ตอนที่แล้วบทที่ 127 ออกจากค่ายทหาร!
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 129 บนรถประจำทาง

บทที่ 128 ความเหมือนที่แตกต่าง (ตอนฟรี)


บทที่ 128 ความเหมือนที่แตกต่าง

เมื่อกลับไปที่ค่าย จี้เฟิงก็รีบเก็บข้าวของและเปลี่ยนไปใส่ชุดเดิมจากนั้นเขาก็เดินไปที่ประตูของค่ายทหาร

“ปี๊นนนนน!”

รถจี๊ปคันหนึ่งบีบแตรและมาจอดอยู่ข้างๆเขา จี้เฟิงหันหน้าไปและพบว่าคนที่ขับรถอยู่เป็นทหารรักษาการณ์ที่ชื่อว่าจิง

“นักศึกษา พอดีว่าท่านผู้บัญชาการได้สั่งให้ผมขับรถไปส่งคุณออกจากค่าย” ทหารรักษาการณ์กล่าว

จี้เฟิงยิ้มเล็กน้อย “แล้วตอนนี้ผู้บัญชาการของคุณอยู่ที่ไหนเหรอครับ?”

“ผู้บัญชาการกำลังประชุมอยู่กับผู้นำคนอื่นๆ เพื่อหารือเกี่ยวกับวิธีการที่จะจัดการกับหวังเว่ยจิน เขาจึงไม่สะดวกมาด้วยตัวเองและให้ผมเป็นคนขับรถไปส่งคุณ” ทหารรักษาการณ์ตอบ

จี้เฟิงพยักหน้า จากนั้นเขาก็เปิดประตูและเข้าไปนั่งตรงที่นั่งผู้โดยสาร

ทหารรักษาการณ์จิงสตาร์ทรถและแอบเหลือบมองไปที่ใบหน้าของจี้เฟิงเวลานี้มีสีหน้านิ่งเฉย และนึกสงสัยอยู่ในใจ “ไม่รู้ว่าชายหนุ่มคนนี้มีความเกี่ยวข้องยังไงกับผู้บัญชาการ เพราะปกติผู้บัญชาการไม่เคยที่จะให้ไปส่งนักเรียนนักศึกษาคนไหนมาก่อน!”

ทหารรักษาการณ์ก็ไม่รู้ว่าจี้เฟิงกำลังคิดบางอย่างอยู่ในใจเช่นกัน “ผู้บัญชาการคนนี้ค่อนข้างรอบคอบ ดูเหมือนว่าเขาน่าจะเป็นลูกน้องเก่าหรือไม่ก็เพื่อนเก่าของอาสาม!”

เมื่อตอนที่เขามีความขัดแย้งกับหวังเว่ยจิน จี้เฟิงได้โทรศัพท์ไปที่หมายเลขของผู้บัญชาการซึ่งเป็นหนึ่งในหมายเลขที่จี้เจิ้นผิงอาสามของเขาบันทึกไว้ในโทรศัพท์ของจี้เฟิง

ก่อนที่จี้เจิ้นผิงจะกลับไปที่หยานจิง เขาได้บันทึกหมายเลขโทรศัพท์ไว้ในโทรศัพท์มือถือของจี้เฟิงหลายหมายเลข มีตั้งแต่คนที่เกี่ยวข้องกับการเมืองการทหาร บุคคลในแวดวงธุรกิจ และแน่นอนว่าหมายเลขของผู้บัญชาการกองก็เป็นหนึ่งในนั้น

ในความเป็นจริงถ้าไม่ใช่เพราะเขาไม่มีวิธีที่ดีในการจัดการกับหวังเว่ยจิน จี้เฟิงก็ไม่ต้องการใช้หมายเลขเหล่านี้ เพราะถ้าเขาคุ้นเคยกับมันเขาก็จะต้องพึ่งพาอำนาจของตระกูลไปตลอด ซึ่งนั่นไม่ใช่สิ่งที่จี้เฟิงต้องการ

อย่างไรก็ตามหลังจากคิดถึงเรื่องนี้ จี้เฟิงก็ส่งข้อความไปหาผู้บัญชาการกองโดยพูดถึงทีมนักศึกษาทหารใหม่ที่จางเล่ยและถงเล่ยอยู่ และขอให้ผู้บัญชาการช่วยดูแลทั้งสองคน อย่างน้อยก็อย่าให้พวกเขาฝึกหนักกันมากเกินไป

………

เป็นเวลา 2 ชั่วโมงแล้ว หลังจากที่จี้เฟิงเดินไปตามท้องถนนในเจียงโจว

เมื่อมองดูความวุ่นวายของผู้คนบนถนนและอาคารสูงมากมายในเมืองนี้ จี้เฟิงที่ยืนอยู่ตรงป้ายรถประจำทางก็อดไม่ได้ที่จะชูกำปั้น ในเมืองที่คึกคักแห่งนี้มันจะต้องมีสถานที่สำหรับฉัน และในบรรดาตึกสูงเหล่านั้นสักวันฉันจะต้องได้เป็นเจ้าของตึกแบบนั้นกับเขาบ้าง!

หลังจากที่เขาได้ระบายความคิดที่อัดแน่นอยู่ในใจ จี้เฟิงก็กลับมาสงบนิ่งอีกครั้ง สาเหตุที่เขาเลือกออกจากค่ายทหารก่อนกำหนดนั้นเป็นเพราะว่าจริงๆแล้วเขาต้องการใช้ประโยชน์จากเวลาหนึ่งเดือนนี้เพื่อทำความคุ้นเคยกับเมืองโดยเร็วที่สุดและมันเป็นโอกาสที่เขาจะได้มองหาธุรกิจที่เหมาะสมกับเขา

แต่ก่อนอื่นเขาต้องนำข้าวของไปเก็บที่ห้องพักของมหาวิทยาลัยก่อน

และในขณะนั้นเองจี้เฟิงรู้สึกได้กลิ่นหอมสดชื่นลอยมากระทบจมูกของเขา

เมื่อได้กลิ่นน้ำหอมที่ชวนหลงใหลจี้เฟิงก็อดไม่ได้ที่จะมองไปรอบๆเพื่อหาเจ้าของกลิ่นน้ำหอมนี้ และทันใดนั้นเขาก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกประหลาดใจ

ห่างจากเขาไปทางซ้ายประมาณสี่ถึงห้าเมตร เขาก็ได้พบกับความงามที่น่าทึ่ง เธอเป็นหญิงสาวอายุประมาณยี่สิบหกหรือยี่สิบเจ็ดปี ผมของเธอม้วนเป็นลอนใหญ่ยาวเลยบ่าไปเล็กน้อย สวมรองเท้าส้นสูงสีม่วงดูแล้วเธอน่าจะสูงราวๆ 175 เซนติเมตรเพราะเธอเตี้ยกว่าจี้เฟิงไม่มากนัก

สิ่งที่ทำให้เธอดูโดดเด่นคือเสื้อผ้าที่เธอสวมใส่ ท่อนบนเป็นเสื้อสไตล์เกาหลีสีดำและท่อนล่างเป็นกางเกงขายาวทรงดินสอ กางเกงขายาวของเธอที่รัดรูปเล็กน้อยแสดงให้เห็นถึงส่วนโค้งของสะโพกเวลาที่เธอเคลื่อนไหวและขาที่เรียวยาวของเธออย่างชัดเจน

แม้ว่าท่อนบนของเธอจะเป็นเสื้อเกาหลีที่หลวมๆแต่ก็ไม่สามารถปกปิดรูปร่างที่น่าภาคภูมิใจของเธอได้ โดยเฉพาะเนินอกที่เด่นชัดของเธอ ไม่ว่าใครที่เห็นเพียงแค่แวบเดียวจะต้องหันกลับมามองซ้ำอีกครั้งอย่างแน่นอน

ในความเป็นจริงแล้วหญิงสาวคนนี้สวมใส่ชุดที่เรียบง่าย แต่กลับให้ความรู้สึกที่น่าทึ่งกับคนอื่นๆที่พบเห็น

จี้เฟิงจ้องมองไปยังใบหน้าของเธออีกครั้ง แต่ครั้งนี้มันกลับทำให้หัวใจของเขาเต้นแรงมากขึ้น

นี่เป็นใบหน้าที่สวรรค์ประทานมาอย่างแน่นอน ไม่ว่าจะเป็นลักษะใบหน้าที่สวยงามหรือดวงตาคู่นั้นที่ดูเหมือนจะสามารถมองลึกเข้าไปถึงจิตใจของผู้คนได้ ใครที่ได้จ้องมองเข้าไปในแววตาของเธอต่างก็ต้องรู้สึกเหมือนหัวใจถูกกระชากออกไป

โคตรสวย!

สองคำนี้โผล่ขึ้นมาในความคิดของจี้เฟิงทันที เขาเชื่อว่าถ้าเพื่อนซี้ของเขาจางเล่ยอยู่ที่นี่กับเขาด้วย เขาจะต้องพูดคำนี้ออกมาอย่างแน่นอน

แท้จริงแล้วผู้หญิงคนนี้ก็สามารถเรียกได้ว่าสวยที่สุดแล้วตั้งแต่จี้เฟิงเคยพบเจอมา

ในความคิดของจี้เฟิง จากบรรดาผู้หญิงที่เขารู้จัก เซียวหยูซวนน่าจะเป็นคนเดียวที่พอจะสามารถนำมาเปรียบเทียบกับผู้หญิงคนนี้ได้ เรียกได้ว่าทั้งสองคนมีความงามที่ชวนให้ทึ่งและมีรูปร่างที่สมบูรณ์แบบเกือบจะเหมือนกันทุกส่วน

แน่นอนว่าถ้าจี้เฟิงยืนกรานที่จะหาความแตกต่างระหว่างหญิงสาวทั้งสองคนนี้ จี้เฟิงก็ต้องยอมรับตามตรงว่าผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้าเขานั้นน่าจะดีกว่า แต่ไม่ใช่เพราะผู้หญิงคนนี้สวยกว่าเซียวหยูซวนแต่เป็นเพราะเธอมีเสน่ห์แบบผู้ใหญ่ที่เซียวหยูซวนนั้นยังไม่มี

ใช่! มันเป็นความสวยที่ดึงดูดใจแปลกๆ

แม้เสน่ห์แบบนี้อาจจะไม่เกี่ยวกับอายุสักเท่าไหร่ เพราะเมื่อมองแวบแรกเธอและเซียวหยูซวนน่าจะมีอายุไล่เลี่ยกัน แต่อย่างไรก็ตามจี้เฟิงกลับรู้สึกถึงเสน่ห์ที่แตกต่างจากผู้หญิงคนนี้

อืม... จี้เฟิงครุ่นคิดอย่างหนักและในที่สุดเขาก็พอจะนึกได้ว่าอะไรทำให้เสน่ห์ที่น่าค้นหาของเธอคนนี้นั้นแตกต่างจากเซียวหยูซวน

เป็นเสน่ห์ของหญิงสาวที่เคยผ่านการมีคู่ครองมาแล้ว!

ใช่แล้ว! ถูกต้อง!

แม้ว่าเซียวหยูซวนจะมีอายุไล่เลี่ยกัน แต่ในทางปฏิบัติแล้ว เซียวหยูซวนนั้นยังไม่ได้แต่งงานและเธอน่าจะยังไม่เคยผ่านมือชาย ดังนั้นจึงถือได้ว่าเธอก็เหมือนกับเด็กผู้หญิงที่มีอายุมากกว่า

แต่ผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้าของจี้เฟิง เธอเป็นหญิงสาวที่สวยงามครบเครื่อง เสน่ห์ที่เย้ายวนความสวยเซ็กซี่แบบผู้ใหญ่คือความแตกต่างของเธอกับเซียวหยูซวน

จี้เฟิงอดไม่ได้ที่จะส่ายหัวเล็กน้อย มันเกิดอะไรขึ้นกับเขาทำไมเขาถึงต้องมาครุ่นคิดเรื่องพวกนี้เมื่อเขาเห็นผู้หญิงสวยๆ หรือมันเป็นโรคติดต่อมาจากจางเล่ย?

เมื่อคิดได้แบบนี้จี้เฟิงจึงคิดที่จะถอนสายตาออกจากหญิงสาวคนนั้น แต่ทันใดนั้นเขาก็เห็นว่าหญิงสาวคนที่เขาจ้องมองอยู่หันหน้ามาทางเขาด้วยสายตาที่แสดงถึงความรังเกียจ มันทำให้จี้เฟิงถึงกับตกใจ

หรือว่าฉันกำลังทำให้เธอไม่พอใจ?

แต่เมื่อเขามาลองคิดทบทวนดู เขาก็เข้าใจได้ในทันที เป็นเพราะหญิงสาวคนนี้รู้ว่าเขากำลังจ้องมองเธออยู่ เธอจึงมองมาด้วยความรังเกียจสินะ?

หลังจากที่จี้เฟิงวิเคราะห์ความเป็นไปได้และก็น่าจะเป็นเช่นนั้นจริงๆ เขาจึงได้แต่ถอนหายใจ จากนั้นเขาก็หันศีรษะกลับมาแล้วได้แต่ยิ้มอย่างละอายใจ มันเป็นเรื่องที่ไม่สุภาพมากในการจ้องมองคนอื่นอย่างไร้ยางอาย ยิ่งไปกว่านั้นคนที่ถูกมองกลับรู้ตัวและพบพฤติกรรมที่น่าอายนี้ของเขา

ตอนนี้เป็นเวลาเกือบห้าโมงเย็นแล้ว ซึ่งเป็นช่วงเวลาเร่งด่วนสำหรับผู้คนที่กำลังเลิกงาน จำนวนรถบนท้องถนนเพิ่มขึ้นอย่างมากจนแทบจะทำให้การจราจรติดขัด ไม่เพียงแต่รถบนท้องถนนเท่านั้นที่เพิ่ม แม้แต่ป้ายรถบัสที่จี้เฟิงยืนอยู่ก็เต็มไปด้วยผู้คน

เนื่องจากตรงป้ายรถบัสที่จี้เฟิงยืนอยู่ไม่ใช่ใจกลางเมืองจึงมีรถประจำทางน้อยกว่าปกติ หากจี้เฟิงต้องการจะกลับไปยังมหาวิทยาลัยจะมีรถประจำทางเพียงสายเดียวเท่านั้นที่เขาสามารถจะโดยสารไปได้ จี้เฟิงมองไปที่ป้ายบอกเวลาและพบว่ารถประจำทางคันที่เขาต้องการจะโดยสารจะมาถึงเวลา 17.30 น.

จี้เฟิงขมวดคิ้วอย่างช่วยไม่ได้ เขาไม่คาดคิดว่าจะมีรถประจำทางน้อยขนาดนี้ คุณรู้หรือไม่ว่าสถานที่ซึ่งเป็นที่ตั้งมหาวิทยาลัยของจี้เฟิงเป็นเขตพัฒนาเศรษฐกิจไฮเทคที่เพิ่งสร้างขึ้นเพียงไม่กี่ปีที่ผ่านมา มีบริษัทไฮเทคจำนวนมากอยู่ที่นั่น รวมไปถึงบริษัทข้ามชาติที่มีชื่อเสียงบางแห่งไม่ว่าจะเป็นสาขาเล็กและสาขาใหญ่ต่างก็ตั้งอยู่ที่นั่นโดยตรง

ซึ่งตามหลักเหตุผลแล้วปัญหาการจราจรต้องได้รับการแก้ไขก่อน แต่จากที่เห็นตอนนี้ดูเหมือนว่าจะต้องมีการปรับปรุงแก้ไขอีกมาก

จี้เฟิงที่คิดเรื่องเหล่านี้ก็ได้แต่หัวเราะอย่างว่างเปล่า แม้ว่าบริษัทเหล่านั้นจะตั้งอยู่ในเขตพัฒนาแต่ก็มีคนบอกว่าคนที่ทำงานส่วนใหญ่ต่างก็เช่าบ้านอยู่ใกล้ๆกับบริษัทที่ตนทำงาน ส่วนเจ้านายหรือผู้บริหารของบริษัทเหล่านั้นกลับซื้อบ้านอยู่ที่อื่น

แล้วใครเคยเห็นเจ้านายหรือเจ้าของบริษัทนั่งรถประจำทางไปทำงานบ้าง?

ยิ่งไปกว่านั้นสถานที่แห่งนี้ยังอยู่ในที่ห่างไกลแม้ว่าจะเจริญรุ่งเรืองมากเมื่อเทียบกับเขตเล็กๆอย่างหมางซือ แต่สำหรับเจียงโจวนั้นถือได้ว่าสถานที่นี้เป็นเพียงชานเมืองเท่านั้น

การเดินทางที่ไม่สะดวกในสถานที่แห่งนี้จึงเป็นเรื่องที่สามารถเข้าใจได้

จี้เฟิงส่ายหัวและถอนหายใจเล็กน้อย “ฉันคงจะไม่เกรงใจและให้เขาไปส่งฉันถึงที่มหาวิทยาลัยซะก็ดี ถึงแม้ว่าตอนนี้ฉันอยากนั่งแท็กซี่ก็ไม่สามารถทำได้ ฉันไม่น่าเสียเวลามารอรถประจำทางเลย เฮ้อ..!”

ก่อนหน้านี้เป็นเพราะเขาเกรงว่าผู้บัญชาการอาจจะมีเหตุจำเป็นที่จะต้องใช้รถ เขาจึงปฏิเสธที่จะให้คนขับรถของผู้บัญชาการไปส่งเขาที่มหาวิทยาลัย แต่พอมาถึงจุดนี้เขาจึงคิดว่านี่เป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาดโดยสิ้นเชิง

ไม่เพียงแต่จี้เฟิงที่ถอนหายใจ แต่คนอื่นๆที่ยืนรออยู่ที่ป้ายรถประจำทางก็อดไม่ได้ที่จะบ่น

อันที่จริงจี้เฟิงยังคิดอยู่เลยว่าตัวเขานั้นช่างโชคร้าย ทำไมเขาถึงได้มาในช่วงเวลาเร่งด่วนที่ผู้คนส่วนใหญ่เลิกงานและเดินทางกลับบ้านอย่างพอดิบพอดีได้ขนาดนี้

เจียงโจวเป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจ จึงทำให้มีผู้คนหลายสิบล้านคนอาศัยอยู่ที่นี่เพราะฉะนั้นเราพอจะสามารถจินตนาการได้ว่าจะมีผู้คนมากมายขนาดไหนบนท้องถนนเมื่อถึงช่วงเวลาที่เร่งด่วนที่สุดสำหรับการเดินทาง

ตอนนี้เป็นเวลาเกือบจะห้าโมงครึ่งแล้วแต่รถประจำทางที่จี้เฟิงรออยู่ก็ยังมาไม่ถึง การจราจรที่ติดขัดบนท้องถนนทำให้ผู้คนเป็นกังวล และผู้คนที่ป้ายรถประจำทางนี้ก็มามากขึ้นเรื่อยๆ

“แย่ชะมัด สงสัยฉันคงได้ออกกำลังกายโดยการวิ่งกลับไปมหาลัยซะล่ะมั้ง!” จี้เฟิงแอบบ่นพึมพำ ในที่สุดเขาก็รู้ซึ้งถึงรถประจำทางในเจียงโจว

ไม่น่าแปลกใจเลยที่คนมักจะพูดกันว่า พนักงานออฟฟิศที่ทำงานในเจียงโจวที่ต้องนั่งรถประจำทางไปทำงาน มีเวลาเฉลี่ยที่พวกเขาอยู่บนท้องถนนคือชั่วโมงครึ่ง ซึ่งมันเป็นอะไรที่แย่มาก

จี้เฟิงไม่ใช่คนเดียวที่เซ็งกับเหตุการณ์ในตอนนี้ เพราะคนอื่นๆก็รอไม่ได้อีกต่อไป พวกเขาเริ่มมองหารถแท็กซี่และเลือกที่จะนั่งแท็กซี่กลับบ้านแทน และจี้เฟิงก็พบว่าผู้หญิงสวยที่เขาเห็นก่อนหน้านี้ก็พยายามมองหาแท็กซี่อยู่ริมถนนเช่นกัน

อย่างไรก็ตามเวลานี้จะหาแท็กซี่ได้จากที่ไหน เพราะรถที่เต็มท้องถนนร่วมถึงผู้คนต่างก็คิดเหมือนๆกัน พวกเขาแทบจะเหยียบกันเองเพื่อแย่งกันขึ้นรถแท็กซี่

“มาแล้ว!”

ในตอนนั้นไม่รู้ว่าเป็นเสียงของใครตะโกนขึ้น จากนั้นสายตาของทุกคนก็มองไปที่ถนนทันที และก็พบว่ารถประจำทางกำลังขับเข้ามาอย่างช้าๆ ความเร็วแทบจะไม่ต่างจากการขี่จักรยาน

“ในที่สุดก็มาซะที!” จี้เฟิงอดไม่ได้ที่จะส่ายหัวและยิ้มอย่างขมขื่น เขาดูเวลาก็พบว่าตอนนี้เป็นเวลาเกือบจะหกโมงเย็นแล้ว

อย่างไรก็ตามหลังจากที่รถประจำทางจอด จี้เฟิงก็ต้องตกตะลึง

…จบบทที่ 128~❤️

-------------------------------------------------------

คุยกันท้ายบท

ตอนนี้เนื้อหาไม่เข้มข้นเท่าไหร่เลยเปิดเป็นตอนฟรีนะคะ

ขอขอบคุณผู้อ่านทุกท่านที่ติดตามกันมาจนถึงตอนนี้ด้วยนะคะ

ด้วยรัก

เนตรนารีสีชมพู

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด