ตอนที่แล้วตอนที่ 16 ลึกลงไปในพงไพร (Deep in the jangle) (2)
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 18 ยุทธการที่ยูทิก้า (Battle of Utica) (1)

ตอนที่ 17 สุดขอบพรมแดน (ฺBeyond Frontier)


สุดขอบพรมแดน

 (ฺBeyond Frontier)

ร่างอันไร้วิญญาณกองโถมกันมากมาย จนแทบจะกลายเป็นกองเนินขนาดย่อม ๆ ร่างกายเต็มไปด้วยบาดแผลยากที่จะระบุว่าใครเป็นใคร ไม่ว่าร่างเหล่านี้จะเป็น ชายหญิงเด็กหรือผู้ใหญ่ ล้วนแล้วถูกจับโยนมาไว้บนท่อนไม้ท่อนซุงที่กองอยู่บนพื้นดิน แม้ว่าร่างเหล่านี้จะไม่ได้มีแค่มิตรสหายแต่ยังมีศัตรูปรปักษ์รวมอยู่ด้วย มีเพียงหมวกที่ถูกเรียงไว้บนพื้นดิน เพื่อเป็นการไว้อาลัยแก่ผู้วายชนม์ฝั่งตน ไม่นานนักคบเพลิงที่ถูกจุดก็ถูกนำเข้าไปใกล้กองไม้เหล่านั้นเพื่อจุดเพลิงไฟให้รุกไม้เผาร่างเหล่านี้ ไม่มีพิธีทางศาสนาใดๆทั้งสิ้น ทิ้งไว้เพียงนํ้าตา คำอำลาจากปากของสหายผู้ร่วมเดินทางมาด้วย

ยามปกติหากผู้ใดสิ้นชีวิตจะต้องนำร่างผู้ตายกลับไปบ้านเกิดเพื่อทำพิธีทางศาสนาก่อนที่จะฝังลงพื้นดิน ส่วนข้าศึกนั้นมีเพียงไม่กี่คนที่รู้พิธีกรรม ท้ายที่สุดก็ต้องนำร่างทั้งหมดไปเผาที่เดียวกัน ผู้ที่เสนอการเผาศพคือ ลาส แม้ว่าจะมีการต่อต้านเรื่องการเผาร่างเหล่านี้จากสหายเพื่อนสนิทผู้ตาย แต่เหตุผลที่ลาสกล่าวมานั้นก็ไม่ผิดเสียทีเดียว หากจะเคลื่อนย้ายศพกลับนั้นก็หมายถึงต้อง นำศพเหล่านี้ไปกับกองกำลังด้วยแน่นอนว่ามันจะกระทบกับขวัญกำลังใจของทหาร และสิ่งสำคัญที่สุดโรคร้ายที่สามารถระบาดได้ พวกมันฆ่าชีวิตคนมากมาย บ้างทีอาจจะมากกว่าศึกสงครามเสียด้วยซํ้า

อย่างไรก็ตามเมื่อการเผาศพสําเร็จลุล่วง กองกำลังผสมก็เก็บอาวุธที่ตกค้างและของใช้จำเป็นของผู้ที่เสียชีวิตของทังสองฝ่ายก่อนจะได้ออกเดินทางอย่างรวดเร็ว ความเสียหายและความสูญเสียจากการลอบจู่โจมนั้นไม่ได้ร้ายแรงมาก ทหารอาสาสูญเสียไป 16 นาย ส่วนใหญ่ตกตายตอนถูกลอบโจมตีเฉียบพลัน ส่วนกองกำลังลีโอเนียสูญเสียเพียง 7 นาย แน่นอนว่าเป็นพวกที่ถูกลอบโจมตีจนไม่ทันได้ตั้งตัวนั้นเอง แม้ว่าตัวเลขจะน้อยแต่ผู้บาดเจ็บไม่ได้น้อยเลย ส่วน ข้าศึกนั้นมีอยู่เกือบครึ่งร้อย แม้ว่าจะถอนกำลังหนีไปแล้วแต่ส่วนใหญ่นั้นจะเสียเลือดตายกันมากกว่า

เรื่องกระสุนลูกกลมนั้นลาสได้พูดคุยและขอความร่วมมือกับพันโท แดเนีย และ หลายนายกองทั้งหลาย โดยที่ไม่ลืมทีจะเอ่ยพูดเรื่องของการลักลอบยุทโธปกรณ์ แม้หลายคนจะไม่ค่อยเชื่อเรื่องของลาสมากนัก แต่ถ้าเกิดว่าทหารอาสาไม่สามารถที่จะสู้รบได้นั้นหมายความว่าพวกเขาต้องสู้เพียงกำลังของตัวเอง

ลังกระสุนจึงถูกโอนแบ่งมาอยู่กับกองทหารอาสาบางส่วนเพื่อใช้ในสนามรบข้างหน้า  เมื่อทุกอย่างเรียบร้อยกองกำลังผสมก็ต้องเดินทางเพื่อที่จะไปให้ถึงยูทิกาโดยเร็ววัน

ในแถวทหารอาสา

ชายผู้มีผมสีขี้เถาอ่อนกำลังนำทัพอาสาอยู่บนหลังม้านั้นคือ ร้อยโท ดักลาส พร้อมกับ พลทหาร บูลล์ ซึ่งกำลังจะถูกเลื่อนยศมเป็น สิบตรี หลังจากที่ สิบตรีประจำหน่วยพึ่งเสียชีวิตไปเมื่อศึกป้องกันตัวเองคราวที่แล้ว ทั้งสองกำลังสนทนากันอยู่ด้วยสีหน้าที่ไม่ดีนัก

“ พวกที่โจมตีพวกเรา พอจะทราบไหมว่าเป็นเผ่าไหน?” ลาสถาม

“คิดว่าน่าจะเป็น ลูกหลานของพาวนี่ พวกเขาล้วนมีรูปร่างครึ่งมนุษย์ครึ่งสัตว์ป่า เป็นนักล่าและนักรบตั้งแต่เกิด ยามศึกเมื่อครู่ น่าจะเห็นแล้วว่าพวกเขาถูกลูกปืนไปแล้วยังคงวิ่งอย่างไร้สติไม่สนอะไรทั้งสิ้น” บูลล์ชะชักเล็กน้อย “พวกเขาไม่ได้นับถือลานาเจือหรืออูต้านกี้ ผมเลยไม่รู้อะไรมากนัก”

“ไม่เป็นไร ขอบคุณที่บอก โชคยังดีที่นายไม่ได้รับบาดเจ็บอะไรมาก ไม่งั้นฉันคงเสียใจแย่”

ลาสครุ่นคิดเล็กน้อย นักรบพาวนี่ที่บูลล์กล่าวมานั้นดูท่าแล้วคงจะไม่ได้อยู่แถบนี้นั้นหมายความว่าพวกเขามาจากเขตนอกสำรวจที่ไกลอย่างมาก ซึ่งสร้างความ กลัวให้กับลาสพอสมควร เผ่าซู ณ ปัจจุบันนั้นไม่ได้มีเพียงเผ่าซูเผ่าเดี่ยวหากแต่มีเผ่าเล็กใหญ่กำลังเข้ารวมอย่างเปิดเผย แสดงให้เห็นถึงการต่อต้านอย่างรุ่นแรงของชนพื้นเมือง

ไม่แน่ ชนพื้นเมืองเหล่านี้อาจจะรวบรวมนักรบได้มากกว่าหนึ่งพันกว่าคนก็เป็นไปได้ หรืออาจสูงถึงครึ่งหมื่นไปเสียแล้วกระมัง ถ้าเป็นเช่นนั้นพวกเขาคงถูกกองกำลังที่ล้นหลามล้อมสังหารหมู่เป็นแน่ เนื่องจากเหตุลอบโจมตี ทำให้กองร้อยทั้งสี่ต้องสูญเสียทหารไป จาก 800 กว่านาย ตอนนี้เหลือราว 770 ที่พร้อมสู้จริงๆ กองกำลังผสมนี้ประกอบไปด้วย ทหารอาสา 184 นาย บาดเจ็บอีกราวสิบ กองกำลังจากลีโอเนีย 593 นาย

อย่างไรก็ตามกองกำลังลีโอเนียนั้นมียุทโธปกรณ์พร้อมเพรียง รวมไปถึงการฝึกที่ดีจึงสามารถพูดได้ว่าพวกเขาพร้อมที่จะสู้รบได้ในทันทีและลดความสูญเสียได้เยอะ

ลาสได้แต่ถอนหายใจกับความคิดของตน ความกังวลของเขาสูงมากจนทำให้ความรู้สึกปวดท้องน้อย จนต้องนำมือมากดไว้ เมื่อหันไปมองข้างหลังกองทหารอาสาของเขา ก็เห็นเพียงสีหน้าที่ตื่นตัวไม่ลดการ์ดปล่อยว่างเหมือนตอนแรกที่เดินทัพด้วยซํ่า มันก็ดีอยู่หรอกแต่ถ้าเกิดพวกเขาเครียดเกินไปมีหวังเจ้าพวกนี้จะมีภาวะป่วยทางจิตจากเหตุการณ์รุนแรงเสียแล้วกระมัง ให้ตายสิจบงานนี้เมื่อไร

 คงต้องหายาพารามากินซะแล้วสิ

..

.

.

ใช้เวลาไม่นานก็พ้นเขตป่าไม้ ด้านหน้าเป็นทุ่งกว้าง เส้นทางสายนํ้าฮอว์กลากยาวจากที่ๆจากมาถึงชุมชนถิ่นฐานขนาดกลาง บ้านทำจากไม้เรียงกันเป็นระเบียบ ตรงข้ามอีกฝั่งของแม่นํ้าฮอว์กเป็นป้อมไม้ขนาดเล็กที่สามารถจุกมนุษย์ได้ทั้งหมู่บ้าน ที่น่าแปลกคือทำไม ไม่ไก้สร้างกำแพงล้อมรอบตัวเมืองทำไมต้องสร้างแยกกันด้วย แม่จะมีคำถามแต่คงต้องถามผู้ริเริ่มตั้งถิ่นฐานผู้แรก

เสียงปืนดังขึ้นพร้อมความตกใจของทหารที่เดินทัพกันอยู่ กระสุนลูกกลมตัดผ่านอากาศพุ่งลงไปที่พื้นดินตรงหน้าพวกเขา เสียงกระทบกับพื้นดังสนั่น พร้อมเสียงเตือนให้หยุดเดิน

“หากก้าวท้าวเข้ามาอีก ข้าจะยิงเจ้าให้ตกตายเสีย!” เสียงวัยชราดังขึ้นจากฝั่งชุมชนตรงหน้า ผมสีเถาขาว ใบหน้าเหี่ยวย่น แต่ร่างกายของชายชรานั้นมีรูปร่างที่ดูใหญ่กว่าคนทั่วไป เรียกได้ว่ายังคงมีร่างกายที่แข็งแรงกว่าคนทั่วไปได้ สายตาของเขานั้นยังคงเรียบดุดั่งราชสีห์ เขาหยิบอาวุธปืนจากชายอีกคนข้างๆที่เป็นครึ่งมนุษย์ครึ่งสัตว์ ก่อนจะชี้ปืนกระบอกใหม่มาที่กองทหารตรงหน้า

ไม่นานนักผู้อยู่อาศัยที่เป็นชายฉกรรจ์ก็วิ่งออกมาพร้อมอาวุธในมือความตึงเครียดจึงบังเกิดทันทีเมื่อทั้งสองฝ่ายยกอาวุธหมายที่จะหํ้าหั่นกัน เมื่อเห็นว่ามันเริ่มที่จะสถานการณ์เริ่มที่จะชุลมุน ลาสจึ่งรีบพุ่งไปที่ด้านหน้าพร้อมตะโกน

“หยุดก่อน ๆ พวกท่านอย่าพึ่งฆ่ากัน” ลาสที่โผล่มาตรงกลางระหว่างทั้งสองก็ได้ลงจากม้าก่อนที่จะยกมือทั้งสองข้างขึ้นมาเหนือหัวห้ามปรามทั้งสอง เมื่อเห็นฝั่งชาวบ้านเริ่มลดอาวุธของตนลาสก็พูดแก้ต่อ

“ใจเย็นก่อน พวกเราไม่ใช่ศัตรูของท่าน โปรดลดปืนลงก่อน” ลาสพยายามกล่าวให้ฝั่งตรงข้ามใจเย็นลง

“พวกเจ้าคือทหารอาสา?” ชายชราชะงัก “เช่นนั้นทำไมไม่ชูธงอาณานิคมแถวหน้าล่ะ”

“ต้องขออภัย ทหารอาสาไม่ได้อยู่แนวหน้า แถวหน้าเป็นทหารจากสหจักรวรรดิดลโอเนีย” ลาสตอบพร้อมกับเหล่านายกองจากลีโอเนียที่ขี่ม้าออกมาข้างหน้า พันโท แดเนีย ลงมจากม้าของตนก่อนที่จะเดินมาหาชายชรา

“กรมทหารเท้าที่ 24 เซอร์เบอรัสที่ 3 (24th ‘3st Cerberus' Regiment of Foot) ผสม กองกำลังอาสาบอสตัน (Boston Volunteer Force) ได้รับคำสั่งจาก พันเอก เซอร์ กาย ดิ ดับลินท์ ให้มากำจัดผู้บุกรุกในพื้นที่ของสหจักรวรรดิ ซึ่งเป็นพวกคนป่าเถื่อนไร้อารยะอันเป็นภัยต่อพลเรือนชาวอาณานิคม จงให้ความร่วมมือกับทหารในการรบสุดความสามารถในฐานะผู้จงรักภักดีของสหจักรวรรดิและองค์พระจักรพรรดิ  ”

พันโท แดเนียที่กล่าวคำสั่งจากผู้บัญชาการสูงสุดของกองทหารที่ถูกส่งมาจากลีโอเนีย พร้อมชูเอกสารใบหนึ่งขึ้น เอกสารใบนั้นคือคำสั่งที่ถูกเขียนโดย พันเอก กาย ดิ ดับลินท์ เมื่อเห็นว่ามันเป็นของจริงเหล่ากลุ่มชาวบ้านติดอาวุธก็ลดปืนของตนลง ชายชราก็ไม่เว้น

“พวกเราไม่ต้อนรับพวกโลกเก่า ถ้าไม่ติดว่าทหารอาสามาด้วยแล้วล่ะก็ ข้าคงไล่พวกเจ้าไปแล้ว” ชายชรานั้นกล่าวด้วยนํ้าเสียงที่หยิ่งยโสและสายตาที่มองเหล่านายทหารสหจักรวรรดินั้นก็ไม่ได้ดีอีกด้วย แน่นอนว่ามันทำให้เหล่าชาวลีโอเนียบ้างคนถึงกับเดือดพล่านกล่าวว่าชายชราคนนั้น ซึ่งผู้ที่กล่าวว่าร้ายนั้นคือนายกองคนหนึ่ง

“เป็นแค่ชาวอาณานิคมที่ไร้อารยะแท้ๆ อย่าทำเป็นอวดดีเลย ถ้าพวกข้าไม่มาที่แห่งนี้ พวกแกคงได้ถูกพวกป่าเถื่อนในป่าฆ่าตายหมดยกหมู่บ้านไปแล้ว”

โชคยังดีที่ร้อยเอก จอห์น หักห้ามได้ไว้ก่อนที่เรื่องจะบานปลาย ทางฝั่งของชายชรานั้นไม่ได้พูดะไรต่อพวกเขาเพียงเชิญเข้าไปที่ป้อมไม้ที่มีนามว่า ป้อมเล็กยูทิก้า ซึ่งเป็นเขตป้องกันของหชุมชนยูทิก้า ข้างในนั้นกว้างพอที่จะจุคนทั้งหมู่บ้านได้ เมื่อเข้าไปข้างในแล้วก็พบเหล่ากลุ่มติดอาวุธเกือบร้อยคนอยู่ในป้อมแห่งนี้ พวกเขาคือกองกำลังติดอาวุธรักษาการณ์ของรัฐเบอร์เกน แม้ว่าการที่ผู้รัฐอาณานิคมจะมีกองกำลังของตัวเองนั้นยังคงผิดกฎหมายของสหจักรวรรดิ แต่การที่จะมาลงโทษดินแดนที่ห่างไกลความเจริญนั้นยากที่ทำได้ แต่หากกองกำลังเหล่านี้เติบโตเกินไปแล้วล่ะก็ ดินแดนแม่คงไม่อยู่เฉยเป็นแน่

เมื่อเหล่าผู้บัญชาการของลีโอเนียหันไปเห็นสิ่งที่อยู่บนกำแพง ก็ทำให้พวกเขาตกใจอย่างมาก บนกำแพงนั้นมีปืนใหญ่ขนาดสามปอนด์ตั้งอยู่จำนวน 3 กระบอก เห็นเช่นนั้นพันโท แดเนีย จึงได้เอ่ยถามถึงเรื่องปืนใหญ่จากผู้นำกองกำลังติดอาวุธรัฐเบอร์เกน ส่วนคำตอบที่ได้มานั้นคือ ทางครอบครัวผู้ปกครองรัฐเบอร์เกนได้ซื้อจากสมาพันธ์การค้า แต่พวกเขาบอกมากว่านี้ไม่ได้เนื่องจากว่า ตัวเขาก็ไม่ใช่เจ้าของปืนตัวนี้

อย่างไรก็ตาม เรื่องอาวุธที่ถูกครอบครองโดยชาวอาณานิคมนั้นก็ไม่ได้เป็นเรื่องใหญ่มากหากแต่ต้องเขียนรายงานส่ง พันเอก เท่านั้น แต่ถ้าหากพวกเขาสะสมอาวุธมากกว่าที่กำหนดแล้วล่ะก็คงไม่พ้นการถูกกวาดล้างปราบปรามเป็นแน่

กองกำลังผสมได้ตั้งค่ายข้างในป้อมยูทิก้าเสร็จแล้วเป็นที่เรียบร้อย ด้วยความเหนื่อยล้าจากเดินทัพและการศึกที่เกิดขึ้น อย่างน้อยพวกเขาก็จะได้พักสักหน่อยก็ยังดี ส่วนเหล่านายกองผู้หมวดและผู้นำบัญชาการทั้งหลายของทั้งกองกำลังผสมและกองกำลังติดอาวุธก็ได้อยู่ที่ห้องโถงใหญ่ในป้อม พร้อมที่จะเปิดการประชุม โดยที่ในห้องนั้นมีโต๊ะขนาดใหญ่ถูกวางไว้ตรงกลางห้องพร้อมแผนที่และตัวหมากสำรับระบุกองร้อยแต่ละคนวางอยู่บนแผนที่นั้น

..ศักราชแห่งอองโทรานที่ 3924 เดือนตุลาคมที่ 28

ตั้งแต่ที่ลาสได้ตื่นขึ้นบนดินแดนอันเป็นปริศนา ตัวเขาก็ได้เรียนรู้อารายธรรมแถบนี้เกือบเดือนได้แล้ว นั้นหมายความว่าตัวเขาได้มาอยู่บนดาวเคราะห์ที่มีชื่อว่า อองโทรานได้จะครบหนึ่งเดือนแล้ว ตัวเขานั้นเรียนรู้ภาษาและความเป็นอยู่ทีล้าสมัยได้อย่างรวดเร็วมาก วันนี้เป็นวันที่ 28 เดือนตุลาคม ปี 3924 นับตาม ประวัติอันยาวนานตั้งแต่ ฟินิเธจ ล้มสลาย เดือนและวันยังคงใช้เหมือนกกับโลกเดินของตัวเขา รวมไปถึงศาสตร์ต่างๆที่ยังคงมีได้เห็นอยู่แม้ว่าความรู้ที่นี้จะไม่ได้มากมายกว่าโลกเดิมของเขา แต่มันก็มีสิ่งที่ทำให้นักวิทยาศาสตร์ต้องตกตะลึงคงไม่พ้นเรื่องศาสตร์ เวทมนตร์ ที่ฉีกสามัญสำนึกของลาสไปในรอบแรกที่เจอกับมัน รวมไปถึงความคิดที่ว่ามนุษย์เป็นสัตว์โลกชนิดเดียวที่มีสติปัญญา ที่รู้จักใช้เหตุผลและมีจิตใจ เพราะตอนนี้กลับมีสิ่งมีชีวิตที่มีสติปัญญาเก่ากับเรื่องมากว่ามนุษย์เต็มไปหมด สิ่งที่คนสมัยก่อนเลยเล่าตามนิทาน วรรคดี หรือ ตำนานต่างๆ ไม่ก็เรื่องราวในจินตนาการที่ถูกคิดค้นขึ้นในปัจจุบัน ล้วนสามารถพบเรื่องราวที่มีจริงๆของมันได้ในหน้าประวัติศาสตร์ทั่วไปของ อองโทราน

การประชุมในวันนี้ลาสได้เข้ารวมด้วยเหตุเนื่องจาก พรุ่งนี้นั้นเป็นวันที่หน้าประวัติศาสร์จะได้ถูกบันทึกลงในหน้ากระดาษ การรบที่ควรจะเกิดขึ้นในวันพรุ่งนี้มันเป็นตัวตัดสิ้นชีวิตของเขาว่าจะมีชีวิตรอดหรือไม่ ผู้เป็นประธานในการประชุมครั้งนี้คือ พันโท แดเนีย ว่าแล้วเขาก็เปิดวาระการประชุมในคราวนี้ทันที

“ขอบคุณทุกท่านทีมาประชุมในครั้งนี้ เนื่องจากกลุ่มนักสำรวจได้แยกกับทางเราแล้ว จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะยืมตัวผู้ใช้เวทได้เลย เหตุผลที่สองคือ หน่วยสำรวจที่ส่งไปนั้นกลับมาเพียงไม่กี่คน พวกเขาพบเพียงว่ากองกำลังชนพื้นเมืองนั้นกำลังเดินทางมาที่ราบฝั่งหมู่บ้าน เพราะฉะนั้นเราไม่อาจจะใช้ป้อมในการรบครั้งนี้ได้เลย” พันโทแดเนียกล่าวเป็นกังวล

“แต่เราก็ไม่ควรทิ้งป้อมไม้ ข้าคิดว่าพวกมันอาจจะแยกมายึดป้อมก็เป็นได้” ร้อยเอก แอมโบรส ตอบตามสถานการณ์ก่อนจะหันไปถาผู้นำกองกำลังติดอาวุธรัฐเบอร์เกน “ปล่อยให้เป็นหน้าที่กองกำลังรักษาการณ์จะได้หรือไม่” เมื่อได้ยินเช่นนั้นเขาคิดเล็กน้อยแต่ก็พยักหน้าตอบกลับไปเป็นอันตกลง

“งั้นต่อไปจะเป็นเรื่องกำลังพลฝ่ายตรงข้าม เพราะข้อมูลมีน้อยเกินไป เลยไม่สามารถที่จะจัดแนวรบแล้วดึงมีประสิทธิภาพออกมาได้”

พันโทแดเนียบอกปัญหาที่สำคัญอย่างมากเนื่องจากการรบนั้นจำเป็นต้องจัดแถวยิงวอลเลย์หากจัดพลาดอาจถูกล้อมได้ แน่นอนว่ามันเป็นเรื่องยากที่จะปะทะตรงๆโดยที่ไม่รู้ขนาดกองทัพฝ่ายตรงข้าม การถกเถียงประเด็นหัวข้อจัดทัพจึงได้เริ่มขึ้น การตอบโต้ของเหล่าผู้กองและคนสนับสนุนของแต่ละฝ่าย ไม่สามารถที่จะหาข้อสรุปได้เลยแม้แต่น้อย เนื่องจากความเสี่ยงและความกังวัล คนเหล่านี้ครุ่นคิดหารือกันอย่างจริงจัง แสดงให้เห็นว่าพวกเขาไม่ได้มองว่าอีกฝ่ายอ่อนด้อยหรือประเมินตํ่าเกินไปแต่อย่างไร ความรอบคอบเป็นคุณธรรมที่ควรเคารพ

เช่นนั้นเองที่ลาสได้นึกถึงภาพ ๆ หนึ่ง ตอนที่ได้เข้ามาในป้อมแห่งนี้

ปืนใหญ่ที่อยู่บนกำแพงนั้น พวกเราใช้มันในศึกอีกฝั่งของป้อมจะได้ไหม

---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด