ตอนที่แล้วบทที่ 13 คำถามและคำตอบ
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 15 อีกด้านหนึง

บทที่ 14 อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด


(Editor note :เซพิน เปลียนเป็น เซปิน)

ตอนนี้คุณปู่วิริออน เทสเซีย ริเนียและฉันนั่งอยู่รอบๆ โต๊ะทรงกลมที่มีโถน้ำอยู่ตรงกลาง

“อืม…คุณริเนีย? คุณบอกว่าคุณเป็นนักทำนายใช่มั้ย? ผมไม่ค่อยเข้าใจกับสิ่งที่คุณทำได้ แต่ตาแก่บอกว่าผมจะรับรู้ได้ว่าพ่อแม่ของผมสบายดีหรือเปล่าเมื่อได้พบกับคุณ”

ฉันถามจ้องไปที่โถน้ำอย่างอยากรู้อยากเห็น

“คิคิคิ! ตาแก่เหรอ? วิริออนนายโอเคจริงๆหรือที่จะปล่อยให้เด็กอย่างเขาเรียกนายว่าอย่างนั้น”

เธอพูดอย่างสงสัย

“ห๊ะ! เขาเป็นข้อยกเว้น! ถ้าไอ้เด็กคนอื่นกล้าเรียกฉันว่าปู่ฉันจะให้พวกมันห้อยหัวลงและฟาดด้วยกระบองเพชร!”

เขายิ้มกลับมองมาที่ฉัน

บรรยายได้เจ็บปวดแค่ไหน

เธอตะคอก "ไอ้เด็กน้อย! นายยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าพ่อแม่ของนายอยู่ที่ไหน แต่นายต้องการเดินทางไปทั่วเซปินเพื่อจะตามหาพวกเขาแล้วกลับมาฝึก? นายคงตายไปก่อนที่จะกลับมาที่นี่ด้วยซ้ำ”

ฉันมองไปที่คุณปู่วิริออนและสงสัยว่าเขาได้บอกเธอไหม? ราวกับว่าเขารู้ว่าฉันคิดอะไรอยู่เขาหัวเราะเบา ๆ

“ฉันไม่ได้บอกเรื่องนี้กับรีเนียเลย มีไม่อะไรที่นายจะซ่อนจากเธอได้ โดยปกติแล้วเธอจะไม่กังวลกับการยุ่งเรื่องส่วนตัว อะไรทำให้ยายแก่มีอาการอยากเสือกขนาดนี่หรือรีเนีย?”

ตาแก่กล่าวพร้อมกับจ้องมองไปที่หญิงชราอย่างเป็นห่วง

“นายและฉันต่างก็รู้ว่าเขาพิเศษ ที่จริงแล้วพิเศษมากจนมีบางส่วนในชีวิตของเขาที่ฉันมองไม่เห็น อาเธอร์ไม่ว่าสัตว์มานาใดก็ตามที่ส่งเจตจำนงให้นายมันไม่ใช่สัตว์มานาธรรมดๆา การจำกัดเขาไว้แค่ที่คลาส SS มันไม่ยุติธรรม”

เธอไตร่ตรองสักหน่อยก่อนจะพูดต่อ

“เพียงพอแล้วสำหรับเรื่องนั้น อาเธอร์นายมาที่นี่เพื่อพบพ่อแม่ของนายนั่นคือสิ่งที่ฉันจะช่วยนายเอง หลับตาสักครู่แล้วนึกภาพพ่อแม่ เน้นที่รูปลักษณ์และรูปแบบมานาของพวกเขา ฉันจะจัดการส่วนที่เหลือเอง”

ฉันหลับตาและจินตนาการถึงตอนที่ฉันมีทั้งคู่อยู่พร้อมกัน พ่อของฉันบาดเจ็บสาหัสและแม่ของฉันก็กำลังรักษาเขา

“โอเคลืมตาได้แล้ว”

ฉันมองไปที่เธอและเห็นสีของดวงตาของเธอที่หมุนวน น้ำลอยออกมาจากโถและหมุนไปรอบๆ จนกลายเป็นเกลียว ทันใดนั้นฉันก็เห็นพ่อแม่ของฉันอยู่ในน้ำ

เก้าอี้ที่ฉันนั่งอยู่ถูกพลิกไปด้านหลังในขณะที่ฉันลุกขึ้นโดยเอนตัวไปใกล้กับโต๊ะ ฉันเห็นแม่และพ่ออยู่ด้วยกันนั่งอยู่รอบโต๊ะอาหาร ดูเหมือนจะไม่ใช่บ้านของเราในแอชเบอร์ หน้าแม่ของฉันซีดลงเล็กน้อยและกำลังพูดบางอย่างกับพ่อของฉัน ฉันเห็นว่าเธอน้ำหนักลดลงเล็กน้อยแต่เธอยังดูสุขภาพดี ส่วนท้องของเธอ! เห็นได้ชัดว่าตอนนี้เธอตั้งครรภ์โดยมีส่วนที่เห็นได้ชัดเจนบนหน้าท้อง พ่อของฉันดูเหมือนเดิม! ตอนนี้เขาสวมเครื่องแบบบางอย่างและไว้หนวดเคราตอนนี้ฉันรู้สึกน้ำตาเริ่มไหลอย่างควบคุมไม่ได้เพราะฉันไม่กล้าละสายตาจากภาพของพ่อแม่

พวกเขายังมีชีวิตอยู่! พวกเขาทำได้ดี! พวกเขาสบายดี

“ขอบคุณผู้อาวุโสรีเนียขอบคุณจริงๆสำหรับสิ่งนี้”

ฉันขอบคุณ

เธอดูอึดอัดเล็กน้อยในความจริงใจของฉันและโบกมือให้

“อะแฮ่ม! ให้ฉันดูก่อนว่าตอนนี้พวกเขาอยู่ที่ไหน”

ภาพนั้นซูมออกและฉันสามารถมองเห็นด้านนอกของที่ที่พวกเขาอาศัยอยู่ อย่างที่ฉันสงสัยมันไม่ใช่บ้านของเราในแอชเบอร์แน่ๆ เมื่อซูมออกมากขึ้นฉันก็เห็นเค้าโครงของเมืองที่พวกเขาอาศัยอยู่

“ดูเหมือนว่าพวกเขาได้สร้างบ้านอยู่ที่ไซรัสแล้ว นั่นทำให้สิ่งต่างๆง่ายขึ้นสำหรับเรา”

เธอดูด้วยสีหน้าโล่งใจ

เห็นได้ชัดว่าเทสส์กลัวว่าฉันจะร้องไห้เธอเลยตบหลังฉัน แต่เธอไม่ได้ละสายตาจากน้ำที่หมุนวน

“พ่อแม่ของอาร์ตเหรอ?…”

ฉันได้ยินเธอพึมพำเบา ๆ

คุณปู่วิริออนปรบมือกันแล้วลุกขึ้นยืน

"โอเค! อาเธอร์! ได้เวลาบอกให้พ่อแม่ของนายให้รู้ว่านายยังมีชีวิตอยู่!”

ตามคำพูดของคุณปู่วิริออนมีกฎระเบียบที่เข้มงวดมากสำหรับการสื่อสารระหว่างราชอาณาจักรเอเลนนัวร์และเซปิน อย่างไรก็ตามริเนียซึ่งเป็นดิวายเนอร์ทำให้อาณาจักรเซปินไม่สามารถตรวจพบได้ ทำให้พวกเราไร้การควบคุมในแง่หนึ่ง

“กระบวนการนี้จะทำงานเช่นนี้ ฉันจะถ่ายมานาของฉันให้กับนายโดยสร้างลิงค์ชั่วคราว เมื่อฉันส่งสัญญาณ นายก็เริ่มพูดคุยกับพ่อแม่ของนายได้ สิ่งสำคัญคือพวกเขาจะได้ยินเสียงของนายในหัวดังนั้นพวกเขาอาจไม่เชื่อในสิ่งที่นายพูดในตอนแรก อย่าลืมทำให้พวกเขาเชื่อว่านั่นคือนายจริงๆที่พูดกับพวกเขา พวกเขาจะได้ไม่เป็นบ้า อย่าลืมว่าเรากำลังทำสิ่งนี้เพื่อทำให้พวกเขารู้ว่านายยังมีชีวิตอยู่ ฉันจะเปล่งเสียงของนายเข้าไปในคิดของทั้งพ่อและแม่ของนายโดยตรง ฉันไม่สามารถเชื่อมต่อได้นานดังนั้นให้พูดสิ่งทีนายต้องการภายในสองนาที”

เธอกล่าวพร้อมกับจ้องมองอย่างจริงจังจากดวงตาของเธอ

พยักหน้าและฉันก็เตรียมตัวเช่นกัน

“เริ่ม…เดี๋ยวนี้!”

ทั้งตัวของเธอเริ่มเปล่งประกายเป็นสีเดียวกับดวงตาของเธอและฉันก็เห็นแสงแบบเดียวกันที่แผ่มาที่ตัวของฉันเช่นกัน

หายใจเข้าลึกๆ ฉันเริ่มพูด

สวัสดีครับแม่สวัสดีครับพ่อ ผมอาเธอร์ลูกชายของคุณ พ่อกับแม่คงแปลกใจจริงๆที่ได้ยินเสียงของผมอยู่ในหัวใช่มั้ย? มีเหตุผลสำหรับเรื่องนี้ ก่อนหน้านั้นผมอยากให้พ่อกับแม่รู้ว่าผมยังมีชีวิตอยู่และปลอดภัยดี อีกครั้งผมยังมีชีวิตอยู่และสบายดี ผมสามารถเอาชีวิตรอดจากการตกจากหน้าผาได้และตอนนี้ผมอาศัยอยู่ในราชอาณาจักรเอเลนนัวร์กับพวกเอลฟ์ โปรดอย่าบอกเรื่องนี้กับใครอีก ผมมีเวลาไม่มากดังนั้นผมจะพูดเฉพาะสิ่งที่สำคัญที่สุดเท่านั้น คนที่ช่วยผมเป็นดีวีเอินทเหมือนแม่ยกเว้นเธอเป็นนักทำนายดังนั้นผมจึงสามารถเห็นได้ว่าตอนนี้พ่อกับแม่กำลังทำอะไรอยู่เช่นกัน เธอยังเป็นคนที่ทำให้พ่อกับแม่ได้ยินเสียงของผม ผมต้องการกลับไปหาพ่อกับแม่โดยเร็วที่สุด แต่ตอนนี้ผมทำไม่ได้ ผมไม่ปลอดภัยในขณะนี้ ผมมีอาการผิดปกติ ... ภายในร่างกายของผม มีบางอย่างที่ต้องกำจัดก่อนที่จะกลับไปได้ ไม่ต้องกังวลตราบใดที่ผมอยู่ที่นี่พวกเอลฟ์ขะดูแลผม โปรดอย่ากังวล ผมไม่รู้ว่าจะสามารถคุยกับพ่อและแม่แบบนี้ได้อีกเมื่อไหร่ แต่สิ่งที่สำคัญคือผมยังมีชีวิตอยู่และผมรู้ว่าพ่อกับแม่ก็เช่นกัน พ่อกับแม่พวกคุณทั้งสองคนควรจะได้ยินเสียงของผมตอนนี้ดังนั้นโปรดยืนยันกันหากพ่อกับแม่ยังไม่สามารถเชื่อเรื่องนี้ได้ จำไว้; อย่าบอกใครว่าตอนนี้ผมอยู่ที่ไหน จะดีถ้าจะแกล้งทำเป็นว่าผมได้ตายไปแล้ว เพื่อทำสิ่งต่างๆให้ง่ายขึ้น อาจต้องใช้เวลาหลายเดือนหรือหลายปีก่อนที่ผมจะสามารถกลับไปได้ แต่ต้องแน่ใจว่าผมจะได้กลับบ้าน ผมรักพ่อกับแม่ * ร้องไห้ * มากและคิดถึงเสมอ อยู่อย่างปลอดภัย ส่วนพ่อดูแลแม่และลูกน้อยของผมให้ปลอดภัย แม่ครับ * ร้อง * ทำให้แน่ใจนะว่าพ่อไม่ทำเรื่องเดือดร้อน จากลูกชายของคุณอาร์ต”

ฉันมีปัญหาในการลืมตาจากน้ำตาที่ไหลรินอย่างต่อเนื่อง ฉันเพียงแค่ยืนนิ่ง ๆ ขยี้ตาเหมือนกับว่าได้ทำทุกอย่างเท่าที่ทำได้แล้ว แสงเรืองรองจางหายไปรอบๆ ตัวเราและผู้อาวุโสรีเนียก็ทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้ของเธอ เธอเหงื่อออกและหน้าซีด

“ผู้อาวุโสริเนียผมไม่รู้จะขอบคุณยังไงสำหรับเรื่องนี้”

ฉันพยายามจะพูด

“ฝึกฝนให้ดีและทะนุถนอมคนใกล้ชิดต่อไปเด็กน้อย นั่นคือสิ่งที่นายจะตอบแทนฉันได้ นอกจากนี้! อย่าลืมแวะเข้ามาเป็นครั้งคราว คุณยายคนนี้เหงาคิคิคิ ~!”

เธอตอบด้วยรอยยิ้มที่อ่อนแอ

ฉันกอดเธอแน่นทำให้เธอแทบกระโดดในที่สุดเธอก็ยอมจำนนต่อความน่ารักของฉันและกอดฉันเป็นการตอบแทนก่อนที่จะไล่พวกเราทั้งหมดออกไป

ในขณะที่เรากำลังเดินออกไปฉันสังเกตเห็นเทสส์หน้ามุ่ยเล็กน้อยและมองไปที่หน้าอกของฉัน

_____________________________________________

เมื่อถึงเวลาที่เรากลับมาถึงปราสาทก็มืดแล้ว สาวใช้ทักทายเราเมื่อมาถึง แต่ก่อนที่ฉันจะมีโอกาสกลับเข้าไปในห้องของฉัน ฉันได้เห็นราชาและราชินี

พระราชาเข้ามาหาฉันก่อน

“อาเธอร์ฉันรู้ว่าคุณได้ยินสิ่งที่เราพูดก่อนหน้านี้ในวันนี้และฉันขอโทษสำหรับเรื่องนั้น หลายปีของการเป็นราชาทำให้ฉันล้าสมัยไปหน่อยและฉันก็พูดอย่างไม่มีเหตุผลว่าคุณไม่ได้เป็นสมาชิกที่นี่”

ราชินีพูดต่อจากสามีของเธอโดยจับมือของฉันไว้กับเธอ

“ตอนนี้คุณเป็นศิษย์คนแรกของผู้อาวุโสวิริออนสิ่งนี้เป็นเหตุผลมากเกินพอที่เราทุกคนจะยอมรับคุณ แม้ว่าจะไม่มีข้อเท็จจริงนั้น แต่คุณก็ยังช่วยลูกสาวของเรา โปรดทำตัวเหมือนว่าที่นี่เป็นบ้านของคุณนะ ฉันรู้ว่าคุณคิดถึงพ่อแม่ของคุณมาก แต่ถ้าฉันสามารถปลอบใจได้ก็อย่าลังเลและปฏิบัติต่อฉันเหมือนเป็นแม่ของคุณเอง”

เธอกล่าวพร้อมกับยิ้มอย่างจริงใจ

"พ่อ! แม่! …”

เทสพูดพร้อมกับเอามือปิดปาก จากนั้นเธอก็วิ่งไปหาพวกเขาและกอดพวกเขาทั้งสอง

ฉันยิ้มขอบคุณพวกเขาเช่นกัน พวกเขาเป็นคนดี คนดีที่อยากจะดูแลอาณาจักรของตน

คุณปู่วิริออนยิ้มอยู่ข้างหลังพวกเราอย่างเห็นด้วยก่อนจะอุทานว่า

"ไอ้เด็กบ้า! การฝึกจะเริ่มในวันพรุ่งนี้ดังนั้นควรนอนให้เร็ว!

____________________________________________________________

ฉันตื่นขึ้นมาจากความเจ็บปวดที่ปกคลุมไปทั่วร่างกายของฉัน เหงื่อเย็น ๆ ปกคลุมร่างกายของฉัน ในขณะที่ความรู้สึกแสบร้อนในร่างกายของฉันปวดรุนแรงมากขึ้น

“อ๊าก!”

ฉันพยุงร่างของฉันแน่น พยายามอดกลั้นเมื่อจู่ๆประตูก็เปิดออกและคุณปู่วิริออนก็วิ่งมาหาฉัน

“แย่ลงเรื่อยๆ …”

เขาวางมือทั้งสองข้างบนกระดูกอกของฉันซึ่งเป็นที่ตั้งของแกนมานาของฉันก่อนที่จะเริ่มปล่อยมานาของเขามาให้ฉัน

ความเจ็บปวดบรรเทาลงอย่างช้าๆและฉันก็หอบ เสื้อผ้าของฉันชุ่มไปด้วยเหงื่อ

"ขอบคุณ"

ฉันพูดด้วยเสียงฮืด ๆ

เขาตอบว่า

“มันอาจจะเร็วไปหน่อย แต่เรามาเริ่มฝึกกันเลยดีกว่า”

มองออกไปนอกหน้าต่างฉันสังเกตเห็นว่าดวงอาทิตย์ยังไม่ขึ้น ฉันคงไม่สามารถหลับได้อีกแล้วดังนั้นฉันจึงพยักหน้าและเดินตามเขาออกไปที่ลาน

เขานั่งไขว่ห้างมองฉันอยู่นานก่อนจะอธิบาย

“จนถึงตอนนี้นายได้ชำระล้างแกนมานาของนายและจัดการมานาโดยใช้ช่องมานาของนาย ในขณะที่สำหรับนักเวทย์ทั่วไปวิธีนี้ก็เพียงพอแล้วสำหรับผู้ฝึกสัตว์มานา แต่เราไม่สามารถพึ่งพาวิธีนี้ได้ เราต้องทำสิ่งที่เรียกว่าการย่อยและดูดซึม”

ฉันนั่งลงหันหน้าไปทางเขา ใบหน้าของฉันต้องเบี่ยงเบนไปโดยที่ฉันไม่รู้ว่าเขากำลังพูดถึงอะไร

“ฮ่าฮ่า! ไม่ต้องกังวลนายจะรู้ได้ในไม่ช้า โดยพื้นฐานแล้วคือการรวมมานาจากแกนกลางของนายเข้ากับกระดูกและกล้ามเนื้อของร่างกายโดยตรงดังนั้นจึงเป็นวิธีการดูดซึม น่าเสียดายที่ตลอดระยะเวลาของการหลอมนี้ มานาคอร์ของนายจะไม่พัฒนาเลย แต่นั่นไม่ใช่ประเด็นนี้ เมื่อมานาจากแกนกลางใหม่ของนายถูกดูดซึมไปทั่วร่างกายนายจะสามารถเริ่มใช้พลังใดก็ได้ที่สัตว์มานาของนายมี”

นี่คือสิ่งที่ซิลเวียหมายถึง! ตลอดการเดินทางผ่านป่าเอลเชียร์ และได้พบกับราชวงศ์และคุณปู่วิริออนฉันอดไม่ได้ที่จะคิดว่าซิลเวียได้วางแผนทั้งหมดนี้ไว้แล้ว

“ค่อยๆปล่อยมานาออกจากแกนกลางของนายและอย่าหลอกใช้ช่องมานาของนาย แต่ปล่อยให้มันซึมออกไปในร่างกายของนายและค่อยๆให้กล้ามเนื้อและกระดูกทั้งหมดของนายดูดซับมานา ซึ่งจะต้องใช้เวลาและความพยายาม แต่ตลอดกระบวนการนี้แกนมานาของนายจะค่อยๆปฏิเสธร่างกายของนายน้อยลงเรื่อยๆ”

ซิลเวียแนะนำ

“ฉันช่วยนายได้ไม่มากนักในช่วงแรกของการฝึกนอกจากตรวจสอบให้แน่ใจว่ามานาของนายได้กระจายไปทั่วร่างกายอย่างเท่าเทียมกันและช่วยบรรเทาเมื่อร่างกายของนายกระตุกเหมือนช่วงก่อนหน้านี้”

การฝึกอบรมดำเนินต่อไปโดยฉันนั่งสมาธิกระจายมานาออกจากแกนกลางและเข้าสู่ร่างกาย หลังจากนั้นไม่กี่วันฉันก็ได้รับความทุกข์ทรมาน แต่ฉันก็รู้ว่าการเดินทางนี้จะยาวนานแค่ไหน การสร้างมานาของฉันให้กลายเป็นแกนกลางตอนที่ฉันยังเป็นทารกนั้นใช้เวลาถึงสองสามปี แต่สิ่งนี้กลับตรงกันข้ามยกเว้นมานาที่มากขึ้น ขั้นตอนที่เพิ่มคือการดูดซึมมานาเข้าสู่กล้ามเนื้อและกระดูกโดยตรง

ฉันไม่ได้ออกจากปราสาทในช่วงเวลานี้เพราะฉันไม่รู้ว่าร่างกายของฉันจะกลับมาใช้งานได้อีกครั้งเมื่อใด ฉันรู้สึกขอบคุณคุณปู่วิริออนมากที่คอยอยู่เคียงข้างฉันตลอดเวลานี้ น่าเสียดายสำหรับเทสส์สิ่งนี้ทำให้เธอมีเวลาเล่นกับฉันน้อยมาก ตอนที่ฉันไม่ได้นั่งสมาธิฉันก็พักผ่อนอยู่ในห้องของฉันร่างกายของฉันปวดเมื่อยจากการถูกกระตุ้นด้วยมานา อย่างไรก็ตามนั่นไม่ได้หยุดเธอจากการต่อรองและเล่าเรืองต่างๆ เกี่ยวกับเธอ

หลังจากหลายสัปดาห์ของการดูดซึมร่างกายของฉันผ่านไป อาการเจ็บปวดก็เกิดขึ้นน้อยลงและฉันได้รับอนุญาตให้ไปเที่ยวในเมืองได้ หลังจากสัญญากับเทสส์ว่าฉันจะไปเที่ยวรอบเมืองเซสเทียร์กับเธอฉันก็ไปนอนพักผ่อน

_________________________________________________

รออยู่นอกห้องของฉันคือเทสส์ที่แต่งตัวน่ารัก เธอสวมเสื้อคลุมแขนกุดสีขาวและเสื้อคาร์ดิแกนสีขาวคลุมทับ หมวกกันแดดสีชมพูอ่อนที่เธอสวมเหนือศีรษะประดับด้วยดอกไม้สีซีดทำให้เธอดูสดชื่นและดูเหมือนตุ๊กตา

“นานพอแล้วนะ! เร็วเข้ารีบหน่อย!”

เธอจับมือฉันและลากฉันไปขณะที่ฉันต่อสู้กับร่างกายที่ปวดร้าวเพื่อก้าวให้ทัน

การได้เห็นเมืองอีกครั้งไม่ได้ทำให้ความประหลาดใจที่เคยมีเมื่อมาถึงเซสเทียร์เป็นครั้งแรก เมื่อเราลงจากรถม้าและเริ่มออกเดินทางเราก็ใช้เวลาไปเยี่ยมชมแผงขายของและร้านค้ามากมายในเมืองนี้ ในขณะที่เราสองคนถูกจ้องมองมากมายจากการที่เด็กมนุษย์ได้จับมือกับเจ้าหญิงองค์เดียวในอาณาจักรของพวกเขา แต่มันเป็นความรู้สึกที่ฉันคุ้นเคยมาตั้งแต่ชาติปางก่อนดังนั้นมันจึงไม่ทำให้ฉันรำคาญ อย่างไรก็ตามสิ่งที่ทำให้ฉันรำคาญก็คือในขณะที่การจ้องมองเหล่านี้ส่วนใหญ่มีแต่ความอยากรู้อยากเห็น แต่การจ้องมองบางอย่างก็เต็มไปด้วยความเป็นปรปักษ์อย่างโจ่งแจ้ง

ออกมาจากร้านขายชุดเกราะฉันหลบเพื่อให้ใครบางคนได้เดินผ่านได้และมีเอลฟ์เด็กคนหนึงกระแทกไหล่ฉัน

“ฮึ่ม! นี่มันมนุษย์สารเลวที่ผู้อาวุโสวิริออนดูแลอยู่นิ ฉันได้ยินทุกอย่างเกี่ยวกับนายละ แย่จังฉันมีเชื้อโรคของมนุษย์ติดอยู่บนเสื้อผ้าของฉันด้วยละ”

เขากล่าวอย่างเยาะเย้ยใบหน้าของเขาดูน่ารังเกียจ

เห็นได้ชัดว่าเสื้อผ้าของเด็กคนนี้ซึ่งอายุรุ้นร่าวคราวเดียวกับเทสส์และคนที่อยู่กับเขาเป็นพวกเอลฟ์ชั้นสูง

หลังจากใช้เวลากับเทสส์ซะนานฉันเกือบลืมไปเลยว่าเด็กที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะนั้นเป็นอย่างไร ฉันอดคิดไม่ได้ว่าไม่ว่าพวกเขาจะเป็นขุนนางเอลฟ์หรือมนุษย์ที่เอาแต่ใจ พวกเขามักจะทำราวกับว่าพวกเขาได้รับการสั่งสอนจากตำราฉบับเดียวกัน

จากนั้นเขาก็หันไปเผชิญหน้ากับเทสส์ใบหน้าของเขาเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มที่ฝึกฝนมาอย่างดีขณะที่เขายื่นมือให้เธอ

“เจ้าหญิงมันจะตกต่ำถ้าหากคุณเลือกที่จะอยู่กับมนุษย์สารเลวคนนี้ อนุญาตให้ผมพาคุณไปชมรอบๆเมืองแทน”

เขากระตุ้นโดยคาดหวังว่าเทสส์จะได้รับมือของเขา

เทสส์ไม่แม้แต่มองไปในทิศทางของเขา เทสส์กอดแขนของฉันและตอบโต้อย่างเย็นชาว่า

“อาร์ตเราไปกันเถอะ มีแมลงอยู่ตรงนั้นและฉันไม่ต้องการไปเหยียบมันด้วยรองเท้าคู่ใหม่”

ในขณะที่ฉันถูกดึงออกไปฉันก็เหลือมองไปยังเด็กผู้สูงศักดิ์ด้วยความสงสารซึ่งดูเหมือนจะทำให้เขาโกรธมากยิ่งขึ้น

“ไอ้สารเลว! ฉันไม่จบกับแกแน่!”

เขาตะโกนวิ่งมาหาฉันแล้วจับไหล่ฉัน

“ฉันได้ยินมาว่าแกมีเป็นนักเวทย์ คนแถวๆนี้รู้ถึงความเป็นอัจฉริยะของฉันดี แกนมานาของฉันมาถึงขั้นสีแดงแล้วและนอกเหนือจากเวทย์น้ำแล้ว แม่ของฉันบอกว่าอีกไม่นานฉันก็จะสามารถใช้เวทย์พืชได้!”

ฉันตอบกลับไปด้วยความประหลาดใจและประชดประชันอย่างจริงใจที่สุดด้วยการถากถางอย่างโจ่งแจ้ง

“โอ้พระเจ้า! เจ้าหญิงเทสเซีย! ดูเหมือนว่าเราอยู่ต่อหน้าอัจฉริยะที่เก่งมากจนฉันไม่คู่ควรเลยละ!”

เทสหัวเราะคิกคักโดยไม่แม้แต่จะปิดบังความสนุกของเธอ

“ฉันจะให้ความเคารพอย่างเหมาะสมกับท่านลอร์ดแห่งเอลฟ์ผู้เป็นอัจฉริยะ ดังนั้นหากคุณจะไม่ว่าอะไรพวกเรา…”

ขณะที่ฉันพาเทสส์ไป ผ้าเช็ดหน้าก็บินผ่านเราไปแล้วลงจอดที่พื้น

เมื่อหันหลังกลับไปฉันเห็นใบหน้าของเด็กหนุ่มผู้สูงศักดิ์เป็นสีแดงเหมือนมะเขือเทศจ้องมองมาที่ฉันขณะที่เพื่อนๆ ของเขาต่างพากันปล่อยลมหายใจเงียบๆ

“นายกล้าดียังไงที่จะท้าดวลกับศิษย์ของผู้อาวุโสวิริออน นายอาจจะมีสายเลือดที่สูงส่งนะเฟย์ริธ แต่นายควรจะรู้ที่ต่ำที่สูง! เก็บมันขึ้นมาซะ!”

เทสเซียสั่งและดวงตาของเธอหรี่ลงด้วยแสงจ้า

“ผมขอโทษครับองค์หญิง แต่พ่อของผมสอนผมว่าอย่าปล่อยให้ความภาคภูมิใจของผมถูกเหยียบย่ำ อาเธอร์เตรียมตัวให้พร้อมสำหรับการดวลหรือวิ่งหนีหางจุกตูด เพราะฉันรู้ว่าการกระทำของนายมันสะท้อนถึงอาจารย์ของนายทางเลือกเป็นของนายแล้วละ”

เฟย์ริธพองหน้าอกของเขาและหยิบไม้กายสิทธิ์ออกจากใต้เสื้อคลุมของเขา

บางคนที่อยู่ใกล้ๆ ได้ยินและเริ่มมารวมตัวกันรอบๆ เทสเซียดูไม่แน่ใจเกี่ยวกับเรื่องทั้งหมดนี้ แต่เพียงแค่พยักหน้าและถอยห่างจากเราไปสองสามก้าว

ฉันไม่อยากให้เรื่องนี้เกิดเหตุเพราะฉันเป็นแขก แต่หลังจากทำสมาธิมาหลายสัปดาห์ร่างกายของฉันก็กระตือรือร้นที่จะต่อสู้

“องค์หญิงโปรดเป็นเกียรติในการให้สัญญานเริ่มการดวลด้วย”

เอลฟ์ขุนนางน้อยพูดขณะเริ่มขัดไม้กายสิทธิ์สีดำด้วยแขนเสื้อ

ฉันเห็นเทสส์กลอกตาขณะที่เธอถอยหลังไปอีกก้าว

“เอาละ เริ่มการดวล!”

ในขณะที่แกนมานาของฉันยังอยู่ในช่วงเริ่มต้นของสีแดงเข้มฉันรู้สึกได้ว่ามานากำลังเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับเส้นใยของกล้ามเนื้อทุกส่วนของฉันเมื่อฉันพุ่งเข้าหาเฟย์ริธ

มันจบลงในไม่กี่วินาที เขาอวดดีเกินไปและไม่ได้ระมัดระวังเท่าที่จำเป็นในการสืบว่าฉันเป็นออกเมนเตอร์หรือคอนเจอะเรอร์และเมื่อถึงเวลาที่ฉันมาถึงระยะเพียงแค่แขน เขายังไม่ได้เริ่มร่ายมนต์ด้วยซ้ำ

ในขณะที่ฝ่ามือของฉันจมลงไปในท้องของเขาสิ่งที่เขาสามารถทำได้คือการหายใจเข้าอย่างแรงก่อนที่จะบินกลับไปที่พื้น ฉันดีใจที่ได้ใช้ฝ่ามือของฉันพลักเขาเพราะทันทีที่มือของฉันสัมผัสกันฉันรู้สึกได้ถึงเกราะโซ่ที่แข็งแรงอยู่ใต้เสื้อผ้าของเขา

เพื่อนๆของเฟย์ริธตาเบิกกว้างและเทสเซียก็รีบวิ่งมาหาฉันและดึงฉันออกไป

ต่อมาเทสเซียอธิบายให้ฉันฟังว่าในการดวลนั้นมีธรรมเนียมบางอย่างที่ไม่ได้กล่าวไว้ หนึ่งในธรรมเนียมเหล่านี้คือให้ผู้ท้าชิงทำการเคลื่อนไหวก่อน อีกอย่างหนึ่งคือการดวลระหว่างขุนนางอย่างไม่เป็นทางการเป็นเพียงการสาธิตเวทมนตร์ไม่ใช่การต่อสู้ที่แท้จริง เรื่องนี้ทำให้ตาแก่อดหัวเราะไม่ได้เมื่อเขารู้ว่าการดวลระหว่างขุนนางเป็นความโง่เขลาและเป็นวิธีที่ไม่ถูกต้องในการวัดความสามารถในการใช้เวทมนตร์ของใครบางคน

สรุปแล้วสิ่งที่เฟย์ริธหมายถึงเมื่อเขาเริ่มการดวลคือการผลัดกันแสดงความสามารถด้านเวทมนตร์ของกันและกัน

เป็นเรื่องน่าผิดหวังที่ทราบว่ารูปลักษณ์ที่น่าตกใจของทุกคนรอบๆไม่ได้มาจากความสามารถในการต่อสู้ของฉัน แต่มาจากการที่ฉันเพิกเฉยต่อธรรมเนียมของการดวล

ตั้งแต่นั้นมาฉันเลือกที่จะอยู่ในคฤหาสน์เกือบตลอดทั้งวันเพื่อไม่ให้ตัวเองมีปัญหาและใช้ชีวิตอย่างเข้มงวดซึ่งประกอบด้วยการนั่งสมาธิกับคุณปู่วิริออน ในตอนเช้าใช้เวลาเล็กน้อยกับเทสเซียในช่วงบ่ายและฝึกฝนโดยตัวเองตอนกลางคืน ในช่วงเวลานี้ฉันได้ส่งข้อความถึงพ่อแม่นานๆครั้งเพื่อให้พวกเขารู้ว่าฉันยังมีชีวิตอยู่และฉันก็คิดถึงพวกเขาอย่างสุดซึ้ง

และเวลาก็ได้ผ่านไปสามปี

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด