ตอนที่แล้วบทที่ 8 มุ่งหน้าสู่ลาเมอร์ (3)
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 10 แสดงทักษะ (1)

บทที่ 9 มุ่งหน้าสู่ลาเมอร์ (4)


บทที่ 9 มุ่งหน้าสู่ลาเมอร์ (4)

“ทั้งหมดหยุดเดี๋ยวนี้!” หลังจากได้ยินเสียงอันไพเราะ เหล่าทหารก็หยุดการกระทำของพวกเขาทั้งหมดทันที

ไม่นานนักผู้หญิงที่เป็นเจ้าของเสียงก็เดินออกมาตรงหน้าของเหล่าทหาร ใบหน้าที่โกรธเกรี้ยวของเธอดูเป็นอะไรที่ไม่เข้ากับชุดสวยๆที่เธอสวมใส่

ลุคดูค่อนข้างแปลกใจเมื่อเขาได้เห็นหน้าเจ้าของเสียง มันไม่ใช่เพราะความสง่างามของเธอที่ทำให้เขาตกใจ แต่มันเป็นเพราะใบหน้าของเธอที่มีความคล้ายคลึงกันกับหญิงสาวที่เขารู้จัก

“คาธารีน่า?”

เธอคือคนที่ลุคมีความคุ้นเคยและรู้จักเป็นอย่างดี

ย้อนกลับไปเมื่อ 500 ปีที่แล้ว ในตอนที่ลุคยังทำงานอยู่ในหอคอยเวทมนต์เวอร์ริทัส เขาได้พบกับหญิงงามคนหนึ่ง เธอมีนามว่า คาธารีน่า แองเจลโล่ เธอเป็นนักเวทย์ขั้น 2 ที่เข้ามาในหอคอยเพื่อฝึกงาน

คาธารีน่านั้นเกิดมาในฐานะลูกนอกสมรสของขุนนาง และตกหลุมรักลุคไม่นานหลังจากได้พบกับเขา

ทั้งสองมักจะออกไปเที่ยวด้วยบ่อยๆกันในช่วงวันหยุดพักผ่อนของพวกเขา และในช่วงเวลานั้นเองที่พวกเขาได้พบกับหนังสือเวทมนตร์แห่งความมืดในซากปรักหักพังโบราณ

แต่พวกเขาทั้งสองก็ได้ใช้พลังในการผนึกเวทมนต์แห่งความมืดเอาไว้ สิ่งที่สำคัญสำหรับพวกเขาทั้งคู่คือการผจญภัย ไม่ใช่มนต์ดำต้องห้าม

พวกเขาทั้งคู่มีความฝันที่เรียบง่าย นั่นคือการได้แต่งงานกัน ละทิ้งหอคอยเวทมนต์และเปิดร้านของขายวิเศษเล็กๆในเมืองเล็กๆ เพื่อที่พวกเขาจะได้ใช้ชีวิตอย่างเรียบง่ายเหมือนกับคนธรรมดาทั่วไป

แต่แล้ว...

“ไอ้สัตว์ร้ายพวกนั้นมันก็ไม่ยอมปล่อยเธอไป..”

แม้ว่าเธอจะสวมเสื้อผ้าที่ดูเก่าซอมซ่อซักแค่ไหน แต่ความงดงามของเธอก็ยังคงเปล่งประกายออกมา

และนั่นคือสาเหตุที่ทำให้ผู้คนมากมายต้องการที่จะได้เธอมาครอบครอง

ดยุกบาล็อคที่ยังอยู่ในอาณาจักรลีเบียย่าเองก็เป็นหนึ่งในนั้นเช่นกัน เขามาที่หอคอยเวทมนตร์เวอร์ริทัสเพื่อดูเธอ สิ่งนี้ทำให้ไอ้เลวเมส์เตอร์ อาร์ซีน ที่อยากจะเป็นใหญ่เป็นโต ได้เสนอให้เธอไปเป็นนางสนมของดยุกโดยที่ไม่ฟังความคิดเห็นของเธอแม้แต่น้อย

ท้ายที่สุดคาธารีน่าก็ถูกขายให้กับดยุกบาล็อค และได้ตัดสินใจฆ่าตัวตายก่อนวันแต่งงานของเธอกับเขา

ในช่วงเวลานั้นลุคได้ถูกสั่งให้ไปทำงานในต่างพื้นที่ เขาจึงไม่ทราบเกี่ยวกับเรื่องของคาธารีน่า และเมื่อเขากลับมาเชาจึงได้รู้ว่ามันสายเกินไปแล้วที่จะไปช่วยเธอ เหตุการณ์นี้ทำให้เขาหมดเหตุผลที่จะมีชีวิตอยู่ต่อ

และนั่น...

ทันใดนั้นหญิงสาวที่ลุคเคยตกหลุมรักก็ได้พูดขึ้นมาอีกครั้ง

“นี่พวกเจ้ากำลังทำอะไรกับเด็กเหล่านี้กัน? พวกเจ้าไม่อายกันบ้างรึยังไง? พวกเจ้ายังมีความเป็นผู้ใหญ่อยู่ไหม?”

“นั่น.. พวกเราแค่ทำตามคำสั่ง..”

หัวหน้าทหารยามรู้สึกอับอายในขณะที่โดนหญิงสาวต่อว่า แม้ภาพลักษณ์ของเธอจะดูเป็นผู้ดีสักแค่ไหน แต่การแสดงออกของเธอตอนนี้มันก็สวนทางกันเป็นอย่างมาก

“นั่นมัน...” ในขณะที่ลุคกำลังมองดูเธออย่างเงียบๆ ฟิลิปก็พูดขึ้นมาว่า

“นี่ข้ากำลังมองเธออยู่จริงๆเหรอเนี่ย”

“เจ้ารู้จักผู้หญิงคนนี้อย่างนั้นเหรอ?” ลุคหันไปถาม

“นายน้อยสนใจนางอย่างนั้นเหรอ? ข้าเข้าใจ ผู้ชายเราก็สนใจสาวงามแบบนี้กันทั้งนั้นแหละ” เมื่อพูดเสร็จฟิลิปก็เริ่มอธิบายต่อ

“นี่เป็นครั้งแรกที่ข้าได้พบกับนาง แต่ข้าเคยได้ยินข่าวลือมาว่า เมืองลาเมอร์มีนักบุญสาวรูปงามอยู่คนหนึ่ง”

“นักบุญ?”

“ใช่แล้ว ดูเหมือนว่าลำพังแค่คำพูดกับตัวอักษรจะอธิบายถึงความงามของนางไม่ได้เลยจริงๆ”

“ขอบคุณพระเจ้า..”

ฟิลิปไม่เข้าใจว่าทำไมลุคถึงแสดงท่าทีแบบนั้น

“อย่างไรก็ตามชื่อของเธอคือ เรย์น่า  เพโตรน่า คิริลลอฟ และดูเหมือนว่าตอนนี้เธอจะเป็นเพียงขุนนางธรรมดาทั่วไป ไม่ใช่เจ้าหญิงอีกต่อไปแล้ว”

“เจ้าหญิง? ถ้าอย่างนั้นแล้วทำไมถึงไม่มีคนคอยอารักษ์เธอเลยละ?”

“เพราะประเทศนั้นล่มสลายลงไปแล้ว”

เจ้าหญิงเรย์น่าเป็นพระธิดาเพียงองค์เดียวของกษัตริย์เพโตรที่ 2 แห่งอาณาจักรโวลก้า

จนกระทั่งเมื่อ 15 ปีที่แล้ว อาณาจักโวลก้าได้เกิดการปฏิวัติขึ้น

มันทำให้กษัตริย์พลอเต้อร์ที่ 2 และลูกน้องคนสนิทอีกสสองสามคนต้องก็หลบหนีไปยังจักรวรรดิบาล็อคที่อยู่ใกล้เคียง

“ในลาเมอร์แห่งนี้ยังมีผู้อพยพที่มาจากโวลก้าและอาณาจักรใกล้เคียงอีกไม่น้อย และในฐานะของผู้ลี้ภัย มันทำให้ชีวิตประจำวันของพวกเขาจึงต้องทำงานอย่างหนัก”

ในตอนแรกทางจักรวรรดิได้ให้เงินทุนตั้งต้นชีวิตใหม่กับเหล่าผู้ลี้ภัย แต่เมื่อเวลาผ่านไปพวกเขาก็เริ่มถอยห่างจากผู้ลี้ภัยเหล่านั้นและในท้ายที่สุดทางจักรวรรดิก็ได้ละทิ้งและเมินเฉยต่อพวกเขา

“ไม่มีพวกขุนนางหรือคนจากจักรวรรดิมาช่วยเหลือพวกเขาเลยอย่างนั้นเหรอ?”

“แทนที่จะช่วยเหลือ ทางจักรวรรดิกลับมองว่าคนเหล่านี้เป็นภาระซะมากกว่า หากอาณาจักรโวลก้าไม่ได้อยู่ภายใต้การปกครองของจักรวรรดิบาล็อค พวกเขาก็คงจะโดนขับไล่ออกไปนานเล้ว”

กษัตริย์พลอเต้อร์ที่ 2 ที่ยังไม่สามารถลืมความรุ่งโรจน์ของอาณาจักรโวลก้าได้ลง ก็จะไปเยี่ยมเยือนในบางครั้งที่มีโอกาส

จักพรรดิรูดอล์ฟแห่งจักวรรดิบาล็อกนั้นยืนกรานให้เหล่าราชวงศ์ที่ลี้ภัยมาสามารถย้ายไปตั้งต้นใหม่ที่ลาเมอร์ได้

“จริงๆแล้วสาเหตุที่ทำให้พวกเขามาอยู่ที่นี่ได้ก็เป็นเพราะ ทางจักรวรรดิรำคาญที่จะให้พวกเขามาอยู่ใกล้ๆกับตน”

และเมื่อ 7 ปีที่แล้ว ในตอนที่จักรวรรดิได้พ่ายแพ้ในสงครามการปกป้องโวลก้า โอกาสที่จะฟื้นฟูระบอบกษัตริย์ก็ได้หายไปและในสองปีถัดมา กษัตริย์พลอเต้อร์ก็ได้สิ้นพระชนม์ลง

และเป็นเหตุผลให้เหล่าผู้บี้ภัยกระจัดกระจาแยกย้ายกันออกไป

มีข่าวลือหลายแห่งที่กล่าวว่าเชื้อพระวงศ์ของโวลก้าก็ได้หายไปจากประวัติศาสตร์เรียบร้อยแล้ว แต่เจ้าหญิงเรย์น่าก็ยังไม่มีแผนที่จะยอมแพ้

เธอขายทรัพย์สมบัติทั้งหมดของราชวงศ์เพื่อนำเอาเงินมาแจกจ่ายให้กับเหล่าผู้คนที่ลี้ภัยและจัดหางานให้กับพวกเขา

เมื่อไหร่ก็ตามที่เธอมีเวลา เธอจะไปที่ค่ายผู้ลี้ภัยและช่วยงานอาสาสมัครที่นั่น

“ผู้คนในลาเมอร์ต่างก็ยกย่องเจ้าหญิงว่าเปรียบเสมือนกับนักบุญ เพราะเธอไม่เพียงแต่ช่วยเหลือผู้ลี้ภัยเท่านั้นแต่เธอยังช่วยเหลือผู้เจ็บป่วยและผู้ยากไร้ของจักรวรรดิอีกด้วย การกระทำขอองเธอได้กลายเป็นข่าวลือไปทั่วทั้งทางใต้และทำให้เธอเป็นคนที่ค่อนข้างมีชื่อเสียง”

“เธอยังคงเหมือนเดิมจริงๆ..”   ในตอนแรกเขาคิดว่าเธอนั้นคงมีแค่หน้าตาที่คล้ายคลึงกับคนรักเก่าของเขาเท่านั้น แต่ในตอนนี้การกระทำของเธอก็ไม่ต่างไปจากคนรักเก่าของเขาเลย คาธารีน่าเองก็มักจะไปช่วยเหลือผู้อื่นที่กำลังลำบากอยู่เหมือนกัน

“ไปบอกเจ้านายของเจ้าซะ ว่าถ้าต้องการพัฒนาลาเมอร์แห่งนี้ ก็จงเหลียวมองไปยังชาวเมือง ไม่ใช่ปัจจัยภายนอก”

ในขณะที่ลุคยืนดูเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นอยู่นิ่งๆ เรย์น่าก็สามารถไล่พวกทหารยามไปได้สำเร็จและเข้าไปดูเด็กๆ

“เจ้าเจ็บมากไหม?”

“ข้าไม่เป็นอะไรมาก ต้องขอบคุณพี่ชายคนนั้น”

หญิงสาวฉีกชุดของเธออกมาและนำมาพันแผลให้กับเด็กและจึงเดินออกมา  เมื่อเห็นว่าเธอกำลังเดินมาทางเขา ลุคก็เริ่มใจเต้นแรงอย่างไม่สามารถควบคุมได้

และในจังหวะที่เธอมาหยุดอยู่ตรงหน้าเขา เขาก็ถอยหลังออกไปโดยไม่รู้ตัว

“พลังงานนี้...?”

พลังนี้ทำให้เขารู้สึกเหมือนกับว่าโดนอะไรบางอย่างเข้าครอบงำ มันเหมือนกับโลกทั้งใบหายไป และในจังหวะที่เขาสงบสติอารมณ์ได้ เรย์น่าก็เริ่มทักทายเขาอย่าฃสุภาพ

“ขอบคุณท่านมากที่ช่วยเหลือพวกเด็กๆไว้”

“อ่า ไม่เป็นไร ข้าก็ไม่ได้ทำอะไรมากนักหรอก”

ลุคผายมือลงอย่างถ่อมตน หลังจากนั้นก็มีชายชราสองคนวิ่งตรงมาหาหญิงสาว

“เจ้าหญิง ท่านมาทำอะไรในที่แบบนี้กัน?”

“ตอนนี้ท่านต้องเริ่มออกเดินทางได้แล้ว ไม่อย่างนั้นท่านจะไปไม่ทันนัดกับท่านอังเดรย์นะขอรับ”

ขณะที่ชายชราทั้งสองคนวิ่งมาหาเธอพร้อมทั้งกล่าวเตือน เธอก็เงยหน้าขึ้นไปมองหอนาฬิกาที่อยู่ข้างบน

“โอ้ได้เวลาแล้วอย่างนั้นเหรอ... ข้าคงต้องไปแล้วหล่ะ แล้วจงจำไว้นะว่าระวังพวกลุงนั่นให้ดี”

เจ้าหญิงเรย์น่าโบกมือให้กับเด็กๆ ก่อนจะเดินจากไปพร้อมกับคนรับใช้สูงอายุทั้งสอง

ลุคจ้องมองไปยังเรย์น่าจนกระทั่งเธอลับสายตาไป

การปรากฎตัวของเรย์น่านั้นมาพร้อมกับบรรยากาศอันอบอุ่นแบบเดียวกับที่เขาเคยสัมผัสได้จากคาธารีน่า ความรู้สึกนั้นไม่สามารถลบออกไปจากเข้าได้ง่ายๆ

และ..

“พลังงานก่อนหน้านี้มันคืออะไรกัน?” ลุคยิ้มขณะส่ายหัว

ก่อนหน้านี้เขาสัมผัสได้ถึงพลังงานอันแปลกประหลาดเมื่อเจ้าหญิงเดินเข้ามาใกล้เขา ลุครู้สึกเหมือนมันเป็นช่วงเวลาที่อบอุ่นที่สุดของเขา มันเหมือนกับความอบอุ่นที่มาจากอ้อมกอดของแม่อย่างเป็นธรรมชาติ

“แต่มนุษย์เราสามารถสร้างพลังงานแบบนี้ได้ด้วยเหรอ?”

ตามความรู้ที่เขามีมันไม่มีทางเป็นไปได้ นั่นเป็นสาเหตุที่ทำให้เขาส่ายหัว

“ข้าคงจะเข้าใจผิดไปเอง มันเป็นเพราะร่างกายที่เปลี่ยนไปนี่รึเปล่านะ?”

มันไม่มีทางที่พลังงานพวกนี้จะหายไปอย่างรวดเร็ว  และถ้าเธอยังอยู่ต่ออีกสักหน่อย เขาก็น่าจะสามารถตรวจสอบพลังงานนั้นได้

“นายน้อยเราก็ไปกันเถอะ”

“...นั่นสินะ”

ลุคกลับเข้าสู่ความเป็นจริง

ตั้งแต่ฟื้นขึ้นมา นี่นับเป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกดีใจขนาดนี้...

ติดตามอ่านก่อนใครได้ที่เพจ : นอนน้อย โนเวล

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด