ตอนที่แล้วตอนที่ 16 : เสน่ห์คืออะไรกัน
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 18 : พนันเพื่อชนะใจสาว

ตอนที่ 17 : การเพิ่มค่าสถานะเหมือนยาบ้า


เสน่ห์นั้นคือสิ่งที่มีอิทธิพลในด้านการสื่อสาร เบ็นเองก็ได้รู้แล้วว่าสกิลการพูดนั้นยอดเยี่ยมขนาดไหน ดังนั้นจะมีวิธีอะไรในการเพิ่มค่าเสน่ห์มากกว่าการพูดสร้างแรงบันดาลใจอีก? มันจะช่วยพัฒนาค่าสถานะสนทนาอีกด้วย ยอดเยี่ยมมาก!

เบ็นมองไปยังข้อมูลบนใบปลิวและค้นหาเว็บไซค์ผ่านทางโทรศัพท์เพื่อดูรายละเอียด แม้ว่าการสัมนาในครั้งนี้จะไม่ฟรี แต่เนื่องจากมันจัดขึ้นเพื่อนักศึกษาราคามันจึงไม่แพงนัก แต่ปัญหาคือมันตรงกับหนึ่งในวิชาเรียนของเบ็น

การสัมมนานี้จะเริ่มพรุ่งนี้และมีต่อไป 7 วัน และใช้เวลาหลายชั่วโมงต่อวัน ในตารางเรียน เบ็นมีเรียนวิชาเขียน และนั่นก็คือปัญหา คิ้วของเขาเลิกขึ้นราวกับเขาคิดออกแล้วว่าเขาจะแก้ปัญหานี้ยังไงดี

หลังจากคิดไปพักหนึ่ง เขาก็ตระหนักว่ามันไร้ประโยชน์ที่ต้องกังวลเกี่ยวกับเรื่องนั้น เวลากำลังลดลงเรื่อยๆ มีประโยชน์อะไรที่ต้องเข้าเรียนหากเขาจะตายภายในอีกสองอาทิตย์? เบ็นตัดสินใจแล้ว

เขาจะหยุดเรียนทุกวิชาของเขา! แทนที่จะเสียเวลากับการเรียน มันน่าจะดีกว่าหากเขาสามารถจีบสาวและเข้าร่วมสัมมนา ถ้าหากหลังจากสองอาทิตย์แล้วเขายังมีชีวิตอยู่ เขาค่อยกลับไปเรียนดีกว่า

พ่อและแม่หรือครูของเขาจะยินยอมไหมงั้นเหรอ? ปล่อยให้พวกนั้นบ่นกับศพเขาไป!

ถ้าหากพ่อและแม่ของเบ็นพบว่าเขาหยุดเรียนเพื่อไล่จีบสาว พวกเขาอาจจะบีบคอเขาจนตาย! แต่พวกเขาไม่ได้มีเจ้าระบบซาดิสม์นั่งอยู่บนหัวและพยายามฆ่าพวกเขาสักหน่อย!

เขาใช้โทรศัพท์ของเขาจองบัตรเข้าร่วมงานผ่านทางอินเตอร์เน็ต

***

“ที่นี่งั้นเหรอ?” เบ็นมองไปยังรอบห้องเรียนที่มีคนเริ่มเดินกันเข้าไป บริเวณที่มีเสียงดังที่สุดคือบริเวณทางเดินสีมุก

บริเวณใกล้ประตูมีโต๊ะและเก้าอี้พร้อมทั้งมีคนนั่งอยู่ เพื่อตรวจบัตรเข้าร่วม “นั่นเธอนี่?” เบ็นจำคนคนนั้นได้และเดินเข้าไปใกล้เพื่อพูดทักทาย

“คุณเบนจามิน?” เธอคือมิยูกินั่นเอง R.A ของเบ็น กลายเป็นว่าเธอนั้นทำงานเป็นผู้ช่วยของศาสตราจารย์ที่จัดการสัมมนานี้ขึ้นมา

‘เธอน่าจะเป็นคนที่ติดใบปลิวภายในหอพักแน่ๆ’ เบ็นเข้าใจทันที ทั้งสองคุยกันไม่กี่คำแล้วเขาก็เดินเข้าไปด้านในโดยไม่รบกวนงานของเธออีก

‘สูงมาก’ นั่นคือสิ่งแรกที่เขาเห็นภายในชั้นเรียนนี้ เขาตระหนักได้ทันทีว่าที่นี่ต่างจากที่อื่นๆภายในมหาวิทยาลัย เขาได้เข้ามาภายในห้องเลคเชอร์ขนาดใหญ่ ซึ่งสามารถรองรับนักเรียนได้นับร้อยคน แม้ว่าที่นี่จะได้ออกแบบมาเพื่อรองรับคนจำนวนมาก มันมีเพดานราวกับตึกสูงหลายชั้นเหมือนกับว่าเป็นห้องที่รองรับเสียงสะท้อนแบบพิเศษเพื่อสำหรับการพูด...และจากที่ได้ยินมาศาสตราจารย์ดูต้องการจะใช้ห้องห้องที่ดูมีบรรยากาศเข้มขรึมแบบนี้

ที่นั่งถูกจัดไว้เป็นครึ่งวงกลม และจุดสนใจหรือจุดพูดนั้นอยู่ด้านหน้า พวกมันมักจะถูกจับจองด้วยคนที่มาก่อนอยู่แล้ว ไม่กี่นาทีต่อมา คนที่ซื้อบัตรก็มาครบและศาสตราจารย์ก็ปิดประตูลง

มิยูกิเป็นคนสุดท้ายที่เดินเข้ามาและนั่งลงตรงที่ว่าง โดยบังเอิญมันคือที่นั่งข้างๆเบ็น “สวัสดีอีกครั้งนะคะคุณเบนจามิน” มิยูกิทักทายเขาด้วยรอยยิ้มอบอุ่น

เขาทักทายกลับไปด้วยรอยยิ้มจริงใจ ในขณะเดียวกันในความคิดของเขากำลังดีใจเหมือนคนบ้า เพราะความบังเอิญนี้ทำให้เบ็นได้สูดดมกลิ่นมะลิหอมๆลอยออกมาจากร่างกายของเธอ เขาไม่รู้ว่ามันเป็นกลิ่นธรรมชาติหรือกลิ่นน้ำหอม แต่เขาก็ไม่ได้สนใจเพราะมันดีต่อจมูกของเขา ชีวิตนี้ดีจริงๆ

ในขณะที่อีกด้านของมิยูกิชายหนุ่มกำลังหงุดหงิดและขมวดคิ้ว ‘ยัยนี่ทักทายเด็กนั่นก่อนฉันงั้นเหรอ ?’เขามีผมสีดำสั้นจมูกโด่งและเรียวยาวเหมือนงูเขานั้นอายุมากกว่าเบ็นอายุน่าจะพอๆมิยูกิ ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความเจ้าเล่ห์

มิยูกิหัวไปหาอีกฝ่าย พร้อมทักทายเขาด้วยเสียงเรียบ “สวัสดีอีกครั้ง...คุณแซ็กลี”

ในตอนนั้นท่าทางขมวดคิ้วของเขาถึงหายไป “สวัสดีมิยูกิ!” เขาตอบกลับด้วยน้ำเสียงโหยหาและเอนตัวเข้าไปใกล้เธอ เขานั้นพยายามจะชวนมิยูกิออกเดทเมื่อปีก่อน

แซ็กลีเองก็เป็น R.A เช่นกัน และเป็นผู้ช่วยศาสตราจารย์เช่นกัน เขามาที่นี่เพื่อช่วยเหลือศาสตราจารย์ เขาคิดมาตลอดว่าการที่มีหลายๆสิ่งคล้ายกันเขามักจะเอื้อต่อความสัมพันธ์ มิยูกิมักจะบอกเสมอว่าเธอไม่เดทกับเพื่อนร่วมงาน นั่นแม้งทำให้เขาแทบเป็นบ้า

แทนที่จะพูดกับเขาต่อ มิยูกิหันกลับมาหาเบ็น “คุณเบนจามิน คุณพบการสัมมนานี้ได้ยังไง?”

เบนจามินตอบไปว่าเขาพบจากใบปลิวบนลิฟท์ ซึ่งมิยูกิก็หัวเราะออกมาและบอกว่าเธอเป็นคนติดมันไว้อันเอง

พวกเขาทั้งคู่พูดคุยกันต่อ ทำให้ใบหน้าของแซ็คลีน่าเกลียดขึ้นเรื่อยๆ  ‘ไอ้เชี่ยนี่คือใครกัน?’

เมื่อทุกคนมีที่นั่งจนหมด ศาสตราจารย์ก็เดินไปอยู่ด้านหน้าและเริ่มพูดออกมา คำพูดของเขาคมคายและดึงดูดใจอย่างมาก เบ็นเข้าใจแล้วว่าทำไมเขาถึงมาสอนวิชานี้

เบ็นนำบัตรคูณค่าสถานะของเขาใส่ไว้ในเสื้อแจ็คเก็ต เขารอจนกระทั่งเขาจะสามารถใช้มันได้อย่างคุ้มค่าที่สุดภายในเวลา 7 วัน เมื่อไม่มีใครมองมาที่เขา เขาก็หยิบมันออกมา เขาได้ทดสอบก่อนหน้าแล้วว่าไม่มีใครสามารถเห็นสิ่งของจากระบบได้ รวมถึงหน้าจอระบบของเขาด้วย ทว่าคนอื่นๆก็ยังคงเห็นท่าทางของเขาเมื่อเขาทำมัน เขาพยายามระมัดระวังและไม่ต้องการเสียเวลาไปมากกว่านี้เขาเลยใช้มันทันที

*วูซซซ* ฮอร์โมนโดพามีนของเขาลุกโชนขึ้นราวกับไฟป่า! มันราวกับยาเสพติด! เหมือนตอนที่เขาใช้บัตรคูณค่าสถานะรูปร่างเลย มันกระตุ้นให้เขาอยากพัฒนาค่าเสน่ห์ ‘ฉันต้องการมีอิทธพล! กลายเป็นคนที่สร้างแรงบันดาลใจ! กลายเป็นคนที่มีเสน่ห์!’

เขากำลังพัฒนาความคิดกลายเป็นคนติดยา! เจ้าระบบนี่ต้องเป็นคนค้ายาที่น่ารังเกียจแน่ๆ!

เบ็นจินตนาการว่านี่เป็นการกระตุ้นให้นักต้มตุ๋มกลายเป็นนักการเมืองเมื่อตอนเริ่มต้นทำงานครั้งแรก

ในการสอนของศาสตราจารย์ เบ็นนั้นจดจำทุกคำพูด เขาจินตนาการว่าทุกตัวอักษรนั้นกลายเป็นบอลแสงและซึมเข้าสู่หัวของเขา ‘เอาเลย...มาเลยแด๊ดดี้...ป้อนมันมาเลย...อย่าหยุดพูดสิ...อย่าหยุด’ ดวงตาของเขาแดงก่ำพร้อมจ้องมองไปที่ศาสตราจารย์ราวกับกำลังมองนางแบบวิกตอเรียร์ซีเคร็ต

ศาสตราจารย์กลืนน้ำลายและคลายกระดุมที่คอเสื้อ กระดูกสันหลังของเขาหนาวสั่นราวกับถูกจ้องด้วยสัตว์ร้ายเลวทราม แต่ในฐานะของศาสตราจารย์เขานั้นไม่สนใจและเริ่มทำการอธิบายถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นในสัมมนาต่อ  โดยอย่างแรกเขาจะสอนถึงปัจจัยในการพูดเพื่อสร้างแรงบันดาลใจ และจากนั้นให้พวกเขาปฎิบัติในหลากหลายวิธี ในท้ายของสัปดาห์ทุกคนจำเป็นต้องพูดเพื่อสร้างแรงบันดาลใจและรับฟีดแบคกลับไปพัฒนา

ตอนนี้เอง ที่พวกเขาต้องเริ่มแนะนำตัวกันก่อน

ตอนนั้นศาสตราจารย์ก็พูดว่า “ทุกคนสิ่งแรกที่ฉันจะให้ทุกคนทำก็คืออธิบายตัวเองสั้นๆ พวกคุณอาจจะคิดว่านี่เป็นกิจกรรมแรกก็ได้”

แซ็คลีในฐานะที่เป็นผู้ช่วยอาจารย์เขาจึงเลือกคนที่จะพูด เขาเดินไปรอบห้องและชี้คนที่จะออกไปพูดตามแถวของเก้าอี้ โดยเบ็นที่นั่งอยู่หลังสุดก็ถูกเลือกให้เป็นหนึ่งในนั้นเช่นกัน

เขามักจะหลีกเลี่ยงในการพูดในที่สาธารณะเพราะผู้คนมักจะจ้องมองมาทางเขาและทำให้เขารู้สึกไม่สบายใจ เขามักจะโทรไปลาโรงเรียนโดยแกล้งบอกว่าเขาป่วยเมื่อเขามีพรีเซนต์ ด้วยเหตุนี้เขาเลยไม่ได้ทำมันมาหลายปีแล้ว ทว่าเขาก็ไม่ได้รู้สึกที่ต้องการจะหนี

เขาได้พูดกับสาวหลายคนในอาทิตย์ที่ผ่านมา การพูดหน้าชั้นก็คงแปลกนิดหน่อยเท่านั้น มันจะยากขนาดไหนกันเชียว?

เมื่อมาถึงตาเบ็น แซคลีก็ยิ้มออกมา เขาชี้ไปที่เบ็นและบอกให้เขายืนขึ้น เบ็นรู้แล้วว่าเขาควรพูดอะไร

ครู่หนึ่งเขาก็ลุกออกจากเก้าอี้ไป รอยยิ้มของเขาแข็งค้าง เขารู้สึกเหมือนถูกแช่แข็ง

คลื่นแห่งความกลัวกลืนกินร่างเขา ราวกับเห็นภัยพิบัติกำลังเข้ามาใกล้

*ตึก* *ตึก*

หัวใจของเขาราวกับจะระเบิดออกมาจากอก ปากของเขาแห้งกรัง ลมหายใจขาดห้วง ดวงตาของเขาเหมือนหลุดโพลนออกมา เขามองไปรอบห้องเพื่อหาสาเหตุ

เกิดอะไรขึ้นกันแน่?!? เขาตื่นตระหนกขึ้นมา

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด