ้มพลางพูดต่อ

“แต่ก็นะ มันเป็นจอแสดงผล บริษัทไม่ได้ใช้อะไร เขาก็เลยไม่ต้องส่งไป ดังนั้นเขาเลยเอามาฝากให้ปู่คนนี้ช่วยขายให้ เธอก็รู้ว่าฉันไม่จำเป็นต้องไปที่โรงอาหาร มีคนช่วยเก็บไว้ให้อยู่แล้ว”

เขามีพนักงานในความดูแลอยู่หลายคน

ซางเจี้ยนเย่ามองดูหน้าจอสีดำที่มีรอยแตกร้าวเป็นใยแมงมุม คิดซักพักก่อนถามขึ้น

“ราคากี่แต้มความร่วมมือ?”

“ไม่แพง ไม่แพง แค่ 500 แต้ม” เฉินเสียนอวี่เสนอราคาออกมา

ซางเจี้ยนเย่าค่อยๆ วางของลงแล้วพูดพึมพำ

“เนื้อ 10 จิน”

[จิน - หน่วยวัดน้ำหนัก 500 กรัม]

พอพูดคำว่าเนื้อ ทั้งเขาและเฉินเสียนอวี่ต่างก็กลืนน้ำลายพร้อมกัน

ซางเจี้ยนเย่ากวาดตามอง แล้วหยิบของอย่างอื่นขึ้นมา

“นาฬิกาข้อมือเหรอ?”

“ใช่ นาฬิกาข้อมือ ข้างในเป็นโครงสร้างกลไกซับซ้อน ตอนนี้ก็ยังใช้งานได้อยู่ เพียงแต่ว่าต้องปรับแต่งนิดหน่อย” เฉินเสียนอวี่ดวงตาวาบขึ้น “คิดว่าไง? สนใจซื้อไหม? เข็มกับขีดบอกเวลาเป็นพรายน้ำเรืองแสงในเวลามืดด้วยนะ เธอไม่ต้องเปิดไฟฉายเพื่อมาส่องดูเวลา ฉันผู้ชราจะบอกให้นะ ในบริษัทนี้คนที่มีนาฬิกาดีๆ มีไม่เกิน 100 คนหรอก ถ้าเธอมี ก็ไม่จำเป็นต้องรอวิทยุกระจายเสียงเทียบเวลาหรือเดินมาดูนาฬิกาแขวนที่นี่ เธอจะเป็นคนที่น่าอิจฉาสำหรับคนทั้งชั้น ไม่แน่ว่ามีสาวน้อยมาสนใจ…”

นาฬิกาข้อมือในมือซางเจี้ยนเย่า สายนาฬิกาสีเงินมีรอยแตกหลายแห่งและมีสนิมเกาะ บนหน้าปัดสีเขียวมรกต เข็มวินาทีเดินขยับ เศษแก้วแตกอยู่ทั่ว

“เท่าไหร่?” ซางเจี้ยนเย่าถามใจเย็น

เฉินเสียนอวี่นิ่งไปชั่วขณะก่อนเปิดปากตอบ

“หกหมื่น”

ซางเจี้ยนเย่ารีบวางนาฬิกาลงราวกับว่ามันร้อนลวกมือ

ด้วยแต้มเดือนของพนักงานระดับ D1 จำนวน 1,800 คะแนนต่อเดือน ต้องใช้เวลาเกือบสามปีโดยไม่ดื่มไม่กินถึงจะสามารถออมได้

เฉินเสียนอวี่ไม่ได้คิดว่าซางเจี้ยนเย่าจะซื้อหรอก เพียงแค่ล้อชายหนุ่มเล่นเท่านั้น เขาชี้ไปที่กองกระป๋องโลหะทรงกระบอกที่กองอยู่ตรงกลางแล้วพูด

“สนใจนี่ไหม?

“ของดีนะ อาหารกระป๋องทหาร!”

ซางเจี้ยนเย่าหยิบขึ้นมาดู ห่อพลาสติกนั้นขาดหมดแล้ว ป้ายฉลากก็เบลอจนอ่านไม่ออก เห็นเพียงคำว่า “เนื้อวัวตุ๋น” กับ “500 กรัม” ที่ยังพอดูรู้เรื่อง

“ว่าไง? หนักดีไหม? แปลว่าของดีใช่ไหมล่ะ” เฉินเสียนอวี่พูดน้ำลายกระเด็น “ปู่คนนี้บอกเลยนะ อาหารกระป๋องทหารนี่โคตรอร่อยสุดๆ อร่อยจนทำเอาฉันลืมไม่ลงไปตลอดชีวิต ดีกว่าอาหารแห้งกระป๋องของกองทัพกู้โลกตั้งเยอะ!

“นี่ถ้าไม่ใช่เพราะว่าสหายรบของเจ้าลูกชายขุดออกมาได้เป็นลังล่ะก็ เธอคงไม่มีโอกาสได้กินหรอก ราคาแค่กระป๋องละ 60 แต้ม ถูกมากใช่ไหมล่ะ? ต่อให้ไปซื้อเนื้อหมูสดที่ ‘ตลาดโภคภัณฑ์’ ราคายังตั้ง 50 แต้ม แล้วก็ยังไม่ได้ปรุงมา ถ้าไม่มีใครช่วยทำให้เธอกิน ซื้อไปก็กินไม่ได้! ยังมีอีก อะแฮ่ม กินหมดแล้วกระป๋องยังเอาไปขายแลกแต้มที่ ‘ตลาดโภคภัณฑ์’ ได้อีกด้วย คุ้มค่าไหมล่ะ?”

ซางเจี้ยนเย่ามองชายสูงวัย รอเขาพูดจบก็ถามขึ้น

“หมดอายุไปนานแค่ไหนแล้ว?”

“หมดอายุ? ฉันจะไปรู้ได้ยังไง? ฉันไม่รู้วิธีแปลงปีปฏิทินของโลกเก่าซักหน่อย” ผู้เฒ่าเฉินลืมตาโพลง “ยังไงก็ตาม ปฏิทินใหม่ก็เพิ่งแค่ 46 ปีเอง กินได้อยู่แล้วแหละ”

ขณะพูด เขาก็ย้อนรำลึกความหลัง

“ตอนที่ฉันยังอยู่ ‘แผนกความมั่นคง’ มีครั้งหนึ่งออกไปปฏิบัติภารกิจแล้วเสียเสบียงไป เกือบอดตาย แต่โชคยังดีที่ไปเจอโกดังทหารเข้าแล้วก็เจออาหารกระป๋องอะไรแบบนี้ ในตอนนั้นใครจะไปรู้ว่ามันหมดอายุไปนานกี่มากน้อยแล้ว แต่ฉันก็ยังกินเข้าไป รสชาติมันช่างยอดเยี่ยมยิ่งนัก”


[หมายเหตุ]

กองทัพกู้โลก ต้นฉบับใช้คำว่า 救世军 (แปลตามตัวอักษรว่ากองทัพช่วยโลก) ซึ่งเป็นองค์กรที่มีอยู่จริง ชื่อว่า ‘The Salvation Army’ (เดอะซาลเวชันอาร์มี - คริสตจักรแห่งการช่วยชีวิต) เป็นโบสถ์นิกายคริสเตียนและองค์กรการกุศลระหว่างประเทศ แต่ดูจากเนื้อหาในนิยายแล้วไม่น่าจะหมายถึง ‘เดอะซาลเวชันอาร์มี’ ที่มีอยู่จริง เลยใช้คำว่ากองทัพกู้โลกแทน

จิน (斤) เป็นหน่วยวัดน้ำหนักในสมัยเก่า น้ำหนักนั้นแตกต่างกันไปในแต่ละประเทศ ประเทศจีน คือ 500 กรัม ไต้หวัน คือ 600 กรัม ส่วนฮ่องกง มาเลเซีย สิงคโปร์ ประมาณ 604 กรัม

อาหารกระป๋องทหาร (MRE : Meal, Ready-to-Eat) หลายที่ใช้คำว่า ‘อาหารสนาม’ เป็นอาหารสำเร็จรูปบรรจุกระป๋องสำหรับทหาร หรือคณะเดินทาง

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด