ตอนที่แล้วตอนที่ 17 สุดขอบพรมแดน (ฺBeyond Frontier)
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่19 ยุทธการที่ยูทิก้า (Battle of Utica) (2)

ตอนที่ 18 ยุทธการที่ยูทิก้า (Battle of Utica) (1)


ยุทธการที่ยูทิก้า

Battle of Utica (1)

จากความมืดอันหนาวเหน็บสู่แสงแดดที่สาดส่องอันอบอุ่น บัดนี้เวลายามเช้าได้มาถึงแล้ว เสียงนกที่ถูกขับร้องออกมาเป็นดังบทเพลงที่ธรรมชาติได้สร้างสรรค์ขึ้น สัตว์เล็กสัตว์น้อยออกหากิน ทุกอย่างช่างสวยงาม แต่ถึงยังนั้นภาพเหล่านี้อาจจะไม่ได้เห็นมันอีกแล้ว พื้นดินสั่นสะเทือนเสมือนแผ่นดินกำลังจะแยกออกจากกัน แม้ต้นไม่จะไม่ค่อยมีใบไม้เหลือยังต้องร่วงลงมาหมดตน แสดงให้เห็นว่ามีบ้างอย่างที่ผิดปกติเกิดขึ้นจนสามารถรับรู้ได้ทันที ไม่นานนักเหล่าสัตว์ป่าจึงได้รีบหนีด้วยความกลัว มันไม่ได้มีแค่พื้นดินที่สะเทือนแต่มันมาพร้อมกับเสียงโห่ร้องเหมือนสัตว์ร้าย และดูเหมือนพวกมันไม่ได้มาแค่ตัวเดียว

ไม่นานนักสิ่งที่ทำให้เกิดเสียงเหล่านี้ ก็วิ่งออกมาจากดงป่าไม้ โผล่ให้เห็น สิ่งมีชีวิตเลี้ยงลูกด้วยนมตระกูลเสือ แต่มันกลับมีขนาดที่ใหญ่กว่ามากโข แต่ที่ตกใจยิ่งกว่าคือการที่พวกมันเป็นเพียงพาหนะขับขี่ แต่ก็เป็นไปได้ว่าพาหนะเหล่านี้อาจจะทำให้ผู้เจอต้องพบกับนรกทั้งเป็นแน่ ๆ

ตรงหน้าของพวกเขาคือชุมชนขนาดกลาง แม้จะห่างไกลแต่ก็สามารถเห็นได้อย่างชัดเจน แม้ว่าเสียงโห่ร้องของพวกตนจะดังมากเสียจนฝั่งชุมชนอาจจะได้ยินแล้วก็ได้ ถึงอย่างนั้นพวกเขาก็หาได้กลัวไม่

ชายผู้รวบรวมชนเผ่าต่างๆในแถบรอบนอกได้ขี่เสือที่มีสีขาวที่โดดเด่น แม้ว่าร่างกายองเจ้าเสือยักษ์ตัวนี้จะเต็มไปด้วยลาดแผลแต่ก็ยังคงความน่าเกรงขามเอาไว้อยู่ แต่ที่หน้าแปลกใจคือชายผู้เป็นหัวหน้าเผ่านักรบซูและผู้นำพันธมิตรชนพื้นเมืองนั้นมีหน้าตาที่อ่อนเยาว์อย่างมาก ในตาสีเขียวเข้ม ร่างกายกำยำนั้นมีรอยแผลเป็นเต็มตัว สวมหมวกที่ทำด้วยขนนกอินทรี ผมสีดำถูกปล่อยยาว สวมเสื้อที่มีครุยบริเวณหน้าอกชายเสื้อตามชายกางเกง ซึ่งถือว่าปกปิดได้เยอะกว่าชนเผ่ากลุ่มอื่นที่มีเครื่องนุ่งห่มปกปิดเพียงเล็กน้อย สายตาของเขาดูเหมือนพญา อินทรี ที่จ้องมองไปยังเยื่อของตน

ชายผู้นี้มีนามเรียกขาน

 วาคทาเกลิ (นักรบที่กล้าหาญ) แห่งซู  นาคา ยาทาพิคคา

   เป็นผู้นำเผ่าซูที่อายุน้อยที่สุดและยังเป็นนักรบที่น่าเกร่งกลัว เป็นที่ยอมรับจากต่อนักรบจากเผ่าอื่น เขาไล่ปราบเผ่าน้อยใหญ่มากมายมานานนับปี ความแข็งแกร่งนั้นไม่อาจที่จะดูถูกได้ ไม่นานนัก นาคา ยาทาพิคคา ได้เปล่งเสียงสิงหนาทอันเป็นวิธีการออกคำสั่งหรือการสนทนา พร้อมกับเสียงตอบรับจากสองฝั่งด้านซ้าย และ ด้านขวาของตัวเขา กลุ่มนักรบที่แต่งกายคนแบบค่อยๆทยอยเดินออกมา ด้านซ้ายของพวกเขาคือเผ่าเล็กๆที่ถูกขับไล่ออกจากบริเวณชายทะเลที่ตั้งของอาณานิคมลีโอเนีย พวกเขาถูกบังคับขับไล่ออกจากถิ่นที่อยู่เดิมของพวกเขาหลายชั่วอายุคน และ ด้านขวายังมีเผ่าขนาดกลางอย่าง วาคาน ผู้ใช้ชีวิตนทุ่งหญ้าในตักวันตกเฉียงเหนืออันห่างไกลที่เข้าร่วมอีกนับร้อย เผ่าวาคานนั้นเป็นนักรบบนหลังม้าอย่างแท้จริงพวกเขาใช้ชีวิตคู่กับธรรมชาติแห่งจิตวิญญาณแห่งลม มีคนเคยกล่าวไว้ว่าพวกเขาเคลื่อนที่รวดเร็วว่องไวกว่าเหล่านักเวทที่เร็วที่สุด

ไม่นานนักอีกเผ่าก็เข้ารวมศึกนี้ด้วย เผ่านั้นคือลูกหลานพาวนี่ การที่สูญเสียที่มากมาย ตอนลอบโจมตีนั้นสร้างความแค้นให้พวกเขาอย่างมาก เพราะว่านอกจากที่จะไม่สามารถทำความเสียหายได้มากแล้ว พวกเขายังต้องสังเวยชีวิตพี่น้องไปมากโข

อย่างไรก็ตามพวกเขาไม่ได้เดินทัพเข้าตีในทันทีแต่ตอนนี้กำลังจะถึงช่วงสำคัญของพวกเขาอย่างมาก นั้นคือการทำพิธีก่อนศึก ในความเชื่อของพวกเขา เหล่าหญิงชราของแต่ละเผ่าได้เดินมาข้างหน้าพร้อมถ้วยไม้ พวกนางเป็นหมอผี ผู้ติดต่อวิญญาณธรรมชาติ ประจำเผ่า แม้จะคนละเผ่าแต่พิธีการนั้นไม่ได้ต่างกันมาก ข้างในถ้วยไม้นั้นเป็นสีที่ทำจากบ้างสิ่ง เหล่านักรบคนสำคัญจะเป็นกลุ่มแรกที่ถูกทำพิธี เหล่าหมอผีค่อยๆนำมือจุ่มลงในถ้วยก่อนที่จะท่องบทไม่สามารถเข้าใจได้ ตามภาษาและวัฒนธรรมของตนเอง ก่อนจะมาลูบตามใบหน้าและลำตัว เนื่องจากการทำพิธีคอว์ไลก้านั้นควรจะทำตอนกลางคืน แต่พวกเขาไม่มีเวลามากขนาดนั้นจึงมีพิธีเพียงเล็กน้อยอย่างเรียบง่าย

เหมือนธรรมชาติเป็นใจสายลมที่ถูกพัดผ่านใบหน้าของนักรบเหล่านี้พวกเขารูสึกได้ถึงความอบอุ่น เสมือนถูกใครบ้างคนโอบล้อมเอาไว้ เสียงกลองไม้และอูดูดังขึ้นเป็นเสียงที่มาพร้อมความรู้สึกร่วม มันถูกปลุกขึ้นด้วยเสียงเพลงที่ดังเป็นจังหวะ ก่อนที่พวกเขาจะโห่ร้องอีกครั้งและชูอาวุธขึ้นเหนือศีรษะ พร้อมทำศึกอย่างมีเกียรติ

นาคา จับจ้องไปยังชุมชนและป้อมไม้ข้างหน้าที่ห่างไกลอย่างมาก ไกลเสียคนปกติยากที่มองเห็น ใบหน้ายังคงนิ่งเฉย สายตายังคงแน่วแน่ นี้จะเป็นศึกใหญ่ของพวกเขา แต่เขาหาได้กังวลไม่ ไม่นานนักเขาก็สั่งเดินทัพทันที กองกำลังพันธมิตรชาวเผ่าต่างๆ พากันเดินทัพประชิดตัวเมืองทันที

.

.

.

.

.

29 ตุลาคม ศักราชแห่งอองโทรานที่ 3924

ยูทิก้า รัฐเบอร์แกน ชายแดน อาณานิคมเขตที่ 6

เสียงอันเอกลักษณ์ของชนพื้นเมืองนั้นดังจนได้ยินถึงอีกฝั่งของแม่นํ้า ไม่มีการกล่าววาจาใดๆทั้งสิ้น เหมือนรู้ว่าต้องทำเช่นไร ประชาชนชาวบ้านได้เก็บสิ่งของในบ้านของตนกันอย่างชุลมุนวุ่นวาย อพยพหนีเข้าป้อมยูทิก้าอย่างเป็นว่องไว ระหว่างที่ทยอยเดินหนีเข้าป้อมนั้น เสียงกลองศึกดังปลุกใจผู้คน พร้อมเสียงสัญญาณกลองก็ดังขึ้นตามจังวะ ไม่นานเสียงยํ่าเท้าอันเป็นระเบียบก็ตามมา กองกำลังได้เดินหน้าข้ามไปอีกฝั่งเพื่อทำศึกครั้งใหญ่กับชนพื้นเมืองแล้ว

การรบครั้งนี้คือทุ่งหญ้าอันกว้างซึ่งฝั่งของกองกำลังผสมลีโอเนียได้ข้อได้เปรียบจากการตั้งแถวยิง ใช้เวลาครึ่งชั่วโมงก็ถึงเป้าหมายหรือสนามรบในครั้งนี้ พันโท แดเนีย สั่งตั้งกระบวนทัพรูปแบบแถวหน้ากระดานทันที แต่ละแถวมีระยะห่างระหว่างกันประมาณครึ่งเมตร และทหารแต่ละนายในแถวจะยืนค่อนข้างชิดกัน ซึ่งตอนนี้จากที่ว่างแผนไว้กองกำลังได้ถูกแบ่งออกแบบ 5 ส่วน ปีกซ้าย ร่างกาย ปีกขวา คมดาบ และ กำลังสำรอง

ปกซ้ายนำโดย ร้อยเอก จอห์น โอลิเวอร์ กับ 1 กองร้อยจำนวน 293 นาย

ร่างกายนำโดย ร้อยเอก แอมโบรส แฮร์ริสัน  กับ 1 กองร้อย จำนวน 300 นาย

ปีกขวานำโดย ร้อยตรี ดักลาส แมริแลนด์ กับ 1 กองกำลังอาสา จำนวน 184 นาย

ส่วนคมดาบนั้นคือกองกำลังที่ปืนใหญ่ที่ยืมจากทหารรักษาการ โดยนำปืนใหญ่สามปอนด์จำนวน 2 กระบอก กับผู้ใช้อีก 24 นาย

กำลังสำรองนั้นเป็นผู้อยู่อาศัยติดอาวุธ นำโดย ผู้ใหญ่บ้าน เนลสัน แบล็กฮิลส์ ซึ่งเป็นชายชราที่ลาสเจอในตอนแรก พร้อมชาวบ้านอีก 120 คน ค่อยเป็นหน่วยช่วยเหลือ

เมื่อตั้งแนวรบเสร็จไม่นาน ทัพพันธมิตรก็เดินเข้าในระยะสายตา พวกนั้นมีอยู่ราว 3000 พันกว่าคนเห็นจะได้ ไม่รวมสัตว์ขี่ที่สามารถปิดชีวิตได้หากถูกมันขยำกิน ถ้าจะพูดให้ถูกแล้วล่ะก็จำนวนกำลังของกำลังผสมนี้น้อยกว้า 1 ต่อ 3 เป็นจำนวนที่เรียกได้ว่าสิ้นหวังพอสมควร ฝั่งตรงข้ามยังคงใช้อาวุธเย็นอยู่ ซึ่งสามารถมองเห็นได้จากระยะไกล อาทิเช่น หอกเล็กยาว หรือขวาน แต่ก็ยังมีบ้างกลุ่มที่ใช้อาวุธร้อนอย่างปืนอยู่เช่นเดียวกัน

อย่างไรก็ตามสิ่งที่หน้ากลัวก็คือเผ่าซูที่ขี่สัตว์ประเภทเสือยักษ์ พวกเขานั้นเป็นนักรบที่น่ากลัวที่สุดในประวัติของผู้เข้ามาอาศัยใหม่ แต่ครั้งนี้พวกเขาเหล่านั้นอาจจะต้องเจอกับเสียงที่ดังกว่าปกติ ชนเผ่าที่อยู่ไกลจากท้องทะเลยังไม่เคยเห็นอาวุธที่สามารถยิงได้ไกลกว่าปืนคาบศิลาหรือปืนคาบชุด พวกเขาจะได้เห็นในเร็วๆนี้

.

.

.

แดเนียที่ส่องกล้องอยู่นั้นได้หยุดและยืนให้กับนายทหารใกล้ๆตัว ก่อนจะหันไปสั่งหน่วยปืนใหญ่อย่างรวดเร็ว

“บรรจุและยิงไปใจกลางพวกชนพื้นเมืองซะ” ว่าแล้วเหล่านายทหารประจำปืนก็บรรจุดินปืนสอดใส้ในท่อส่งก่อนที่จะยัดลูกกระสุนต่อ เมื่อบรรจุเสร็จสิ้น ไม้จุดชนวนก็ถูกจุดขึ้นก่อนที่จะว่างลงข้างบนรูไฟ พร้อมกับเสียงที่จะดังไปทั่วหน้าประวัติศาสตร์

   ปัง! เสียงระเบิดที่ดังกว่าครั้งในๆ พร้อมเสียงแวกอากาศที่ได้ยินชัดยิ่งกว่าชัด มันพุ่งไปข้างหน้าอย่างดาวตกที่ตกจากฟากฟ้า มันเต็มไปด้วยความเกรี้ยวกราด เสมือนเทพที่กำลังพิโรธ ไม่นานมันก็กระทบกับแถวด้านหลังนักรบเผ่าซู พร้อมเศษดินและชิ้นส่วนร่างกายองผู้เคราะร้ายก็กระเด็นไปทั่ว

นักรบหลายคนตกใจถึงขีดสุด บ้างก็คิดไปถึงธรรมชาติกำลังพิโรธ แต่มีหรือทีหัวหน้าเผ่าซู จะนิ่งเฉยเขาตะโกนสุดเสียงสั่งโจมตีทันที

   ปัง! เสียงปืนใหญ่ลูกที่สองถูกยิงอีกครั้ง แค่ดูเหมือนจิตวิญญาณจะยังคงรักพวกเขา เพราะลูกกลมนั้นไม่โดนใครเลยแม้แต่น้อย การที่จะยิงปืนใหญ่นั้นไม่สามารถที่จะทำให้แม่นได้เนื่องจากระยะที่ไกลเกินไป มีเพียงระยะหวังผลเท่านั้น ข้อเสียอีกข้อของปืนใหญ่นั้นคือการบรรจุที่ใช้เวลานาน เมื่อเข้าใกล้ก็คงยิงไม่ได้แล้ว เหล่านักรบจึงเร่งฝีเท้าเข้าโจมจู่ทันที

.

.

   โฮ้! สังหารมัน! ขับไล่ปีศาจออกไป! ดินแดนนี้เป็นของเรา! เสียงโห่ร้องพร้อมนักรบเผ่าต่างๆถาโถมพุ่งไปข้างหน้าอย่างไม่กลัวตาย แน่นอนว่าามันสร้างผลกระทบต่อจิตใจฝั่งกองกำลังผสมลีโอเนียอย่างมาก นักรบชนพื้นเมืองนั้นพูดภาษาท้องถิ่นออกมา มันดูไม่เหมือนคำพูดหรือภาษาแต่เหมือนเป็นการส่งเสียงร้องเฉยๆ แต่อย่างนั้นพวกมันก็สามารถเข้าใจกันได้อย่างน่าเหลือเชื่อ ไม่แน่อาจจะเป็นเพราะเป็นภาษาตั้งแต่เกิด

พวกคนเถื่อนจะน่ากลัวเกินไปแล้ว! พวกมันวิ่งโถมไม่พอไฉนยังต้องร้องส่งเสียงอันแปลกสั่งไม่รู้เรื่องด้วย ความคิดราวนี้โผล่ขึ้นมาเต็มหัวของนายทหารที่ยืนแถวอยู่ เมื่อเข้าใกล้ระยะยิง นายกองก็ตะโกนสั่งทันที พร้อมคำสั่งที่ถูกส่งไปเป็นทอด ๆ

เตรียมพร้อม! เล็งเป้า! ยิง! ปังๆๆๆ!!

แนวแรกที่ยิงออกไปนั้นคือแนวของ ร้อยเอก แอมโบรส ผู้หมวดต่างสั่งยิงตามคำสั่ง แอมโบรส อย่างดุดัน ปืนนับไม่ทวนยิงสังหารนักรบไม่กลัวตายเหล่านี้ พวกเขายิงได้ 3 รอบ ก็ต้องหยุดเข้าระยะตะลุมบอน ซึ่งเป็นระยะที่น่ากลัวที่สุด

“ติดดาบปลายปืนไอพวกหมา! เร็วเข้า! เร็วเข้า!” ร้อยเอก แอมโบรสสั่งการอย่างเร่งรีบ เขาชักดาบขึ้นมาป้องกันตัว

เมื่อติดดาบปลายปืนเสร็จ เหล่าทหารแนวหน้าก็ยกปืนขึ้นมาทำแนวเสมือนหอก เมื่อเห็นร่างกายนักรบชนเผ่าต่อหน้ากระสุนอีกระรอบก็ถูกปลดปล่อยในระยะที่สังหารได้แน่นอน แต่พวกเขาก็ถูกลูกศรลูกดอกพุ่งมาเสียบร่างกายอวัยวะสำคัญตกตายไปด้วย จากนั้นแนวหน้าก็ปะทะกับนักรบชนเผ่าทันที ความตายได้มาถึงแล้ว

ย้ากกก! หอกเล็กพุ่งด้วยความเร็วไปยังแถวหลังทะลุร่างกายของผู้เคราะห์ร้ายทำให้เสียชีวิตทันที เลือดที่กระเด็นไปทั่วบริเวณ แต่ถูกกลบด้วยกลิ่นเขม่าและดินปืน สองแถวแรกที่รับแรงปะทะ เริ่มที่จะต้านไม่ไหว แถวด้านหลังซึ่งเป็นแถวสี่ก็ควรที่จะขยับเขยื้อนขึ้นไปช่วย แต่ช่างหน้าเสียด้ายเพราะผู้หมวดได้ตายไปได้เมื่อกี้ เพราะความวุนวายและตกใจของเหล่าทหาร จึงไม่ได้ใครทำหน้าที่แทน ผู้หมวดที่ตกตายไป

หนึ่งในแถวหลังนั้นคือ โยฮันน์ ที่พึ่งเสียหัวหน้าไปได้ไม่นานเขาต้องมาเสียไปอีกคน แต่ดูเหมือนว่าโชคชะตาจะยังไม่ทอดทิ้ง เสียงคำสั่งถูกส่งออกมาจากข้างหลังแนวรบอีกที เป็น แอมโบรส ที่เห็นว่าแนวหนึ่งเริ่มไม่ไหว แม้ว่าจะมีคำสั่งแต่ คนที่ยศรองลงมาจากผู้หมวดคนที่แล้วก็ไม่มี บ้างคนไม่ได้จบจากโรงเรียนเตรียมทหาร อย่างไรก็ตามโยฮันน์นั้นไม่อาจจะทิ้งโอกาสนี่ได้ เขาอยากมีชีวิตรอด เพราะฉะนั้นเขาต้องชนะศึกนี้ แล้วรอดให้ได้ เมื่อคิดเช่นนั้น โยฮันน์ตะโกนสั่งให้พวกพ้องได้ยิน

“แถวสี่! เคลื่อนที่ไปแนวขวา!” เมื่อได้ยินเช่นนั้น หมวดทหารที่โยฮันน์อยู่ก็จัดแถวตบเท้าเดินขบวนแยกไปฝั่งขวาของสามแถวแรก เพื่อช่วยเหลือทันที นี้เป็นครั้งแรกที่ตัวเขาจะเป็นคนคุมชีวิตคนอื่น เสียงกลองเล็กทำสัญญาณเดินก่อนจะไปถึงแนวที่ใกล้แตกฝั่งขวาของกำลังส่วนกลางของกองกำลังผสมลีโอเนีย

เสียงปืน เสียงกรีดร้อง ยังคงดังไปทั่วสนามรบ โยฮันน์มองไปยังแนวหน้าที่ข้าศึกกำลังต่อสู่ฆ่ากันอยู่ แถวแรกนั้นสู้ตายไม่ยอมถอยแต่ดูเหมือนว่าพวกเขากำลังแตกพ่ายเสียแล้ว

“หยุด!” หมวดทหารของ โยฮันน์อยู่ด้านหลังแถวแรกด้านขวา เหล่าทหารที่กำลังสู้อยู่รับรู้ได้ทันทีว่าจะเกิดอะไรขึ้น พวกเขาตะโกนถอยทันที

“แถวสี่! เตรียมพร้อม! เล็งเป้า!” โยฮันน์สั่ง ปืนถูกเล็งไปข้างหน้า ยากที่จะยอมรับแต่ยังคงมีทหารบ้างส่วนติดพันกับการต่อสู้อยู่ แต่ถ้าเกิดเขาไม่ยิง พวกนักรบชาวเผ่าก็จะบุกทะลุแนวได้ เห็นเช่นนั้น โยฮันน์ก็ไม่ลังเล ตัดสินใจ สั่งยิงทันที

ยิง! ปังๆๆ! กระสุนสังหารสิ่งมีชีวิตข้างหน้าโดยไม่เลือกหน้า ไม่ว่าจะเป็นฝั่งของตนหรือข้าศึกก็ถูกยิงไปด้วย ไม่นาน การยิงระลอกใหม่ก็เกิดขึ้นอีกครั้ง เหล่านักรบไม่สามารถที่จะแตะต้องพวกที่มาใหม่ได้แม้แต่น้อย

เหล่าทหารแถวแรกที่หลบนี้ออกมาจากแนวหน้าก็ได้เข้ารวมแถวของ โยฮันน์ สร้างเป็นกองทหารใหม่ซึ่งเป็นการกระทําแบบแผน การฝึกของลีโอเนีย เมื่อใดที่แพ้ในยามศึกจะไม่มีการถอย มีเพียงหันหลังกลับไปร่วมกับพวกพ้องเพื่อสู้ต่อ นั้นคือวิธีของ สหจักรวรรดิ พวกเขาจะย้อมแพ้ให้กับศัตรูปรปักษ์ จะไม่ยอมเสียศักดิ์ศรีให้ผู้ใด ต่อให้กองทัพแตกพ่าย ต่อให้กำแพงที่ปกป้องผู้คนถูกพังลง พวกเขาก็จะสู้ต่อไป

เพื่อเกียรติยศ เพื่อองค์พระจักรพรรดิ เพื่อสหจักรวรรดิลีโอเนีย

---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด