ตอนที่แล้วทะลุมิติเทพศาสตรา EP.54 ขั้นบรรพชนสงครามที่สามสิบ
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปทะลุมิติเทพศาสตรา EP.56 อดีตกลายเป็นหมอกควัน

ทะลุมิติเทพศาสตรา EP.55 การตายของฉู่เฟิง


EP.55 การตายของฉู่เฟิง

การมาของเซียงเซียงทำให้หลินมู่อวี่ถึงกับปวดหัว แถมวันนี้นางยังต้องการจะอยู่กินข้าวด้วย

หญิงรับใช้สองคนยกถาดอาหารเดินตามหลังเซียงเซียง ในถาดแน่นไปด้วยภาชนะที่เรียกว่ากุ่ย (ภาชนะใส่อาหาร) กุ่ยเหล่านี้ทำจากเงิน เรียกว่ากุ่ยเงิน (ภาชนะใส่อาหารทำจากเงิน) มีอาหารทั้งหมดห้าอย่าง เนื้อและผักครบครัน ทั้งยังมีเหล้าชั้นดีอีกสองกา

ฉู่เหยาเดาะลิ้นเงียบๆ กุ่ยเงินเป็นภาชนะที่ใช้สำหรับพวกตระกูลชั้นสูงโดยเฉพาะ ชาวบ้านธรรมดามักจะใช้กุ่ยทองแดง ส่วนจักรพรรดิ เชื้อพระวงศ์ ขุนนางและนายพลจะใช้กุ่ยทอง

จักรวรรดิมีรูปแบบการรับประทานอาหารชนิดหนึ่งที่เรียกว่า “จงหมิงติ่งสือ” เป็นการรับประทานอาหารของพวกตระกูลใหญ่ที่ต้องมีดนตรีบรรเลงขณะรับประทาน ทั้งยังแบ่งระดับขั้นตามปริมาณของติ่งที่ใช้ใส่อาหารด้วย ติ่งเป็นภาชนะสำหรับใส่อาหาร ความจริงแล้วติ่งมีลักษณะคล้ายกับกุ่ย แน่นอนว่าฉู่เหยาไม่เคยเห็นจงหมิงติ่งสือมาก่อน แม้แต่วิธีการรับประทานอาหารด้วยกุ่ยเงินห้าอันที่อยู่ตรงหน้าก็แทบจะไม่เคยเห็น จวนเจ้าเมืองดูแลตนเองกับหลินมู่อวี่ดีเกินไปแล้วหรือเปล่า

“คุณชาย สุรานี้เป็นสุราบ่มชั้นดีของจวนท่านเจ้าเมือง มีเพียงต้อนรับแขกชั้นสูงเท่านั้นถึงจะนำออกมารับรอง ท่านต้องไม่พลาดนะเจ้าคะ”

ช่วงงานเลี้ยง เซียงเซียงนั่งคุกเข่าอยู่บนพรม ยิ้มแล้วรินสุราให้หลินมู่อวี่ หลังจากที่นางดื่มคารวะเขาไปหลายจอก อยู่ๆ ก็ถามขึ้นมา “คุณชาย ได้ยินว่าท่านเป็นตำนานใหม่แห่งโลกนักปรุงโอสถ อายุยังน้อยก็สามารถปรุงโอสถระดับห้า กระทั่งระดับหก ลือกันไปทั่วว่าทักษะการปรุงโอสถของท่านได้มาจากตำราโบราณเล่มหนึ่งที่ชื่อว่า ‘ตำราเทพโอสถ’ เรื่องจริงหรือไม่เจ้าคะ”

หลินมู่อวี่ฟังแล้วอดสะท้านไม่ได้ คิดในใจว่าเอาแล้วสิ จวนเจ้าเมืองไม่มีเหตุผลที่ต้องเลี้ยงดูตนกับฉู่เหยา ฮว๋าเทียนกับฮว๋าหวันต้องการอะไรบางอย่างจากตนจริงๆ ด้วยสินะ

“ตำราเทพโอสถอะไรหรือ ข้าไม่เห็นรู้เลย” เขากล่าวเสียงเรียบ ถึงแม้หลินมู่อวี่จะมีนิสัยดื้อรั้น แต่ก็รู้จักเก็บซ่อน เขาเข้าใจคำกล่าวที่ว่าความฉลาดนำภัยมาให้ได้เหมือนกัน

เซียงเซียงหัวเราะ “คุณชายล้อเล่นแล้ว ลือกันไปทั่วว่าหวังหยิ่งศิษย์พี่ใหญ่แห่งร้านโอสถไป่หลิงเคยหลุดปากออกมาตอนเมา บอกว่าร้านโอสถไป่หลิงได้ตำราเทพโอสถมา มิเช่นนั้นฝีมือการปรุงโอสถของคุณชายกับท่านอาจารย์ฉู่เฟิงคงไม่มีทางก้าวหน้าได้เร็วขนาดนี้”

หลินมู่อวี่ยิ้มบางๆ “บางทีอาจจะมีจริ’ก็ได้ แต่ข้าไม่รู้”

เซียงเซียงพยักหน้า “ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้นี่เอง”

ฉู่เหยากลับขมวดคิ้วถาม “เซียงเซียง ท่านเจ้าเมืองน้อยให้เจ้ามาสืบเรื่องพวกนี้งั้นหรือ”

“ไม่ใช่เจ้าค่ะ แม่นางฉู่เหยาพูดเรื่องอะไรเจ้าคะ!”

       หน้าเซียงเซียงยังคงยิ้มอย่างสดใส “ในตลาดกำลังพูดถึงเรื่องของคุณชายหลินมู่อวี่กันอยู่ ดังนั้นเซียงเซียงถึงได้อยากรู้ ในเมื่อคุณชายไม่รู้เรื่องตำราเทพโอสถอะไรนั่น เช่นนั้นเซียงเซียงไม่ถามก็ได้เจ้าค่ะ มาค่ะคุณชาย เซียงเซียงคารวะท่านอีกหนึ่งจอก”

หลังจากกินอิ่ม หลินมู่อวี่ก็ฝึกวิชาต่อ ขณะที่ฝึกทักษะกระบี่ หมัดเสียงปีศาจและดาบเสียงปีศาจ เขายังฝึกโล่ปราณซึ่งเป็นทักษะเฉพาะผู้ฝึกยุทธ์ที่อยู่ขอบเขตปฐพีชั้นหนึ่งไปพร้อมกันอีกด้วย โล่ปราณสามารถปกป้องตนเองได้ทุกเวลา เป็นทักษะเอาตัวรอดที่ไม่ฝึกไม่ได้ ส่วนวันนี้ฉู่เหยาก็ไม่ได้เข้านอนเร็ว แต่มาอยู่ที่ลานเพื่อฝึกเป็นเพื่อนหลินมู่อวี่ ที่นางฝึกซ้อมก็คือวิชาเข็มเงิน

“ฉึก ฉึก ฉึก!”

เข็มเงินสามเล่มปักเข้ากลางแผ่นไม้อย่างไร้เสียง ฉู่เหยายิ้มพอใจ เดินเข้าไปดึงเข็มออกมา

หลินมู่อวี่ยืนมองอยู่ข้างๆ “แรงระดับนี้ฝังเข็มรักษาโรคอาจจะได้ แต่ใช้ฆ่าคนยังไม่ได้ ขนาดโล่ปราณขอบเขตปฐพียังไม่แน่ว่าจะทะลุเข้ามาได้เลย”

ฉู่เหยาพยักหน้า “อือ ข้าเองก็รู้”

พูดแล้วนางก็หยิบมีดสั้นคู่ออกมา ส่งพลังปราณเข้าไป คลื่นปราณปรากฏอยู่บนมีดสั้น นางยิ้มพูด “อาอวี่ มาประลองกับข้าหน่อยเถอะ ข้ารู้ว่าตอนนี้เจ้าแข็งแกร่งมาก แต่ก็ไม่รู้ว่าเจ้าแข็งแกร่งขนาดไหนกันแน่”

“ตกลง!”

หลินมู่อวี่ชักกระบี่เหล็กที่วางอยู่ด้านข้างออกมา ยิ้มพูด “พี่ฉู่เหยาท่านโจมตีเข้ามาได้เลย”

ฉู่เหยากระตุกยิ้ม เข้าประชิดอย่างรวดเร็ว มีดสั้นจู่โจมติดต่อกันสองครั้ง โจมตีซ้ายขวา พลังที่รุนแรงกวาดไปทั่ว แต่หลินมู่อวี่ตอบสนองเร็วกว่ามาก “เคร้งๆ” เสียงกระบี่เหล็กดังขึ้น เขาก็ไม่เกรงใจแล้ว พลังที่เข้าไปประชิดก็พิฆาตอสนีบาต หลินมู่อวี่ใช้แรงไปราวสี่ส่วนเท่านั้น ไม่ได้ลงแรงทั้งหมด

“หา?”

ฉู่เหยาไฉนเลยจะคิดว่าหลินมู่อวี่จะเร็วถึงเพียงนี้ รีบใช้มีดสั้นต้านรับ ได้ยินเพียงเสียงดัง “เพล้ง” แขนทั้งสองข้างมีความรู้สึกชาแล่นเข้ามา นางร้องออกมาเบาๆ แล้วก้าวถอยหลังไป นัยน์ตาคู่งามเบิกกว้าง “โอ้โห อาอวี่...พลังของเจ้าตอนนี้แข็งแกร่งมาก ข้ารับการโจมตีของเจ้าไม่ได้แล้ว!”

หลินมู่อวี่ยิ้มน้อยๆ พูดแนะนำ “พี่ฉู่เหยา พลังของท่านไม่เพียงพอ เตียวม่วงยังอ่อนแออยู่ ที่สำคัญกว่านั้นคือความเร็วของท่านยังเร็วไม่พอ ยังไม่ทันโจมตีถึงจุดอ่อนของคู่ต่อสู่ก็เผยช่องโหว่แล้ว ข้ามีวิธีที่จะสามารถเพิ่มความเร็วแก่ท่านได้”

“อะไรๆ รีบสอนข้าเร็วเข้า!” ฉู่เหยาตื่นเต้นดีใจ

หลินมู่อวี่กล่าว “สัมผัสธาตุอสนีในอากาศให้ได้ กลั่นพลังไฟฟ้าของธาตุอสนีให้มารวมที่อาวุธแล้วโจมตีด้วยความเร็วสูง วิธีนี้จะทำให้การโจมตีของท่านมีประสิทธิภาพมากขึ้น”

“นี่คือ...” ฉู่เหยาตาเป็นประกาย “นี่คือพิฆาตอสนีบาตที่ติ่งอัคคีชวีฉู่สอนแก่เจ้างั้นหรือ”

“อ่อ ไม่...” หลินมู่อวี่ส่ายศีรษะ “พิฆาตอสนีบาตเน้นความเร็ว ด้วยระดับของท่านในตอนนี้ไม่สามารถเรียนได้ ดังนั้นข้าจะไม่สอนเคล็ด ‘ไร้เสียง’ อสนีบาตให้ท่าน แต่จะสอนวิธีควบคุมธาตุอสนีให้เท่านั้นเอง อีกอย่างข้ารับปากผู้อาวุโสชวีไว้แล้วว่าข้าจะไม่นำทักษะยุทธ์ที่เขาถ่ายทอดให้ข้าไปสอนผู้อื่น”

“อืม!”

ฉู่เหยาเป็นเด็กสาวที่เข้าใจอะไรง่าย จึงตั้งใจเรียนเคล็ดการควบคุมธาตุอสนี

เซียงเซียงยืนพิงต้นไม้ ยิ้มพูด “คิดไม่ถึงว่าติ่งอัคคีชวีฉู่จะสอนทักษะยุทธ์ตั้งมากมายให้ท่าน แปลกประหลาดเสียจริงๆ ข้าได้ยินมาว่าติ่งอัคคีชวีฉู่ผู้นี้หยิ่งยโส แต่ไหนแต่ไรไม่ถ่ายทอดทักษะยุทธ์ให้แก่ผู้อื่น”

หลินมู่อวี่แอบหัวเราะ ถ้าไม่ใช่เพราะใช้วิชาปรุงโอสถไปแลกเปลื่ยน ตาแก่นั่นก็คงไม่สอนหมัดเสียงปีศาจกับเกราะศิลาเขียวให้เขาหรอก!

ที่จริงแล้วหลินมู่อวี่อยากใช้ติ่งหลอมอาวุธมาหลอมวิญญาณยุทธ์ให้แก่ฉู่เหยาใหม่อีกครั้งเหลือเกิน แต่เขาไม่รู้ว่าจะมีความเป็นไปได้เท่าใด ถ้าเกิดเป็นไปไม่ได้ อาจจะเป็นการทำร้ายฉู่เหยา การเติบโตของเตียวม่วงของฉู่เหยานั้นด้อยมาก พลังวิญญาณของมันยังไม่ถึงสามส่วนของน้ำเต้าเขียวเลย นี่เป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้พลังของฉู่เหยาอ่อนแอ

จึงได้แต่ค่อยเป็นค่อยไป ไว้ได้จังหวะเมื่อไหร่ แน่นอนว่าจะช่วยฉู่เหยาเพิ่มพลังได้

ฝึนจนถึงกลางดึก พวกเขาสองคนจึงแยกย้ายไปนอน

แต่เซียงเซียงนั้นยืนกรานว่าจะอยู่ปรนนิบัติ หลินมู่อวี่ทำอะไรไม่ได้ จึงให้นางอยู่ต่อ และให้นางนอนบนเตียงเหมือนเดิม ส่วนตัวเขานอนบนม้านั่งยาว ฝึกมาตลอดทั้งวัน จึงหลับไปอย่างรวดเร็ว

กำลังนอนหลับสบาย จู่ๆ ด้านนอกก็มีเสียงเคาะประตูรุนแรง “จอมยุทธ์น้อยหลิน แม่นางฉู่ เกิดเรื่องใหญ่แล้ว!”

“มีอะไรหรือ”

หลินมู่อวี่พลิกตัวลุกขึ้น สวมเสื้อคลุมแล้ววิ่งไปที่ประตู พอเปิดประตูกลับเห็นคนที่แต่งตัวเหมือนองครักษ์กำลังหอบหายใจ “ระ...รีบไปห้องรับรองจวนเจ้าเมืองเร็วเข้า เกิดเรื่องใหญ่แล้ว ทหารที่ไปเมืองหลวงถูกพวกทหารรับจ้างดักซุ่มโจมตี ตายไปจำนวนมาก ข้าวของเสียหายหมด เถ้าแก่ร้านโอสถไป่หลิงของพวกเจ้า...ผู้อาวุโสฉู่เฟิงได้รับบาดเจ็บสาหัสเสียชีวิตแล้ว...”

ฉู่เฟิง ตายแล้ว!

สมองหลินมู่อวี่ขาวโพลน ฉู่เหยาที่เดินตามอยู่ข้างหลังสีหน้าซีดขาวยิ่งกว่า ปากพึมพำ “เป็นไปไม่ได้... ต้องเป็นเรื่องโกหกแน่ ท่านปู่ต้องไม่เป็นอะไร! ท่านปู่ต้องไม่เป็นอะไร...”

ห้องรับรองจวนเจ้าเมือง เปลวไฟบนคบเพลิงสั่นไหว ทหารอย่างน้อยหลายพันนายล้อมจวนเจ้าเมืองไว้ ฮว๋าเทียนเรียกทหารประจำจวนออกมาตั้งมากมาย คงมีเรื่องเกิดขึ้นจริงๆ

รถม้าหลายคันเต็มไปด้วยคราบเลือด หลินมู่อวี่ดูออกว่านี่คือขบวนรถม้าที่ติดตามฉู่เฟิงไป รถม้าเหล่านี้บรรทุกของพื้นเมืองและของกำนัลที่จะนำไปให้แก่เหล่าราชวงศ์ที่เมืองหลันเยี่ยน แต่ตอนนี้กลับเต็มไปด้วยศพเปื้อนเลือด เลือดบนศพจับตัวแข็งเป็นลิ่มเลือด

เมื่อเปิดผ้าสีเทาออก ใบหน้าอ่อนโยนของฉู่เฟิงปรากฏขึ้น หน้าอกของเขาถูกอาวุธแทงทะลุขั้วหัวใจ เสียชีวิตมาได้พักใหญ่แล้ว

พอเห็นใบหน้าของฉู่เฟิง ฉู่เหยาร้องไห้โฮ โผเข้าใส่ศพของฉู่เฟิง ฉู่เฟิงเลี้ยงดูนางมาตั้งแต่เล็ก คนในครอบครัวเพียงคนเดียวมาจากไปแบบนี้ ฉู่เหยารู้สึกเหมือนฟ้าถล่มดินทลาย โลกทั้งใบแทบจะพังทลาย

หลินมู่อวี่ยืนกำหมัดแน่นอยู่ข้างๆ เขาไม่ได้ปลอบฉู่เหยา เวลานี้ควรให้นางได้ระบายออกมา มิเช่นนั้นแล้วสภาพจิตใจของนางต้องย่ำแย่แน่ๆ

เขาลุกขึ้นยืน มองไปยังกลุ่มทหารรอบๆ พวกเขาต่างมีบาดแผลบนร่างกาย

เจ้าเมืองฮว๋าเทียนยกกระบี่ขึ้นมา นัยน์ตาอาบแววสังหาร พูดอย่างเกรี้ยวกราด “ฉู่เฟิงเป็นผู้อาวุโสแห่งสมาพันธ์โอสถ ทำไมออกเดินทางครานี้เขาถึงได้จากพวกเราไปเช่นนี้ มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่”

ทหารยศสูงหนิงเต้าหรงพยุงตัวเองกับหอกด้ามยาว ใบหน้าซีดขาว ชุดเกราะบริเวณหน้าอกมีลูกธนูปักอยู่สองดอก เลือดยังคงไหลออกมา ทันใดนั้นเขาก็คุกเข่าลงแล้วพูด “ท่านเจ้าเมือง...พวกข้าน้อยพยายามสุดความสามารถแล้ว ตอนที่เดินทางผ่านหุบเขาเจี่ยนเตา ก็ถูกกองกำลังทหารรับจ้างซุ่มโจมตี พวกมันมียอดฝีมือระดับปราชญ์สงครามมาด้วยหนึ่งคน ข้าน้อยไม่ใช่คู่ต่อสู้ของมัน ได้รับบาดเจ็บหนัก ได้แต่มองผู้อาวุโสฉู่เฟิงถูกฆ่า ข้าวของถูกปล้น ท่านเจ้าเมืองได้โปรดลงโทษ!”

“เจ้า!”

ฮว๋าเทียนกัดฟันกรอด ชักกระบี่ออกมาแล้วชี้ไปที่ลำคอของหนิงเต้าหรง ตะโกนอย่างเกรี้ยวกราด “นายพลหนิง อย่าคิดว่าข้าไม่กล้าฆ่าเจ้า นี่คือโทษที่เจ้าบกพร่องต่อหน้านี้ ทำให้บุคคลสำคัญของจักรวรรดิตาย!”

หนิงเต้าหรงพึมพำ “ท่านเจ้าเมือง ตายด้วยกระบี่ของท่าน ข้าน้อยตายก็ไม่เสียดาย ข้าละอายต่อจักรวรรดิ ละอายต่อเมืองหยินซาน!”

ทว่าพวกทหารที่บาดเจ็บต่างทยอยคุกเข่าลงร้องขอชีวิต ฮว๋าเทียนถอนหายใจ “ช่างเถอะๆ นี่มันเป็นโชคชะตา หนิงเต้าหรง ตัดเบี้ยเลี้ยงของเจ้าสองปี ลดหนึ่งขั้นไปเป็นนายกอง เจ้าขัดข้องหรือไม่”

“ข้าน้อยไม่ขัดข้องขอรับ!”

ฮว๋าเทียนเดินเข้ามา วางมือบนไหล่ของหลินมู่อวี่ นัยน์ตาลุ่มลึก “เจ้าหนู...การตายของผู้อาวุโสฉู่เฟิง เป็นความรับผิดชอบของเมืองหยินซาน เจ้าอย่าเสียใจไปเลย หลังจากนี้สิ่งที่เจ้าและฉู่เหยาต้องการ ข้าฮว๋าเทียนจะพยายามหามาให้อย่างสุดความสามารถ วางใจเถอะ เมืองหยินซานและสมาพันธ์โอสถจะไม่ทอดทิ้งพวกเจ้า”

ดวงตาของหลินมู่อวี่แดงนิดหน่อย “ทราบแล้วขอรับ ขอบคุณท่านเจ้าเมือง!”

เขาหันกลับไป ก้มลงไปกอดไหล่ฉู่เหยา แล้วใช้จังหวะนั้นเปิดดูบาดแผลที่หน้าอกของฉู่เฟิง บาดแผลนั้นปรากฏรูปกรวยสามแฉก บาดแผลที่แทงทะลุเข้าหัวใจภายในครั้งเดียวน่าจะเกิดจากอาวุธชนิดพิเศษ

“พี่ฉู่เหยา ท่านอย่าเสียใจไปเลย ให้ท่านปู่ได้พักผ่อนอย่างสงบเถอะ”

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด