ตอนที่แล้วตอนที่ 9 : งาน
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไป~~~[จากผู้เขียน] บทสรุปองก์ที่หนึ่งและหยุดพัก~~~

ตอนที่ 10 : ผู้ถูกเลือก


เรื่อง : รัตติกาลไม่สิ้นแสง (长夜余火 Embers Ad Infinitum)

ตอนที่ 10 : ผู้ถูกเลือก

* * * * * * * * * * * * * * *

หลงเยว่หงคิดว่าซางเจี้ยนเย่าจะพูดปลอบใจเขาซักสองสามคำ แต่กลายเป็นว่าอีกฝ่ายเดินดุ่มๆ ไม่พูดอะไรซักคำ

เขาอ้าปากจะพูดซ้ำ แต่สุดท้ายก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา ทำเพียงถอนหายใจเงียบๆ

หลังจากเดินอย่างเงียบเชียบไปพักหนึ่ง พวกเขาก็มาถึงบริเวณลิฟต์ตัวที่ 4 ที่หัวมุมเขต C

ในระหว่างที่รอลิฟต์มา หลงเยว่หงรู้สึกว่าเวลาผ่านไปช้ามาก เป็นทุกวินาทีอันสุดแสนทรมาน หายใจอึดอัด

ในที่สุดประตูลิฟต์ทางซ้ายมือก็เปิดออก

เมื่อเข้าไปแล้วซางเจี้ยนเย่าก็รูดบัตรอิเล็กทรอนิกส์แล้วกดที่ปุ่ม ‘647’

ประตูเลื่อนปิด ลิฟต์เริ่มเคลื่อนตัวขึ้นด้านบน

ขณะที่มองดูการเปลี่ยนแปลงของหมายเลขชั้น ซางเจี้ยนเย่าก็พูดด้วยเสียงทุ้ม

“แต่ละคนล้วนมีภาระหน้าที่ของตน”

หลงเยว่หงมึนไปสองวินาทีแล้วยิ้มอย่างขื่นขม

“ฉันแค่อยากอยู่ในบริษัท หาภรรยา มีลูกที่น่ารักซักสองคน ชายคนหญิงคน ดิ้นรนขวนขวายให้เขาได้กินเนื้ออาทิตย์ละสามครั้ง…”

เสียงเขาอ่อนลงทุกขณะราวกับตระหนักว่าตนคงไม่อาจไปถึงเป้าหมายนี้ได้

ซางเจี้ยนเย่าไม่ได้พูดอะไรอีก หลงเยว่หงเองก็ไม่รู้จะพูดอะไรเช่นกัน ทั้งคู่ล้วนยืนนิ่งปิดปากเงียบ ทำให้เวลาในลิฟต์เหมือนจะหยุดอยู่กับที่

หลังจากผ่านไปไม่รู้ว่านานแค่ไหน ลิฟต์ก็หยุดลงที่ชั้น 647

ในตอนที่หลงเยว่หลงเดินออกมา เขาก้มหน้าแล้วถามขึ้น

“ซางเจี้ยนเย่า นายคิดอะไรอยู่? ฉันกำลังคิดว่าดีแค่ไหนแล้วที่มีน้องชายน้องสาว”

“กำลังงงกับทางอยู่” ซางเจี้ยนเย่าจ้องมองไปเบื้องหน้า

“…นายนี่คิดบวกจริงๆ” หลงเยว่หงอดทอดถอนใจไม่ได้

“ฉันยื่นใบสมัครเข้ามาทำงานที่นี่เอง” ซางเจี้ยนเย่ามองไปด้านขวาเพื่อตรวจดูหมายเลข

“…” หลงเยว่หงหมดคำพูด เลยตั้งต้นมองหาห้องหมายเลข 14

ชั้นที่ 647 ไม่เหมือนกับชั้น 495 มันไม่ได้แบ่งเป็นถนนหลายเส้น แต่ละห้องก็ไม่ได้กั้นด้วยถนนที่กว้างสองสามเมตร

ที่นี่อยู่ใจกลางซึ่งรายรอบไปด้วย “สนามฝึกซ้อม” และถูกห้อมล้อมไปด้วยห้องต่างๆ ที่มีขนาดใหญ่อีกชั้น

เพียงไม่นานซางเจี้ยนเย่าและหลงเยว่หงก็มาถึงด้านนอกของห้องหมายเลข 14

ไม่มีป้ายชื่อติดบนประตู ดังนั้นทั้งคู่จึงเดาไม่ถูกว่าห้องไหนกันแน่ที่เป็นของหน่วยในแผนกความมั่นคง

หลงเยว่หงอ้าปากสูดหายใจลึกเพื่อปรับความคิดและเผชิญกับชะตากรรม

ในตอนนั้นเอง ซางเจี้ยนเย่าไม่รีรออะไรอีก เขางอนิ้วแล้วเคาะประตู

ก๊อก ก๊อก ก๊อก

เสียงที่ดังขึ้นกระทันหันนี้ขัดจังหวะการสูดหายใจของหลงเยว่หง เขากำลังจะบ่นซางเจี้ยนเย่า ก็พลันมีเสียงแหบเล็กน้อยของหญิงสาวดังออกมาจากข้างใน

“เชิญเข้ามาได้”

ซางเจี้ยนเย่าบิดด้ามจับแล้วดันประตูเปิด

ห้องหลังนี้ใหญ่กว่าบ้านเขาอย่างน้อยก็สามเท่า ด้านในสุดของห้องมีโต๊ะทำงานที่ทาสีน้ำตาลและแดง ชั้นหนังสือขนาดใหญ่สองชั้น

ผนังด้านซ้ายมีโต๊ะสีดำสามตัว ดูค่อนข้างเก่า

กลางห้องและซีกขวาทำหน้าที่เป็น “ห้องนั่งเล่น” มีชุดโซฟาผ้า โต๊ะกาแฟ เก้าอี้สี่ตัวมีพนักเอนด้านหลังได้ ม้านั่งสองตัว และตั่งเตี้ยอีกสี่ตัว

แล้วตอนนั้นหญิงสาวที่กำลังนั่งบนโซฟาก็ลุกขึ้นยืนแล้วมองมาทางประตู

เธออายุยี่สิบปี สูงเกือบ 180 เซนติเมตร สัดส่วนร่างกายตั้งแต่หัวจรดเท้าล้วนสมส่วน สีผิวขาวราวข้าวสาลี ผมดำสลวยมัดเป็นหางม้าไว้ที่ท้ายทอย

ดูแล้วต่างไปจากหญิงสาวทั่วไปใน “เขตที่พักอาศัย” เธอสวมเครื่องแบบของ “แผนกความมั่นคง” ซึ่งเป็นสีเทาลายพราง ทำให้ดูองอาจ

รูปร่างหน้าตาเธอนั้นเข้ากันได้ดีกับการแต่งกายลักษณะนี้ คิ้วหนาตาโต มีรังสีของผู้กล้าแผ่ออกมา

“พวกนายเป็นสมาชิกใหม่ของทีมเหรอ?” หญิงสาวยิ้มสดใส แต่เสียงพูดนั้นออกจะดังไปสักหน่อย

“ใช่ ใช่ครับ” หลงเยว่หงรู้สึกประหม่าเล็กน้อยเมื่อเผชิญกับหญิงสาวที่งามระดับน่าตื่นตา

หญิงสาวขมวดคิ้วเล็กน้อยแล้วพูด

“พูดดังหน่อย”

น้ำเสียงที่ดังชัดเจนอย่างไม่อาจบรรยายได้ แสดงว่าเธอไม่ใช่คนที่พูดว่า “เชิญเข้ามาได้” เมื่อก่อนหน้า

หลงเยว่หงผงะ คิดว่าตัวเองไปทำให้เจ้านายขุ่นเคืองตั้งแต่ตอนไหน

ซางเจี้ยนเย่าก้าวเดินออกไปข้างหน้า แล้วพูดด้วยเสียงอันดัง

“ใช่ครับ!”

เสียงของเขาดังก้องไปทั่วห้อง และดังออกไปถึงทางเดินข้างนอก

หญิงสาวยิ้มอีกครั้งแล้วชี้ที่หูตัวเอง

“ไม่ต้องดังขนาดนั้นหรอก ฉันแค่ฟังไม่ค่อยชัด ไม่ได้หูหนวกซักหน่อย”

หลงเยว่หงมองตามนิ้วเธอ แล้วก็เห็นวัตถุโลหะสีเงินอยู่ในหูของเธอ

“เครื่องช่วยฟังน่ะ” หญิงสาวคนนั้นพูดเรียบๆ

เธอหุบยิ้มลงแล้วพูดด้วยน้ำเสียงที่ดังกว่าปกติ

“แนะนำตัวก่อนนะ ฉันคือหัวหน้าทีมของพวกนาย เจี่ยงไป๋เหมียน”

“ถึงจะบอกว่าเป็นหัวหน้าทีม แต่ฉันยังไม่ใช่ระดับ D7 ตอนนี้เพิ่งแค่ D6”

“ครับผม หัวหน้า” หลงเยว่หงตอบด้วยเสียงอันดัง

“สวัสดีครับหัวหน้า!” ซางเจี้ยนเย่ารู้สึกยินดีมาก

เจี่ยงไป๋เหมียนชี้ไปที่โซฟา

“เธอเป็นสมาชิกอีกคนของทีม ชื่อไป๋เฉิน”

ไป๋เฉินสูงเพียง 160 เซนติเมตร เธอก็สวมชุดลายพรางเช่นกันแต่เห็นได้ชัดว่าตัวเล็กกว่าเจี่ยงไป๋เหมียนมาก

เธอพันผ้าพันคอเก่าๆ สีเทาไว้รอบคอ ผมสีดำปิดใบหู ใบหน้ายังพอจัดได้ว่างดงาม ผิวค่อนข้างหยาบกร้านลมแดด

สีตาที่ต่างไปจากสีน้ำตาลเข้มของเจี่ยงไป๋เหมียน เธอมีดวงตาสีน้ำตาลออกไปทางเหลือง

“สวัสดี” ไป๋เฉินทักทายด้วยเสียงแหบเล็กน้อย

“สวัสดี” หลงเยว่หงยังรู้สึกระแวดระวังอยู่บ้าง

“สวัสดี!” เสียงของซางเจี้ยนเย่ายังคงค่อนข้างดัง

เจี่ยงไป๋เหมียนชี้โต๊ะกาแฟพูดเสียงดัง “หาที่นั่งตามสะดวก อ้อ ใช่ แนะนำตัวก่อนด้วย”

“ซางเจี้ยนเย่าครับ!” เจี่ยงไป๋เหมียนเพิ่งพูดขาดคำ ซางเจี้ยนเย่าก็ตะโกนชื่อตัวเองออกมา จากนั้นก็ค่อยๆ ปิดประตูแล้วเดินมานั่งที่เก้าอี้ มือหนึ่งถือกล่องอาหาร

“ผมชื่อหลงเยว่หง พ่อแซ่หลง ชื่อแม่มีคำว่าหง ครับ” หลงเยว่หงอธิบายที่มาของชื่อออกมาอย่างไม่รู้ตัว จากนั้นก็เดินไปนั่งเก้าอี้ตัวถัดจากซางเจี้ยนเย่า

เจี่ยงไป๋เหมียนนั่งลงแล้วมองไปรอบๆ ก่อนพูดด้วยรอยยิ้ม

“ในเมื่อมากันครบทุกคนแล้ว งั้นฉันก็จะอธิบายสถานการณ์ของทีมเราให้ฟังแบบคร่าวๆ ล่ะนะ”

“มาครบแล้ว?” หลงเยว่หงโพล่งออกมา

มีแค่สี่คน?

ในหนึ่งทีมของ “แผนกความมั่นคง” ไม่ใช่ว่าต้องมีอย่างน้อย 20 คนหรอกเหรอ?

เจี่ยงไป๋เหมียนอึ้งไป

“นายว่าอะไรนะ?”

“เขาบอกว่ามีคนน้อยไปครับ!” ซางเจี้ยนเย่าช่วยอธิบายความหมาย

เจี่ยงไป๋เหมียนเลิกคิ้วเล็กน้อยแล้วพูดด้วยรอยยิ้ม

“พวกเราไม่ใช่หน่วยรบ”

ไม่ใช่หน่วยรบ? หลงเยว่หงรู้สึกใจพองโต

เจี่ยงไป๋เหมียนเหลือบมองซางเจี้ยนเย่าแล้วพูดต่อ

“ชื่อเต็มของทีมเราก็คือ ‘ทีมสำรวจสาเหตุการล่มสลายของโลกเก่า’ หรือเรียกสั้นๆ ว่า ‘ทีมสำรวจเก่า’

“แต่พวกเราไม่ได้เป็นทีมสำรวจเก่าแค่เพียงทีมเดียว ไม่ว่าจะเป็นแผนกความมั่นคงหรือคณะกรรมการ ยังมีทีมสำรวจเก่าทีมอื่นอีก เพียงแต่ว่าต่างก็ไม่ทราบข้อมูลซึ่งกันและกัน

“จำไว้ให้ดี! นี่คือประเด็น มาตรการรักษาความลับ!

“อ้อ แล้วก็ไม่ต้องกังวลว่าจะไปสำรวจซ้ำกันหรือเปล่า แม้ว่าเราจะไม่รู้จักทีมสำรวจเก่าทีมอื่นและไม่รู้ความคืบหน้าของพวกเขา แต่เบื้องบนจะแจ้งเบาะแสล่าสุดและมีค่ามากสุดให้เรารู้”

มาถึงจุดนี้เจี่ยงไป๋เหมียนก็หยุด สีหน้าเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมจริงจัง

“เมื่อเทียบกับหน่วยรบทั่วไปแล้ว ‘ทีมสำรวจสาเหตุการล่มสลายของโลกเก่า’ อาจต้องเผชิญอันตรายยิ่งกว่า

“ทำไมในภารกิจเดียวกันถึงต้องแบ่งเป็นทีมย่อยหลายๆ ทีม? นั่นเป็นเพราะว่าในอดีตที่ผ่านมาทีมสำรวจเก่ามีเพียงแค่ทีมเดียวแต่มีจำนวนสมาชิกหลายคน แล้วในระหว่างการสำรวจครั้งหนึ่ง พวกเขาทั้งหมดกลับสูญหายไปอย่างไร้ร่องรอย ไม่มีใครรอดกลับมา ครั้งนั้นเป็นความสูญเสียอย่างใหญ่หลวงจนยากที่จะหาสิ่งใดมาทดแทนได้”

เมื่อได้ฟังแบบนั้น ใบหน้าหลงเยว่หงก็ซีดเผือด

“นี่ นี่มันอันตรายสุดๆ…”

“ว่าไงนะ?” เจี่ยงไป๋เหมียนเห็นเพียงแค่ปากหลงเยว่หงอ้าๆ หุบๆ แต่แทบจะไม่ได้ยินเสียงอะไร

หลงเยว่หงมองซางเจี้ยนเย่าโดยไม่รู้ตัว เห็นเขามีสีหน้าเคร่งเครียด ซางเจี้ยนเย่ายังนิ่งเงียบไม่ได้คิดจะอธิบายแทนเขา

หลงเยว่หงสูดหายใจลึกแล้วพูดเสียงดัง

“นี่มันอันตรายสุดๆ ครับ”

หลังจากตะโกนออกมาแล้วเขาก็พบว่าอารมณ์ตัวเองผ่อนคลายขึ้นมาก

เจี่ยงไป๋เหมียนผงกศีรษะ

“ทีมสำรวจเก่าอาจจะต้องลุยลึกเข้าไปในแดนร้างเพื่อสำรวจซากเมือง หรืออาจต้องมุ่งหน้าไปยังอาณาเขตของกองกำลังอื่นเพื่อหาเบาะแส อาจต้องประสบกับสถานการณ์สารพัดรูปแบบ หรือเผชิญหน้ากับศัตรูหลากหลาย

“หรือจะพูดตรงๆ ก็คือแม้แต่พนักงานระดับอาวุโสเองก็ยังไม่อยากเข้าร่วมทีมสำรวจเก่าเลย

ใบหน้าหลงเยว่หงซีดยิ่งกว่าเดิม

“ทำไมพวกเราซวยแบบนี้?”

หลังจากพึมพำกับตัวเองแล้วก็ตะโกนขึ้น

“ทำไมพวกเราซวยแบบนี้?”

เจี่ยงไป๋เหมียนเหลียวซ้ายแลขวาอย่างงงๆ

“ฉันไม่ได้ซวยซักหน่อย ฉันไม่ได้ถูกจัดสรรบรรจุมาที่นี่ ทีมสำรวจเก่าของพวกเรานั้นถูกจัดตั้งขึ้นมาเพราะฉันยื่นความประสงค์ไป”

เธอยิ้มและกล่าวเสริม

“ฉันเชื่อมั่นมาตลอดว่าเราจำเป็นต้องค้นหาสาเหตุการล่มสลายของโลกเก่าให้ได้ มีทางนี้เท่านั้นที่จะทำให้เราหลีกเลี่ยงไม่กระทำสิ่งผิดซ้ำเดิม เป็นเพียงทางเดียวที่เราจะหาสาเหตุต้นตอของโรคไร้ใจและปลดปล่อยความกลัวนี้ให้ออกไปจากมนุษย์

“นอกจากนั้นแล้วพวกนายก็น่าจะเคยได้ยินข่าวลือว่ามีประตูสู่โลกใหม่ซ่อนอยู่ลึกลงไปในซากเมืองที่ไหนซักแห่งบนแดนธุลี ถ้าเราไม่ไปสำรวจ เราก็คงไม่มีวันเข้าไปสู่โลกใหม่ได้ พวกเราต้องอยู่กับความอดอยาก การติดเชื้อ การกลายพันธุ์ และสัตว์ร้ายทั้งหลาย

“นี่คือความฝันของฉัน ดังนั้นฉันจึงยื่นความประสงค์ให้กับผู้บริหารระดับสูงของแผนกความมั่นคง ว่าอยากจัดตั้งทีมสืบสวนเก่าทีมใหม่

“เหอ เหอ ฉันเองก็ชอบขุดคุ้ยประวัติศาสตร์จากซากเมือง ชอบสำรวจสภาพสังคมของกองกำลังอื่น และมีปฏิสัมพันธ์กับผู้คนและสิ่งอื่นที่มีแตกต่างกันออกไป

ไป๋เฉินที่นั่งเงียบอยู่บนโซฟา จู่ๆ ก็พูดขึ้น

“ฉันเคยได้ยินคนพูดถึงคุณว่าคุณเป็น ‘นักสังคมวิทยา’ และเทพธิดาของเขา”

เจี่ยงไป๋เหมียนหัวเราะคิกคัก

“เอ๊ะ ว่าไงนะ? ประโยคสุดท้ายได้ยินไม่ถนัด ช่างมันเถอะ เล่าเรื่องของเธอดีกว่า”

ไป๋เฉินมองดูซางเจี้ยนเย่าและหลงเยว่หง แล้วเล่าด้วยเสียงที่แหบเล็กน้อย

“ฉันสมัครมาน่ะ ก็อย่างที่พวกคุณเห็นนั่นแหละ ฉันไม่ได้เป็นสมาชิกของบริษัท ฉันเคยเป็นคนเร่ร่อนในแดนร้าง จากนั้นก็ถูกบริษัทดูดซับมา

“ในตอนนี้ฉันยังไม่มีคุณสมบัติเพียงพอที่จะได้เป็นพนักงานอย่างเป็นทางการ ทีมสำรวจเก่าสามารถช่วยให้ฉันไปถึงเป้าหมายได้เร็วที่สุด และยกระดับให้ฉันเป็นพนักงานได้โดยเร็ว เมื่อถึงตอนนั้นฉันก็จะมีสิทธิยื่นขอปรับปรุงพันธุกรรมได้”

เจี่ยงไป๋เหมียนเอียงศีรษะราวกับว่าเธอได้ยินไป๋เฉินไม่ชัด

เธอยิ้มแล้วถามขึ้น

“นี่เธอนินทาฉันอยู่หรือเปล่าเนี่ย?

“ฮ่า ฮ่า เราต้องออกไปทำภารกิจในแดนร้างบ่อยๆ เลยจำเป็นต้องมีคนนำทางที่คุ้นเคยกับสถานที่และมีปฏิสัมพันธ์กับกองกำลังและนิคมอื่นๆ อย่าเห็นว่าเธอยังอายุน้อยนะ ประสบการณ์ของเธอมีไม่น้อยเลยล่ะ”

พูดจบ เจี่ยงไป๋เหมียนก็มองซางเจี้ยนเย่า

“ฉันอ่านประวัตินายแล้ว ก็พอจะเดาได้อยู่ว่าทำไมนายถึงสมัครเข้าทีมสำรวจเก่า

“นอกจากเรื่องนี้แล้ว ยังมีเหตุผลอื่นอีกไหม?”

“เพื่อช่วยมนุษยชาติครับ!” ซางเจี้ยนเย่าตอบเสียงดังฟังชัด

เจี่ยงไป๋เหมียนอึ้งไปชั่วขณะก่อนแตะที่หูตัวเอง

“เอ่อ… ว่าไงนะ?

“ฮ่า ฮ่า ไม่ต้องพูดซ้ำแล้ว หลงเยว่หง ทำไมนายถึงมาเข้าร่วมล่ะ?”

“ผมถูกบรรจุมาครับ… ผมเพิ่งจบการศึกษาปีนี้ และก็ยังโสด…” หลงเยว่หงพูดปนสะอื้น

หลังจากนั้นก็พลันมีปฏิกิริยา จึงพูดซ้ำอีกครั้งด้วยเสียงดัง

เจี่ยงไป๋เหมียนกะพริบตา

“คนตั้งเยอะแยะนั่น นายคือคนๆ นั้น คนเพียงคนเดียวที่ไม่ได้ถูกเลือกจับคู่งั้นสินะ?

“จากจำนวนคนที่เรียนจบทั้งหมด นายก็ยังเป็นคนเดียวที่ถูกบรรจุมาอยู่แผนกความมั่นคง แถมยังเข้ามาอยู่ในทีมสำรวจเก่าอีกด้วย”

หลงเยว่หงผงกศีรษะอย่างหนักแน่น

เจี่ยงไป๋เหมียนครุ่นคิดชั่วขณะ แล้วยิ้มอย่างอ่อนโยน

“คนอย่างนายนี่ โดยปกติเราจะเรียกว่า… ผู้ถูกเลือก”


[หมายเหตุ]

ทีมสำรวจเก่า ตอนแรกตั้งใจใช้ชื่อว่า ‘ทีมเก็บกู้’ แต่มันไม่เข้ากับชื่อเต็ม ชื่อในภาษาจีนคือ 旧世界毁灭原因调查小组 แล้วย่อเป็น 旧调小组

ผู้ถูกเลือก ภาษาจีนคือคำว่า 天选之子 แปลว่าผู้ที่ถูกสวรรค์คัดเลือก

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด