ตอนที่แล้วบทที่ 11 แสดงทักษะ (2)
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 13 วิกฤตของเรย์น่า (1)

บทที่ 12 แสดงทักษะ (3)


บทที่ 12 แสดงทักษะ (3)

ในยามเช้าของวันรุ่งขึ้น

หลังจากทั้งสองคนตื่นนอนและกินอาหารเรียบร้อยแล้ว พวกเขาก็มุ่งหน้าไปยังสนามประลองกิกันท์

สนามประลองกิกันท์นั้นตั้งอยู่บนภูเขาทางทิศตะวันออกของเมืองลาเมอร์ เมื่อพวกเขามองดูจากระยะไกลก็เห็นสิ่งก่อสร้างที่ทำมาจากหินสีเทา พวกเขาจึงสันนิฐานว่ามันน่าจะเป็นป้อมปราการหรือปราสาทอะไรซักอย่าง

“โลกพัฒนาไปไกลจริงๆ”

เมื่อก่อนสนามประลองส่วนใหญ่นั้นสร้างมาจากไม้และสามารถจุคนได้มากสุดแค่ประมาณ 5,000 คน แต่ตามที่ฟิลิปบอกเขามา สนามประลองในปัจจุบันนั้นสามารถจุผู้คนได้มากถึง 30,000 คนในเวลาเดียวกัน

“ข้าไม่แน่ใจว่าท่านเคยไปที่สนามประลองของกษัตริย์รึเปล่า แต่ที่นั่นสามารถจุคนได้มากว่า 100,000 คนและความสวยงามของสถาปัตยกรรมนั้นก็ราวกับถูกสร้างโดยพวกคนแคระ”

“ห้ะ!”

ในขณะที่เขากำลังฟังเรื่องราวจากฟิลิปอยู่นั้น พวกเขาก็ได้มาถึงยังสนามประลอง และได้พบเข้ากับยักษ์เหล็กขนาดตั้งแต่ 8-15 เมตร ที่กำลังต่อสู้กันอย่างดุเดือด นั่นทำให้เขาเข้าใจทันทีถึงเหตุผลที่ต้องสร้างสนามประลองให้มีขนาดใหญ่แบบนี้

“นั่นคือกิกันท์เหรอ? มันดูเป็นสิ่งที่น่าสนใจจริงๆ”

โดยไม่ทันจะได้ชื่นชมกับความอลังการของสนามประลอง สิ่งที่น่าประหลาดใจอย่างหนึ่งก็ได้พุ่งผ่านหน้าของเขาไป มันมีลักษณะคล้ายรถม้าซึ่งมันกำลังพ่นไอน้ำออกมาจากด้านล่างทำให้มันสามารถวิ่งอยู่บนอากาศได้ และด้านหลังของมันก็ตามมาด้วยรถเข็นเหล็กขนาดใหญ่ที่บรรทุกสิ่งของที่คลุมด้วยผ้าคลุมสีดำ

เมื่อมองแวบแรก สินค้าที่บรรทุกมานั้นก็ดูเหมือนจะหนักเอามากๆ แต่รถเกวียนคันนี้ก็สามารถที่จะเข็นมันไปได้อย่างปกติ ไม่ได้เชื่องช้าแต่อย่างใด

เห็นได้ชัดว่ารถคันนี้ขับเคลื่อนด้วยไอน้ำที่ถูกต้มโดยเครื่องยนต์ที่ถูกสลักด้วยวงเวทย์ธาตุไฟ มันไม่ได้มีเพียงพ่อค้าเท่านั้นที่ลุคได้พบเจอ ในบรรดาคนเหล่านั้นยังมีพ่อมดที่เชี่ยวชาญด้านวิศวกรรมเวทมนต์ปะปนอยู่อีกด้วย

พวกเขาว่ากันว่าสาเหตุที่ทำให้วิศวกรรมเวทมนต์ก้าวหน้ามาได้จนถึงทุกวันนี้ก็เป็นผลมาจากการเปิดตัวของหอคอยเวทมนต์เวอร์ริทัส เมื่อ 500 ปีก่อน

เครื่องจักรที่ใช้เครื่องยนต์ไอน้ำในการขับเคลื่อนก็ถูกผลิตขึ้นมาในช่วงเวลานั้นเช่นเดียวกัน เพียงแต่ตอนนั้นมันยังไม่ได้รับความนิยมมากก็เท่านั้น

การใช้เวทมนต์ในการทำสิ่งต่างๆที่สามารถทำได้โดยใช้แรงของคนหรือม้านั้น เป็นการทำให้หินเวทมนต์สูญเปล่า

วงเวทย์นั้นต่างก็ยืมมานามาจากธรรมชาติ และการจะแปลงมานาเหล่านั้นให้กลายมาเป็นเวทมนต์ที่พวกเขาต้องการนั้นก็ต้องอาศัยสื่อกลางคือ หินเวทมนต์ แต่หินเวทมนต์นั้นเป็นอะไรที่หายาก มันมีราคามากกว่าทองคำในน้ำหนักที่เท่ากันหลายสิบเท่า

แต่เมื่อ 100 ปีก่อน สิ่งต่างๆก็เริ่มเปลี่ยนไป

เมื่อพ่อมดเอลฟ์ที่มีนามว่า “เออร์วิน เลซา” ได้คิดค้นการสร้างแร่เทียมโดยการผสมกันระหว่างแร่บางอย่างกับคริสตัล

เมื่อลุคได้ยินเรื่องราวทั้งหมด เขาก็รู้สึกตกใจเหมือนโดนฟ้าผ่า

“นี่มันไม่ใช่แค่สิ่งของธรรมดาแล้ว! นี่มีคือหินเวทมนต์เลยนะ! พ่อมดเอลฟ์นั่นจะต้องเป็นอัจฉริยะแน่ๆ!”

ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม การเข้ามามีบทบาทของหินเวทมนต์เทียมได้ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงและพัฒนาในด้านของเทคโนโลยี และทำให้ปัจจัยการผลิตและราคาซื้อขายของพวกมันมีราคาที่ถูกลง

ดังนั้นในปัจจุบัน วิศวกรรมเวทมนต์จึงไม่ได้ถูกใช้แค่ในแง่ของการทหาร แต่ยังถูกใช้ทั้งในชีวิตประจำวันอีกด้วย

และสามารถทำให้ได้ดูการต่อสู้ของเหล่าหุ่นรบยักษ์นี้ด้วยเช่นกัน

อะไรคือสิ่งที่ทำให้จักรวรรดิบาล็อครุ่งโรจน์? อะไรกันที่ทำให้เกิดความตื่นเต้นในสายตาของคนปกติ?

ลุครู้สึกตื่นเต้นจนถึงขีดสุด นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมเขาถึงเร่งรีบที่จะไปยังบริเวณเวที

การประลองได้เริ่มต้นขึ้นไปแล้ว และยิ่งพวกเขาเข้าใกล้สนามประลองมากเท่าไหร่ แรงสั่นสะเทือนและเสียงกรีดร้องของผู้คนก็ยิ่งชัดขึ้นเท่านั้น

“ว้าว..!”

“ฆ่ามัน ฆ่ามันเลย!”

“นี่มันน่าตื่นเต้นจริงๆ”

เมื่อลุคที่จ่ายเงินค่าเข้าเสร็จ เขาก็รีบเข้าไปในสนามประลองทันที เหงื่อของเขาเริ่มแตกออกมาเพราะความร้อนที่เกิดจากฝูงชน

ลุคหันความสนใจไปยังใจกลางของสนามประลอง ที่ที่สายตาของทุกๆคนต่างก็จับจ้องไปที่มัน

บึ้ม!

ยักษ์เหล็กที่กำลังถือดาบและโล่ขนาดใหญ่กำลังแลกเปลี่ยนการโจมตีและปะทะกันอย่างดุเดือด

ทุกครั้งที่การโจมตีของยักษ์เหล็กปะทะกัน เขาก็จะสามารถสัมผัสได้ถึงแรงสั่นสะเทือที่เกิดขึ้นใต้เท้าของเขา  มันให้ความรู้สึกเหมือนกับกำลังดูนักรบในตำนานต่อสู้กัน

“มันเจ๋งจริงๆ!”

“ใช่ มันไม่มีอะไรที่น่าตื่นเต้นมากไปกว่านี้อีกแล้ว”

ในตอนที่กลับมาเกิดใหม่ ลุคได้สูญเสียพลังเวทของเขาไป แต่ด้วยวิญญาณของเขา เขาจึฃยังสัมผัสได้ถึงมานาที่ไหลเวียนในสนามประลองแห่งนี้ นั่นเป็นสาเหตุว่าทำไมเขาถึงเข้าใจความรู้สึกตื่นเต้นและความกระตือรือร้นของผู้คนได้

มานารอบสนามประลองนั้นปะทะกันอย่างรุนแรง

ไม่เพียงแต่มานาจากธรรมชาติเท่านั้นที่หมุนเวียนอยู่ในที่แหงนี้ แต่มานาจากผู้คนที่รับชมก็ถูกดูดมาหมุนเวียนอยู่ในนี้เช่นกัน

กล่าวอีกนัยหนึ่งคือความรู้สึกของผู้คนทั้งหมดจะเชื่อมต่อกันกับกิกันท์  ดังนั้นมันจึงเป็นเรื่องธรรมดาที่พวกเขาจะตอบสนองต่อการเคลื่อนไหวของหุ่นรบด้วยความกระตือรือร้น

“นี่มันมีคนขับอยู่ในนั้นรึเปล่านะ? แต่มันน่าจะมี ไม่อย่างนั้นแล้วการรับรู้และเคลื่อนไหวของกิกันท์ก็คงจะไม่ละเอียดอ่อนและรวดเร็วขนาดนี้ได้”

เมื่อ 500 ปีก่อน ซาธ่าได้ทำการจัดอันดับพ่อมดผู้ใช้โกเลมที่เก่งที่สุด ซึ่งอันดับ 1 ก็คือเซย์ม่อนนั้นเอง ในเวลานั้นเซย์ม่อนกำลังทำการแก้แค้นของเขาอยู่ โดยใช้กองทัพโกเลมแห่งความมืดของเขาในการสร้างความปั่นป่วน

อย่างไรก็ตามโกเลมของเขาก็ยังมีข้อบกพร่องอยู่เล็กน้อย

ประการแรกคือ การควบคุมโกเลมนั้นต้องใช้เวทมนต์ควบคุมจิตใจ ดังนั้นมันจึงค่อนข้างไร้ประโยชน์เมื่อเจอเข้ากับพ่อมดที่เชี่ยวชาญในด้านการควบคุมจิตใจ

ประการที่สองคือ ยิ่งโกเลมอยู่ห่างจากพ่อมดมากเท่าไหร่ การตอบสนองของมันก็จะเริ่มช้ามากขึ้นเท่านั้น

และประการสุดท้าย เนื่องจากพ่อมดไม่มีความสามารถเรื่องการต่อสู้ระยะประชิด จึงทำให้การควบคุมโกเลมต่อสู้ระยะประชิดนั้นเป็นไปได้ยากด้วย

และเพื่อเอาชนะข้อบกพร่องเหล่านั้น เซย์ม่อนจึงได้ทำการพัฒนาอุปกรณ์ต่างๆโดยอาศัยความรู้ที่เขาสั่งสมมาจากการศึกษาเวทมนต์แห่งความมืด

อย่างไรก็ตามก่อนที่เซย์ม่อนจะได้ทำการทดลองในขั้นต่อไป เขาก็ได้ถูกปลิดชีพลงโดยรากันต์ซะก่อน

“ฉันเคยได้ยินมาว่าพ่อมดคนอื่นๆในหอคอยเวทมนต์เวอร์ริทัสต่างก็พยายามศึกษาอาวุธเพื่อนำมาต่อสู้กับโกเลมของฉัน บางทีเจ้ากิกันท์นี่ก็อาจจะเป็นหนึ่งในผลการทดลองเหล่านั้น

ในฐานะพ่อมดผู้อัญเชิญโกเลม เรื่องนี้ทำให้เขาสนใจเป็นอย่างมาก

เมื่อเขากลับไปถึงที่ดินของเขาเมื่อไหร่ เขาจะทำการรื้อถอนสิ่งก่อสร้างที่ไม่จำเป็นออกทั้งหมด และทำการศึกาเกี่ยวกับกิกันท์

“แค่ตอนนี้ฉันจะต้องหาเงินมาใช้หนี้ให้ได้ก่อน”

ด้วยเงินในมือของเขาตอนนี้ เขารู้ว่ามันยังไม่เพียงพอที่จะปกป้องปราสาทและกิกันท์ได้

“เราจะวางเดิมพันได้อย่างไร?”

“ท่านสามารถซื้อตั๋วเงินของคู่ต่อไปได้ที่สำนักงานขายด้านล้างนั่นได้เลย”

เมื่อลุคมองไปตามทางที่ฟิลิปชี้ เขาก็ได้พบเข้ากับกลุ่มคนที่ต่อแถวกันเพื่อรอซื้อตั๋วเงิน อย่างไรก็ตามมันยังมีอีกบูธหนึ่งตั้งอยู่ด้านข้าง

ฟิลิปได้อธิบายกับเขาว่ามันคือ แคลน ซึ่งก็คือกลุ่มที่เข้าร่วมการแข่งขันในครั้งนี้นั่นเอง

“แคลน? นักสู้?”

“ใช่แล้ว แต่เนื่องจากกิกันท์มีขนาดใหญ่มาก จนไม่มีนักสู้คนไหนที่สามารถดูแลมันด้วยตัวคนเดียวได้ ดังนั้นพวกมันจึงถูกดำเนินการภายใต้การควบคุมของขุนนางหรือเชื้อพระวงศ์”

ณ หน้าบูธก็มีผู้คนที่ดูเหมือนกับพนักงานคอยแนะนำกิกันท์และผู้ควบคุมของพวกเขาอย่างกระตือรือร้น

“เขาคือคนขับจากแคลนอินเตอร์”คาซาน!“เขามีประวัติการแข่ง 32 ครั้ง ชนะ 25 แพ้ 7 ข้ารับประกันได้ว่าท่านจะไม่ผิดหวังแน่นอนถ้าเลือกเรา”

“เจ้ากำลังพูดถึงอะไรกัน?  ถ้าพูดถึงคนขับกิกันท์แล้วละก็ ท่านก็ต้องนึกถึง”เลโอเนล“จากแคลนพาร์เซียสิ เขาคือรุกกี้หน้าใหม่ที่ยังไม่เคยแพ้ใครมาก่อน แม้ว่าเขาจะไม่ได้ปรากฏตัวมากนักก็ตาม”

“ทักษะของคนขับนั้นสำคัญมากก็จริง แต่ประสิทธิภาพของกิกันท์ก็สำคัญเช่นกัน และหากคุณนึกถึงผลงานชิ้นเอกของแคลนอัลมาเรีย”แมมมอธ!“มันเป็นกิกันท์ที่ได้รับการยอมรับจากสาธารณรัฐโวลก้า…”

ขณะที่ลุคกำลังมองดูแต่ละบูธเพื่อตัดสินใจ ฟิลิปก็ได้กล่าวแนะนำกับเขา...

“นายน้อยข้าคิดว่าเราควรเลือกคาซานนะ แม้ว่าอัตราต่อรองของเลโอเนลจะสูงกว่า 2.5 เท่า แต่ข้าก็คิดว่ามันเป็นตัวเลือกที่ปลอดภัยมากที่สุด”

"อย่างนั้นเหรอ?"

ลุคคิดทบทวนอีกสองสามครั้งก่อนจะตัดสินใจตามคำแนะนำของฟิลิป

“ข้าต้องการเดิมพันข้างคาซาน 100 เปโซ”

“ครับนายท่าน นี่คือตั๋วเงิน 100 เปโซครับ”

และทันใดนั้นเอง

“5,000 เปโซ สำหรับเลโอเนล!”

ลุคที่พึ่งได้รับตั๋วเงินมานั้นรู้สึกประหลาดใจอย่างมาก เมื่อเห็นเงินที่ขุนนางด้านหลังของเขาใช้ไปกับการพนัน

แต่ดูเหมือนว่าพนักงานจะมองว่านี่เป็นเรื่องปกติ พวกเขานับจำนวนเงินและประทับตราลงบนตั๋วเงินแล้วจึงส่งมอบให้กับขุนนางคนนั้นอย่างสุภาพ

“ฟิลิป มันเป็นไปได้ไหมที่เราจะวางเดิมพันจำนวนมากทีเดียว”

“ตามกฎแล้วมันก็ได้อยู่..แต่ว่า..”

“เก็บไว้จะดีกว่าเหรอ?”

“ใช่แล้ว ตั้งแต่ที่พวกเราจ่ายเงินเพื่อเข้าชม ผู้ดำเนินการก็สามารถทำเงินได้เป็นจำนวนมากแล้ว”

ตามที่ฟิลิปบอก สนามประลองแบบปกติถูกมองข้ามไป เพราะพวกเขาไม่สนใจมันแล้ว

นอกจากนี้เจ้าของสนามประลองแห่งนี้ยังเป็นเชื้อพระวงศ์อีกด้วย ดังนั้นมันจึงทำให้ไม่มีใครกล้าตรวจสอบ

“หึๆ ประเทศนี้ดูเหมือนจะพัฒนามาในทางที่ดีจริงๆ”

ก่อนที่ใครๆจะได้ทำการต่อต้านมัน ความสงบสุขและเศรษฐกิจต่างๆของประเทศพวกเขาก็เริ่มที่จะถูกเข้าแทรกแซงไปแล้ว

นอกจากนี้ การคอร์รัปชั่นของชนชั้นสูงยังเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้มีการเนรเทศเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ

หน่วยงานในจักรวรรดิต่างก็ปล่อยให้สมาชิกของราชวงศ์ลอยนวลไม่มีการลงโทษใดๆเกิดขึ้น

“หุๆ ยังไงก็ตามดูเหมือนว่าตระกูลบาร็อคจะพัฒนาประเทศนี้ไปได้มากจริงๆ”

ลุคกล่าวอย่างเหน็บแนมขณะนั่งคุยกับฟิลิปและเริ่มดูการประลอง...

ติดตามอ่านก่อนใครได้ที่เพจ : นอนน้อน โนเวล

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด