ตอนที่แล้วตอนที่ 242 ทุกคนต่างมีความลำบากใจ
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 244 ต้องพยากรณ์สามวัน

ตอนที่ 243 ไร้ที่ยืนบนแผ่นดิน


สายธารสบตาสมุทรอย่างไม่กลัวเกรง เธอรู้ว่าน้องชายกำลังไม่พอใจ แต่นี่เป็นเรื่องสำคัญที่เธอมีสิทธิ์ตัดสินใจ

“ด้วยสภาพของเจ้าในตอนนี้ ยังแข็งแกร่งไม่ได้ครึ่งของจอมทัพนิลปัมท์ด้วยซ้ำ หากเพื่อนเจ้าไม่ไว้หน้าเจ้า เจ้าก็เป็นได้แค่กระสอบทรายไร้ค่าใบหนึ่งเท่านั้น ตามข้ามาสิ ข้าจะพาเจ้าไปยังสถานที่แห่งหนึ่ง”

สมุทรไม่พูด ไม่เปลี่ยนสีหน้า เขาเพียงแค่ลุกขึ้น เดินตามพี่สาวไปอย่างว่าง่าย

สายธารพาสมุทรมาที่ป่าศักดิ์สิทธิ์ของตระกูลไตรลักษณ์ ป่าศักดิ์สิทธิ์คือป่าไม้โบราณที่กว้างใหญ่กว่าห้าร้อยไร่ ต้นไม้แต่ละต้นมีลำต้นประมาณสองคนโอบ และสูงกว่าร้อยเมตร ทั้งชุ่มชื่นและอุดมสมบูรณ์อย่างถึงที่สุด ปราศจากการรบกวนจากภายนอก สถานที่นี้เป็นที่อยู่อาศัยของสัตว์อสูรเทพพิทักษ์ของตระกูล

สมุทรมองสัตว์อสูรผิวกายสีแดงเพลิง ที่มีขนาดใหญ่พอ ๆ กับช้างโตเต็มวัย มันมีรูปร่างเหมือนสุนัขที่หัวเป็นหมาป่า มีเกล็ดเหมือนปลา มีหางเหมือนปลา มีสองเขาอยู่บนหัวเหมือนเก้ง และอุ้งเท้าทั้งสี่เหมือนเสือ นี่คือกิเลน ที่ชื่อ ‘กินกิน’ สัตว์อสูรที่พิทักษ์ตระกูลไตรลักษณ์มาช้านาน

สมุทรยื่นมือไปลูบแก้มของมันด้วยความรัก กินกินเป็นทั้งเพื่อน พี่ชายและพ่อแม่ มันเป็นส่วนหนึ่งของตระกูลไตรลักษณ์ ที่ผูกพันกันมาช้านาน พอคิดว่าหากเขาทำงานที่ได้รับจากองค์เจ้าแคว้นไม่สำเร็จ แล้วทุกคนจะต้องตายก็รู้สึกปวดใจ

“กินกิน ถึงเวลาแล้วที่ผู้นำตระกูลคนใหม่จะได้สืบทอดเจตจำนงของบรรพบุรุษ”

สิ้นเสียงสายธาร กินกินก็ย่อตัวลง เป็นที่เข้าใจกันดีว่ามันกำลังรอให้สมุทรขึ้นหลังมัน แม้สมุทรไม่รู้ว่ามันจะพาเขาไปไหน แต่เขาก็เข้าใจว่านี่เป็นส่วนหนึ่งของหน้าที่

“พี่ ไม่ไปด้วยกันเหรอ”

สายธารส่ายหน้า

“ต่อจากนี้มีเพียงผู้นำตระกูลไตรลักษณ์ถึงจะเข้าไปได้ จำไว้ว่าสิ่งที่เจ้าเห็นต่อจากนี้คือความเป็นจริง จงเข้มแข็ง และรอดออกมาให้ได้ พี่จะรอเจ้ากลับมา”

สมุทรขึ้นขี่หลังกิเลนแดง กิเลนแดงหันกลับมาจ้องมองสายธารครู่หนึ่งเพื่อสั่งลา แววตาของกิเลนแดงค่อนข้างเศร้า เพราะนี่อาจจะเป็นครั้งสุดท้ายที่จะได้พบเจอกัน ก่อนมันจะแหวกมิติออก แล้วกระโดดเข้าไปในนั้น

สายธารมีสีหน้ากังวล สถานที่ที่สมุทรเข้าไปนั้นหากสามารถรอดกลับมาได้ภายในสามวัน เขาจะแข็งแกร่งขึ้นอย่างก้าวกระโดด จนสามารถทำงานที่องค์เจ้าแคว้นสั่งได้สำเร็จ แต่หากว่าไม่ เขาก็ไม่ต่างจากผู้นำตระกูลไตรลักษณ์คนอื่น ๆ ที่จบชีวิตอยู่ภายในนั้น

เธอภาวนาขอให้น้องชายเธอผ่านไปได้ด้วยดี แต่หากไม่ การเสียสละของกินกินเป็นครั้งสุดท้ายคงไร้ประโยชน์ หรือไม่บางทีการที่เขาตายภายในนั้น ก็คงจะดีกว่าที่เขาจะต้องเห็นคนทั้งตระกูลถูกเข่นฆ่า

สายธารค่อย ๆ เดินออกจากป่าศักดิ์สิทธิ์ พลางหวนคิดถึงความแสบของน้องชาย จากความกังวล ห่วงหา ก็ค่อย ๆ แปรเปลี่ยนเป็นความหวังในทุก ๆ ย่างก้าวของเธอ เธอให้กำลังใจตัวเองจนสามารถปรับสีหน้าให้เป็นปกติได้

เมื่อสายธารก้าวพ้นเขตป่า ก็มีบ่าวรับใช้เข้ามารายงาน

“คุณหนูใหญ่ แขกที่ท่านนัดมาถึงแล้วขอรับ”

“อืม พาข้าไปที”

“ขอรับคุณหนูใหญ่”

เมื่อสายธารมาถึงเรือนรับรองของตระกูลไตรลักษณ์ เธอก็พบกับพระมหาอุปราช องค์อนุชาขององค์เจ้าแคว้น

“ข้อเสนอที่ข้าพูดไป เจ้าคิดดีแล้วหรือยังล่ะ” พระมหาอุปราชถามด้วยรอยยิ้ม

“หากท่านทำให้ตระกูลของข้าน้อยรอดพ้นวิกฤติครั้งนี้ได้ จะให้ข้าทำอะไร ข้าก็ยอมทั้งนั้น”

หญิงสาวพูดด้วยรอยยิ้มงดงามและยั่วยวน ทำให้ชายวัยกลางคนในชุดสูงศักดิ์มองรูปร่างของหญิงสาวด้วยสายตาหื่นกระหาย

ทางด้านเหนือภพ

เหนือภพยังคงใช้ชีวิตหลบซ่อน ๆ ปิดบังตัวตน ฝึกวิชา และลักลอบเข้าหอสมุดเพื่ออ่านตำราเสริมสร้างความรู้ ไม่รู้ว่าเพราะอะไรเขาถึงอยากอ่านหนังสือมากขนาดนี้ เหนือภพเองก็ไม่อาจให้คำตอบแก่ตัวเองได้ เขารู้เพียงว่าเขามีความกระหาย อยากรู้อย่างเห็น อยากได้ในสิ่งที่เขาไม่มีอย่างไม่มีสิ้นสุด

จนเวลาเนิ่นนานผ่านไปเกือบเดือน ใกล้ถึงเวลาที่เขาได้นัดหมายกับเตโชวาสิน เพื่อไปทำภารกิจพิเศษ จากที่ต้องการให้เพื่อนมาร่วมทีม สุดท้ายเขาก็กลายเป็นคนที่ทุกคนมองว่าชั่วร้าย และคาดหวังให้เขาไปรับผิดในสิ่งที่เขาไม่ได้ตั้งใจทำ แม้แต่น้องสาวก็ไม่อยากพบหน้าเขา ชีวิตของนางหลังจากมีพี่ชายเป็นฆาตกร ก็เปลี่ยนไป

ถึงนางจะถูกปกป้องโดยฌายิน จนไม่มีใครกล้ายุ่ง แต่เพื่อนและคนใกล้ชิดก็ต่างดูถูก และรังแกนาง และเมื่อไปสั่งสอนคนพวกนั้น มันกลับทำให้เหนือฟ้าเกลียดเขามากขึ้น นอกจากองค์หญิงบุษย์น้ำเพชรแล้ว ก็ไม่มีใครเข้าใจเขาอีก

หากจะให้เขาแบกหน้าไปอธิบายเรื่องราวให้ทุกคนเข้าใจ เขาก็ทำใจไม่ได้ เพราะแม้แต่เขายังไม่อาจให้อภัยตัวเอง แล้วเขาจะกล้าไปขอให้คนอื่นให้อภัยได้อย่างไร

เหนือภพยังคงแวะเวียนมาหาองค์หญิงบุษย์น้ำเพชรเหมือนเช่นเคย เพื่อส่งข่าวสารให้นางรับรู้

“อีกสามวัน คนของสำนักงานฮันเตอร์ส่วนกลางจะมาถึง เจ้าและคนของเจ้าเตรียมพร้อมหรือยัง”

“เรียบร้อยแล้วเจ้าไม่ต้องกังวล”

บุษย์น้ำเพชรตอบ ขณะมีสีหน้าลำบากใจ จากนั้นเธอก็ตัดสินใจเอ่ยถามเหนือภพ

“แล้วเจ้าจะทำยังไง ในภารกิจครั้งนี้แม้เจ้าจะเปลี่ยนใจไม่ให้เพื่อนของเจ้าเข้าร่วมด้วย แต่เพื่อนของเจ้าได้รับคำสั่งจากองค์เจ้าแคว้นให้ตามล่าตัวเจ้า หากเขาทำไม่สำเร็จ เขาจะถูกประหารทั้งตระกูล ดังนั้นข้าคิดว่าภารกิจพิเศษในครั้งนี้ เขาย่อมต้องตามเจ้าไปแน่”

เหนือภพนิ่งไปชั่วครู่ จากนั้นสายตาของเหนือภพก็ค่อย ๆ เผยความเย็นชาออกมา

“มันช่วยไม่ได้ ในสายตาของทุกคนข้าเป็นเพียงฆาตกรและกบฏของแผ่นดิน แผ่นดินนี้ไม่มีที่ให้ข้าอยู่ หากไม่ใช่เจ้ายอมรับข้า ข้าก็คงไปจากที่นี่นานแล้ว ดังนั้นใครก็ตามที่ขัดขวางข้าและเจ้า ข้าจะไม่เก็บมันไว้”

บุษย์น้ำเพชรผงะเล็กน้อยเมื่อได้ยินเช่นนั้น ชายหนุ่มตรงหน้าไม่เคยเย็นชาขนาดนี้มาก่อน ใจหนึ่งเธอก็สงสารเห็นใจเขา อีกใจหนึ่งก็รู้สึกหวาดกลัวอย่างบอกไม่ถูก

หญิงสาวกระแอมเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยปลอบใจให้เหนือภพสงบลง

“นั่นเป็นสิ่งที่ข้าควรทำเพื่อเจ้า เจ้าอย่าได้คิดมากเพียงนั้น ยังไงพวกเขาก็คือเพื่อนเจ้า ทุกคนต่างมีความลำบากใจ ยอมได้ก็ยอม อย่าให้ถึงต้องฆ่าฟันกันเลย”

เหนือภพยิ้มเหยียด

“ขอบคุณสำหรับคำปลอบโยน แต่ข้ารับปากเจ้า แผ่นดินนี้ข้าจะทำทุกวิถีทางเพื่อให้มันเป็นของเจ้า นี่เป็นการตอบแทนคุณจากข้า”

องค์หญิงบุษย์น้ำเพชรใบหน้านิ่งขรึม แม้จะรู้สึกดีเวลาที่เหนือภพเอ่ยปากช่วยเหลือเธอทำเรื่องที่เธอต้องการ แต่พอได้เห็นใบหน้าเย็นชา แววตาอันแสนเศร้าภายในดวงตาสีน้ำตาล มันทำให้เธอรู้สึกปวดใจ

เธอเคยชินกับเหนือภพที่ไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ ไร้มารยาท พูดจาไม่น่าฟังคนนั้น แต่ชายที่เธอเคยรู้จักคนนั้นกลับกลายเป็นคนเยือกเย็นและเด็ดเดี่ยว ชีวิตพลิกผันต้องเสียทั้งคนรักและก็เพื่อน เขาจะรู้สึกแย่เพียงใดนะ

ณ วังปักษามาศ

“ท่านมาหาข้า มีเรื่องอะไรหรือ”

องค์หญิงบุษย์น้ำทองที่กำลังนั่งแช่เท้าอยู่ในธารน้ำจำลอง ภายในตำหนักของนาง เอ่ยขึ้นเมื่อเห็นชายหนุ่มหน้าหวาน เส้นผมสีแดงดำเหลือบชมพู เข้ามาหา

เขารวบทรงผมเรียบร้อย ดูเป็นเอกลักษณ์ที่ไม่ได้เกิดจากการเสริมแต่ง

เตชินท์ยืนนิ่งจ้องมองหญิงสาวที่ตัวเองรักอย่างเศร้า ๆ เมื่อเห็นท่าทีเป็นปฏิปักษ์จากนาง ทั้ง ๆ ที่อีกไม่กี่วันเขาและนางก็จะได้เข้าพิธีแต่งงานอย่างถูกต้อง

“ข้าแค่อยากจะถามเจ้า ข้าผิดอะไร ทำไมเจ้าถึงเกลียดข้าเช่นนี้”

คำพูดเรียบง่ายที่แฝงไปด้วยความเศร้าของเตชินท์ ทำให้บุษย์น้ำทองสะอึกนิ่งไปชั่วครู่  เธอไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเตชินท์ผิดอะไร แต่เธอแค่รู้สึกว่าเธอไม่ชอบในตัวเตชินท์

“เจ้าไม่ได้ผิด แต่ข้าไม่ชอบเจ้า เจ้ามันอ่อนแอไร้ค่า เทียบไม่ได้แม้แต่กับเจ้าสารเลวเหนือภพ แม้เขาจะชั่วช้าปัญญาทึบ แต่อย่างน้อยเขาก็ยังองอาจห้าวหาญ ไม่ใช่คนขี้ขลาดเยี่ยงเจ้า  ถ้าข้าเลือกได้ ข้ายอมแต่งกับเขาดีกว่าแต่งกับเจ้า”

บุษย์น้ำทองพูดอย่างหักหาญน้ำใจ เธออดทนกับคู่หมั้นหนุ่มมานาน และในเวลานี้เธอก็ไม่มีอะไรจะเสียไปมากกว่านี้แล้ว

พอคิดมาถึงตรงนี้บุษย์น้ำทองก็เหม่อมองธารน้ำเบื้องหน้า ตั้งแต่ที่จอมทัพกลับเข้าเมืองหลวงมา ท่านพ่อก็ไม่สนใจเธออีกแล้ว ขนาดงานแต่งงานที่ท่านแม่เธอตั้งใจจัดขึ้นเพื่อเสริมสร้างอำนาจให้เธอ ท่านพ่อยังไม่เหลียวแล แต่กลับไปตั้งหน้าตั้งตาวางแผนงานแต่งงานให้บุษย์น้ำเพชรแทน

บุษย์น้ำทองเองก็มีสีหน้าเศร้าหมอง ไม่ต่างจากคู่หมั้นหนุ่ม

แววตาของเตชินท์สะท้อนความเจ็บปวดจากส่วนลึก เขาอยากจะค้านคำพูดนาง ว่าเขาไม่ได้ขี้ขลาด ตลอดที่ผ่านมาเขาต้องกตัญญูต่อท่านแม่ เชื่อฟังคำสั่งของนาง เก็บซ่อนความสามารถ แสร้งเป็นคนไร้ค่าเพื่องานใหญ่ หากเขาทำตัวเก่งกาจ เกรงว่าเขาคงถูกศัตรูฆ่าตายไปนานแล้ว และคงไม่มีโอกาสได้สำเร็จงานใหญ่ ทั้งยังไม่มีโอกาสได้พบเจอคนที่ตัวเองรัก

“แล้วเจ้าจะให้ข้าทำยังไง เจ้าถึงจะเปิดใจให้แก่ข้า หรือต้องการให้ข้าตาย”

แววตาเศร้าหมองของบุษย์น้ำทองสั่นไหว ในขณะที่น้ำเสียงอ่อนลง

“ไม่ต้องทำอะไรทั้งนั้นแหละ ยังไงข้าก็หนีชะตาไม่พ้น อีกไม่กี่วันข้าก็ต้องแต่งให้แก่เจ้าอยู่ดี ข้าปฏิเสธได้เหรอ เจ้ารีบกลับไปเถอะ เจ้าไม่รู้หรือว่าห้ามมิให้เจ้าบ่าวและเจ้าสาวพบหน้ากันก่อนวันแต่งงานสามวัน”

“ข้าขอโทษ ที่ข้ามาในวันนี้ข้าอยากให้เจ้ารู้ว่าข้ามิได้ขี้ขลาด ข้าได้ขอต่อองค์เจ้าแคว้นอาสาจับตัวเหนือภพ ข้าจะทำมันให้สำเร็จ ข้าจะให้มันได้ชดใช้ในสิ่งที่มันเคยกระทำต่อเจ้า เป็นของขวัญงานแต่งงานของพวกเรา ข้าอยากให้เจ้ารอ ได้หรือไม่”

เตชินท์พูดจบก็เดินจากไปอย่างองอาจ โดยไม่รอคำตอบ เพราะลึก ๆ ในใจเขาก็กลัวคำตอบเช่นกัน

แววตาของบุษย์น้ำทองฉายแววสับสน ขณะมองแผ่นหลังชายหนุ่มที่จากไป แม้แต่ก่อนเธอจะแค้นเหนือภพมาก จนไม่อยากอยู่ร่วมโลกกัน ก็เพราะว่าเธอหลงรักผู้ชายคนหนึ่ง และหวังให้เขาหันมาชื่นชมเธอ แต่เมื่อเวลาผันผ่าน เธอในตอนนี้กลับไม่ได้รู้สึกเช่นนั้นอีกแล้ว เธอกลับรู้สึกว่าตัวเองนั้นโง่เขลา และสิ่งที่ตัวเธอกระทำในตอนนั้นแย่เพียงไร

“ข้าขอโทษที่พูดเช่นนั้นกับเจ้า ข้าผิดเอง”

บุษย์น้ำทองเอ่ยขอโทษอย่างจริงใจ เตชินท์ที่เดินจากไปไม่ไกลย่อมได้ยิน เขาหันกลับมามองหญิงสาววัยสะพรั่งที่มีท่าทีเปลี่ยนไป นางไม่ได้เป็นแม่เสือร้ายอีกแล้ว แต่กลับดูเหมือนกวางน้อยที่โดดเดี่ยวมากกว่า

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด