ตอนที่แล้วตอนที่ 243 ไร้ที่ยืนบนแผ่นดิน
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 245 อาณาเขตพื้นพิภพ

ตอนที่ 244 ต้องพยากรณ์สามวัน


“เจ้าไม่ต้องทำแบบนั้นหรอก สิ่งที่ข้าได้รับจากเหนือภพ มันเป็นเพียงแค่เวรกรรมที่ข้าก่อขึ้นมาเท่านั้น อะไรที่แล้วไปแล้วก็ช่างเถอะ ข้าขอไม่เกี่ยวข้องกับเขาอีกแล้ว ต่างคนต่างอยู่”

บุษย์น้ำทองเงยหน้าขึ้นสบตากับเตชินท์อย่างจริงใจ

“ข้าขอบคุณที่เจ้ามีใจอยากแก้แค้นให้ข้า แต่ขืนทำไปก็เท่านั้น เจ้าที่อ่อนแอจะสู้อะไรกับยอดฝีมือเช่นนั้นได้ เขาไปไกลเกินกว่าที่เราจะตามทันแล้ว ต่อให้ข้าไม่ได้ชอบเจ้า แต่เจ้าเป็นว่าที่สามีของข้า ข้ายังไม่อยากเป็นม่ายหรอกนะ เจ้ารีบกลับไปเถอะอีกอย่างได้ทำผิดขนบธรรมเนียมเช่นวันนี้อีก”

เมื่อเตชินท์เห็นท่าทีอ่อนโยนของหญิงสาว เขาก็ยิ้มออกมาทั้งน้ำตา นี่เป็นครั้งแรกที่นางยอมพูดกับเขาดี ๆ ในใจบังเกิดความรู้สึกฮึกเหิม เขาเข้าใจในตัวนาง ไม่ใช่ว่าบุษย์น้ำทองไม่อยากแก้แค้น แต่นางรู้ตัวว่าไม่สามารถแก้แค้นได้ แถมยังกังวลว่าเขาจะเป็นอันตราย และเขาจะทำให้นางผิดหวังได้ยังไง

ตลอดเวลาที่ผ่านมาเตชินท์ไม่เคยหยุดพัฒนาตัวเอง จนกระทั่งเขาพบกับคนผู้นั้น ชายที่ทำให้เขาแข็งแกร่งเหนือผู้ใดบนแคว้นอมตะนี้ ต่อให้เหนือภพเอาชนะนิลปัทม์ได้แล้วอย่างไร เขาก็เคยทำให้คนแข็งแกร่งเหนือกว่านิลปัทม์พ่ายแพ้มาแล้ว ไม่เช่นนั้นเขาคงไม่ได้เป็นองค์รัชทายาทเพียงหนึ่งเดียว

‘เหนือภพเจ้าต้องตาย’

เตชินท์หันหลังกลับอย่างรวดเร็ว แววตาของเขาฉายแววโหดเหี้ยม ทั้งตาดำและตาขาวแปรเปลี่ยนสีดำสนิทเพียงชั่วครู่ ก่อนที่สีนัยน์ตาจะกลับมาเป็นปกติ

ณ หอคอยนักปราชญ์

ในที่สุดการรอคอยอันยาวนานของเหนือภพก็จบลงเสียที เขาได้รับคำเชิญเข้าไปในหอคอย เหนือภพที่มีประสบการณ์อยู่ก่อนแล้ว เขาจึงไม่พูดมากความ เพียงแค่หยิบก้อนโลหะที่มีสีทองแทรกอยู่ภายในเนื้อของมันออกมาให้ชายชราเบื้องหน้าดู

นักปราชญ์ปริศนามีสีหน้าเหลือเชื่อ

“นี่คือศิลากลายทอง โลหะที่แข็งแกร่งที่สุดบนทวีปนี้  มีถิ่นกำเนิดอยู่บนดินแดนลับแลสิบสองดรุณธารา แต่ถึงอย่างนั้นการพบเจอศิลากลายทองก็ยังยาก แม้แต่คนของแดนลับแลก็ยังไม่มีโอกาสจะได้เห็น โดยปกติแล้วศิลากลายทองนั้นพันปีถึงจะปรากฏให้เห็นสักครั้ง ข้าคิดไม่ถึง ของหายากเพียงนี้ ท่านได้มันมาได้อย่างไร”

เหนือภพบอกไปตามตรงว่ามีคนส่งมาให้เขา ทำให้นักปราชญ์ปริศนาค่อนข้างตื่นเต้น เขาย่อมรู้ว่าเหนือภพพูดความจริง และพอจะคาดเดาได้ว่าเบื้องหลังของเด็กหนุ่มผู้นี้ต้องไม่ธรรมดา ถึงขนาดมีคนส่งศิลากลายทอง โลหะที่หายากมาให้การช่วยเหลืออย่างลับ ๆ

“แล้วเจ้าสิ่งนี้มีไว้ทำอะไรครับ สร้างอาวุธหรือชุดเกราะ”

“ถ้าสามารถหลอมมันได้ ก็ทำทั้งนั้นแหละ แต่น่าเสียดายที่วิธีการหลอมศิลากลายทองนั้นสูญหายไปพร้อมการล่มสลายของทวีปสุริยะ ทำให้หลังจากเหตุการณ์นั้นไม่มีมีอาวุธระดับฟ้าปรากฏขึ้นมาอีก แม้แต่ในทวีปอื่น วิธีหลอมสร้างอาวุธระดับฟ้าก็ล้วนสูญหายไปหมด ถึงมีก็เป็นความลับที่มีแต่แม้หอนักปราชญ์ก็ยังไม่มีข้อมูลของมัน”

“ไม่มีวิธีเลยหรือครับ”

“เจ้ากำลังถามคำถามข้อที่สอง ราคาที่เจ้าจ่ายก็ย่อมสูง”

“ตอบมาเถอะครับ ไม่ว่าอะไรข้าก็ยอมจ่าย ขอเพียงให้ได้รู้”

เหนือภพบอกด้วยประกายตามุ่งมั่น

“ว่ากันว่าจักรพรรดิตรีกูฎมาศ เจ้าผู้ครองนครทองคำในตำนานได้ครอบครองเตาหลอมโลกันตร์ ที่สร้างขึ้นจากเศษเสี้ยวศาสตราวุธระดับฟ้า ภายในเตาหลอมโลกันตร์นั้นมีจารึกโบราณเก่าแก่สลักอยู่ สันนิษฐานว่ามันคือแบบแปลนอาวุธระดับฟ้า แต่น่าเสียดายก่อนจักรพรรดิตรีกูฎมาศดับขันธ์ เขาได้สร้างสุสานจำลองตามแบบนครทองคำแยกออกไป 1,200 นคร กระจายอยู่ทั่วทวีปสุริยะ จนบัดนี้ก็ยังไม่มีใครหาพบว่าเตาหลอมโลกันตร์อยู่ที่นครใดกันแน่”

เหนือภพมีสีหน้าตกตะลึงพรึงเพริด แต่ไม่กี่วินาทีต่อมาเขาก็เก็บอาการเอาไว้ได้ เขาจะให้รู้ไม่ได้ว่าเตาหลอมโลกันตร์ที่ว่านั้น ตกอยู่ในมือของเขาแล้ว เหนือภพกำมือแน่นจนเล็บจิกเข้าไปในฝ่ามือ เพื่อระงับอาการตื่นเต้นดีใจ

ทว่านักปราชญ์กลับเข้าใจไปว่าชายหนุ่มเบื้องหน้ากำลังตกใจและสิ้นหวัง นักปราชญ์ถอนหายใจอย่างเอ็นดูชายหนุ่ม ก่อนจะพูดด้วยความอ่อนโยน

“เจ้ารู้หรือไม่ ศิลากลายทองไม่ได้ใช้ทำศาสตราวุธได้อย่างเดียว”

ใบหน้าเหนือภพเต็มไปด้วยคำถาม ในขณะที่นักปราชญ์ปริศนายิ้ม

“ข้าพอเข้าใจแล้วว่าทำไมถึงมีคนส่งศิลากลายทองมาให้เจ้า ไม่ใช่เพื่อให้สร้างอาวุธหรือชุดเกราะอะไรทั้งนั้น แต่เพื่อขจัดไอมารในกายเจ้า”

สีหน้าของเหนือภพที่ควบคุมให้เยือกเย็น กลับตื่นตะลึงจนออกนอกหน้า ใครกันที่หวังดีต่อเขาเพียงนี้ ถึงขนาดส่งของล้ำค่านี้มาให้เขา

“มันไม่มีกับดักอยู่ใช่หรือไม่”

“เจ้าสบายใจได้ ศิลากลายทองนั้นต่อให้มีคนคิดอยากเล่นตุกติก แต่ก็คงมีแต่ระดับผู้ชี้นำที่จะทำได้ ดังนั้นเจ้าวางใจได้ คนที่ส่งของนี้มาให้เจ้า ถ้าหากไม่เทิดทูนเจ้าสุดหัวใจ ก็คงต้องบ้ามาก ของสิ่งนี้ล้ำค่ามากพอที่จะทำให้คนจากทวีปอื่นเดินทางนับแสนนับล้านโยชน์ เพื่อมาล่าเจ้า”

“ล้ำค่าเพียงนี้”

“ถูกต้อง แต่สิ่งที่ศิลากลายทองทำได้ยังมีอีกเยอะ ข้าแถมให้เจ้าอีกสักประโยคก็ได้ ‘เมื่อราชันย์เหล็กไหลยอมรับ ก็เท่ากับว่าแผ่นดินอยู่ในกำมือ’ นี่เป็นคำพูดที่กล่าวมาตั้งแต่โบราณ”

เหนือภพเลิกคิ้วอย่างแปลกใจ ใครกันที่ดีกับเขาเพียงนี้ ช่างดาบงั้นหรือ หรือจะเป็นผู้คุมกฎซ้าย

“เอาล่ะสิ่งที่เจ้าต้องการ ข้าก็ตอบเจ้าไปหมดแล้ว ถึงเวลาที่เจ้าจะต้องจ่ายคืนให้ข้า”

“ว่ามาเถอะ ท่านอยากรู้ความลับอะไรจากข้า”

เหนือภพน้อมรับฟังคำถามของนักปราชญ์ปริศนา จากนั้นก็ให้คำตอบที่นักปราชญ์อยากรู้ สำหรับเขาแล้วข้อมูลที่บอกไปนั้นไม่สำคัญเลย ขอเพียงไม่ถามถึงครอบครัวหรือยุ่งเกี่ยวกับน้องสาวเขา เขาสามารถพูดได้ทุกเรื่อง ต่อให้เป็นความลับภายในตัวเขาก็ตาม

ซึ่งสิ่งที่นักปราชญ์ปริศนาอยากรู้ คือวิชาที่เขาฝึกฝนสองวิชาที่ใช้ในการสู้กับนิลปัทม์

หลังจากเหนือภพออกมาจากหอคอยนักปราชญ์ เขาก็กลับมาใช้ชีวิตหลบ ๆ ซ่อน ๆ อยู่ในวิหารบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ สถานที่แห่งนี้ค่อนข้างเงียบ และไม่มีคนพลุกพล่าน โดยเฉพาะเวลากลางคืน มันจึงเป็นที่ซ่อนตัวที่ดีที่สุดสำหรับเหนือภพ

เหนือภพทิ้งตัวนั่งลงในห้องใต้หลังคาที่เปื้อนฝุ่น ใบหน้าเรียบนิ่งของเขาเกิดความเปลี่ยนแปลง เขานิ่วหน้าเมื่อหนังตาขวากระตุกถี่ ขณะที่เขาคว้าเอาอาหารที่เขาห่อมาจากวังการเวก มากินบรรเทาความหิว

เวลานี้ในใจเหนือภพค่อนข้างสับสน เขาเองก็ไม่รู้ว่าตัวเองควรจะทำอะไรต่อไปดี ตอนนี้ข้อมูลเรื่องวิชาที่เขาใช้อย่างหมัดดาราพิฆาตกับโล่ดารา จุดแข็งและจุดอ่อน ก็ล่วงรู้ถึงหอนักปราชญ์แล้ว เชื่อได้ว่าอีกไม่นานคนที่มีความแค้นต่อเขาคงได้รับรู้ข้อมูลนี้เช่นกัน

มีทางเดียวที่จะแก้ปัญหาเรื่องนี้ได้ เขาต้องการพัฒนาตัวเองให้แข็งแกร่งกว่านี้ ข้อมูลที่ทุกคนรู้ก็จะไม่มีใครใช้ประโยชน์ได้อีกต่อไป แต่น่าเสียดายด้วยระดับพลังฝึกฝนลมปราณในปัจจุบันของเขายังไม่เพียงพอให้เขาฝ่าทะลุขั้นต่อไป

หมัดดาราพิฆาตกับโล่ดาราของเขามาถึงทางตัน มีเพียงแต่ต้องทะลวงระดับพลังฝึกฝนไปยังระดับที่เหนือกว่า ถึงจะพัฒนาสองวิชานี้ให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้นได้ แต่หนทางในการทะลวงไปสู่ขั้นกายเหนือดินนั้นยากมาก ลมปราณที่จำเป็นต่อการทะลวงขั้นต่อไปนั้นจำเป็นต้องใช้เวลาในการซึมซับ และต้องการวัตถุดิบในการบำรุงตัวเองจำนวนมหาศาล

ภายในเวลาวันสองวันคงไม่อาจทำได้สำเร็จ แต่เขามีลางสังหรณ์บางอย่าง  ตาขวาของเขาเกิดกระตุกขึ้นมาอีกครั้ง มันเป็นแบบนี้มาสักพักแล้ว โบราณว่าไว้ขวาร้ายซ้ายดี

‘คงไม่มีอะไรเกิดขึ้นกับเราหรอกนะ’

เหนือภพค่อนข้างกังวล เหนือฟ้ายังมีฟ้า ถึงเขาจะแข็งแกร่ง แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีคนแข็งแกร่งไปกว่าเขา บางทีเพื่อที่จะจับเขา องค์เจ้าแคว้นอาจใช้ทรัพย์สินว่าจ้างผู้แข็งแกร่งต่างทวีปมาเพื่อจัดการเขา ไหนจะคนของลัทธิดับดารานั่นอีก ตลอดหนึ่งเดือนที่ผ่านมานี้ ถึงจะไม่มีการเคลื่อนไหวของพวกมัน ก็ใช่ว่าพวกมันจะรามือ ไม่รู้ว่าพวกมันกำลังเตรียมการอะไรอยู่ อะไรก็เป็นไปได้ทั้งนั้น

เหนือภพนิ่วหน้ารีบเอาศิลากลายทองออกมา ปัญหาของเขาในตอนนี้คือการกำจัดไอมารที่เหลืออยู่ ถึงมันจะลดลงไปกว่าครึ่งเพราะค่ายกลเทพสวรรค์โบราณ แต่ไอมารส่วนที่เหลือในกายเขานั้นได้ฝังลึกผสานเข้ากับจิตวิญญาณของเขา จนยากที่แยกออกโดยง่าย

‘หวังว่ามันจะได้ผล’

เหล็กไหลราชันย์พิภพในกายสั่นระริกระรี้ ความร้อนแล่นผ่านกระแสเลือดไปทั่วร่าง มันดูตื่นเต้นและกำลังแสดงความสนใจศิลากลายทองนี้อย่างบ้าคลั่ง

ความรู้สึกอยากดูดกลืนโลหะนี้ มีมากจนเหนือภพถูกครอบงำโดยเหล็กไหลราชันย์พิภพ  เพราะตามปกติเหนือภพจะขัดขวางและต่อต้านความอยากอันไร้เหตุผลนี้

'ใครจะบ้าไปกินโลหะกัน'

แต่ครั้งนี้เหนือภพไม่ปิดกั้นความอยากของตัวเองอีก เขาหลับตาลงแล้วปล่อยให้เหล็กไหลราชันย์พิภพทำสิ่งที่มันต้องการ หากมันมีความต้องการในสิ่งนี้ ก็แปลว่ามันต้องมีวิธีในการจัดการศิลากลายทอง

กระดูกทั่วร่างของเหนือภพที่ถูกสร้างขึ้นใหม่โดยเหล็กไหลราชันย์พิภพ พากันเปล่งแสงสีทองสว่าง จนแสงสีทองสว่างจ้าทะลุผิวหนังออกมา เขาสามารถเห็นรูปร่างกระดูกสีทองทั่วร่างได้ชัดเจนจากภายนอก

ศิลากลายทองที่อยู่ในกล่องไม้เบื้องหน้าเหนือภพเกิดการสั่นไหว ก่อนมันจะถูกกระแสปราณสีเหลืองทองของเหล็กไหลราชันย์พิภพเข้าแทรกซึม จนมันลอยขึ้นก่อเกิดแสงสว่างเจิดจ้าสว่างจนพื้นที่กว่าห้าร้อยตารางเมตรภายในเมืองหลวงอมตะสว่างราวกับกลางวัน

ปรากฏการณ์นี้ทำให้เหล่าผู้คนที่ใช้ชีวิตยามค่ำคืน พากันตกตะลึง ยิ่งจุดกำเนิดแสงออกมาจากวิหารบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ก็ยิ่งเป็นที่โจษจัน เป็นที่รู้กันว่าแสงสีทองคือตัวแทนของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ทำให้เหล่าชาวเมืองต่างพากันก้มกราบราบลงกับพื้น ต่างสวดวิงวอนต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ก่อเกิดเสียงพึมพำอ้อนวอนอยู่ทั่วทุกมุมของเมือง

ไม่เว้นแม้แต่พระราชวังอมตะ องค์เจ้าแคว้นถูกปลุกให้ตื่นขึ้นมาดูเหตุการณ์นี้ โหรหลวงถูกเรียกตัวเข้าพบในทันใด จากนั้นก็ให้ทำนายทายทักต่อเห็นการณ์ที่เกิดขึ้น

“พระอาญาไม่พ้นเกล้า การถวายคำพยากรณ์ครั้งนี้แปลกประหลาด ดวงดาวเคลื่อนตัว เป็นสัญญาณของการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดี แต่ดวงดาวเหล่านั้นก็มีเงามืดของพระราหูบดบัง เป็นสัญญาณของศึกสงคราม เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงย่อมมีการสูญเสียครั้งใหญ่ ตอนนี้กระหม่อมไม่อาจถวายคำพยากรณ์ที่ชัดเจนได้  เหตุการณ์ครานี้มันเป็นเรื่องสำคัญของบ้านเมือง จำเป็นจะต้องคำนวณและพยากรณ์ด้วยความระมัดระวังอย่างยิ่ง เห็นทีว่าจะต้องใช้เวลาถึงสามวัน กระหม่อมจึงจะกราบทูลถวายคำพยากรณ์ได้ พระเจ้าค่ะ”

คำกล่าวของโหรหลวงทำให้องค์เจ้าแคว้นเป็นกังวล สัญญาณของการเปลี่ยนแปลงนี้เห็นได้ชัดว่า พระองค์อาจจะมีพระชนม์ชีพอยู่ได้อีกไม่นาน บางทีสิ่งที่ควรทำ พระองค์ก็คงต้องเริ่มมันได้แล้ว

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด