ตอนที่แล้วย้อนชีวิตพิชิตเซียน - บทที่ 93 : เงาจำลองสลาย
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปย้อนชีวิตพิชิตเซียน - บทที่ 95 : หนึ่งร้อยล้าน

ย้อนชีวิตพิชิตเซียน - บทที่ 94 : เข้าสู่ขั้นโฮ่วเทียน


บทที่ 94 : เข้าสู่ขั้นโฮ่วเทียน

เวลานี้.. จุดตันเถียนภายในท้องน้อยของซูอานนั้นหมุนอย่างรวดเร็ว และดูเหมือนพลังชีวิตจะหมุนเวียนไปทั่วร่าง เขาจึงรู้สึกร้อนไปทั่วทั้งร่าง แม้ขั้นตอนนี้ก็ใช้เวลาไม่นานนัก แต่ก็เต็มไปด้วยความเจ็บปวดอย่างมาก ซูอานรู้สึกราวกับว่าร่างของตนแทบจะระเบิดออกเป็นเสี่ยง และหากเป็นคนธรรมดาทั่วไปคงยากที่จะทนต่อความเจ็บปวดนี้ได้เป็นแน่

ร่างของซูอานเปียกโชกไปด้วยเหงื่อ แต่เขายังคงหลับตาแน่น ราวกับว่าความเจ็บปวดรวดร้าวเหล่านี้ไม่อาจทำอะไรเขาได้

เวลานี้ของเหลวพลังชีวิตภายในจุดตันเถียนของซูอาน ได้แยกออกเป็นสองสายคือหยิน และหยาง ในขั้นตอนของการแปรเปลี่ยนพลังชีวิตเป็นพลังหยินและหยางนั้น เป็นขั้นตอนที่เจ็บปวดอย่างที่สุด เพราะมีทั้งความร้อนที่ระอุดั่งเตาหลอม แต่แล้วก็กลับแปรเปลี่ยนเป็นความเย็นดุจขั้วน้ำแข็ง..

ซูอานนั่งอยู่ในท่าขัดสมาธิเช่นนั้นจนกระทั่งเข้าสู่รุ่งสางของวันใหม่ พลังหยินและหยางในจุดตันเถียนของเขาจึงก่อตัวได้สำเร็จ ในขณะเดียวกันจุดตันเถียนของหลิงหยุนก็ได้กลายเป็นสัญลักษณ์หยินและหยาง หาใช่วงกลมเปลือยเปล่าอีกต่อไป และสามารถรองรับพลังชีวิตได้มากกว่าเดิมด้วย

ดวงตาทั้งสองข้างที่ปิดอยู่นั้นค่อยๆเปิดออก และในที่สุดเขาก็เข้าสู่ขั้นโฮ่วเทียนได้แล้ว!

ในขณะที่เสี่ยวหลงที่นั่งเล่นตัวเดียวอย่างเบื่อหน่ายอยู่ในห้องนั่งเล่น ก็กระโดดโลดเต้นด้วยความดีใจเมื่อเห็นซูอานลืมตาขึ้น มันจึงรีบกระโดดเข้าไปนั่งข้างๆเขาทันที แต่ซูอานกลับเตะเสี่ยวหลงจนกระเด็นออกไปทันที เพราะเวลานี้เขาไม่มีเวลาที่จะมานั่งเล่นกับมัน

หลังจากนั้นซูอานก็เข้าไปในห้องน้ำ จัดการอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเสียใหม่ เขาสัมผัสได้ว่าร่างของเขานั้นกระปรี้กระเปร่าและมีพลังขึ้นอย่างมาก

ซูอานกำหมัดแน่น และรู้สึกว่ามือทั้งสองของตนนั้นมีพลังอัดแน่นอยู่เต็มไปหมด เขามั่นใจว่าด้วยความแข็งแกร่งของตนเองเวลานี้ เขาจะสามาถทำลายเงาจำลองของชายชราผมขาวนั้นได้เพียงแค่หมัดเดียว และนี่คือความแตกต่างระหว่างผู้ฝึกวรยุทธกับผู้บ่มเพาะพลัง!

การพัฒนาขุมพลังจากขั้นรากฐานไปสู่ขั้นโฮ่วเทียนนั้น นับว่าเป็นการพัฒนาอย่างก้าวกระโดด เป็นการเปลี่ยนแปลงที่ทำให้ผู้ฝึกรู้สึกราวกับว่าได้ค้นพบโลกใหม่เลยทีเดียว!

และในขั้นนี้ ซูอานก็สามารถปลดปล่อยพลังปราณภายในร่างได้ง่ายขึ้น และสามารถใช้พลังเหล่านี้สังหารศัตรูได้รวดเร็วขึ้นเช่นกัน

เวลานี้.. ต่อให้มีใครเอาปืนเล็งมาที่เขาในระยะยี่สิบเมตร เขาก็สามารถจัดการหักแขนคนผู้นั้นได้ทันที แต่ถึงกระนั้นร่างกายของเขาก็ยังไม่สามารถรับกระสุนปืนได้โดยไม่เป็นอะไร เพราะแม้ว่าร่างกายของเขาเวลานี้จะแข็งแกร่งพอควร แต่ก็ยังไม่อาจทานทนต่อลูกกระสุนปืนได้ หากต้องการให้กระสุนปืนไม่สามารถทำอันตรายร่างกายได้ คนผู้นั้นจะต้องเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติให้ได้เสียก่อน

ซูอานหันไปมองนาฬิกา และพบว่าเป็นเวลาแปดโมงตรงพอดี เขาจึงรีบเดินทางไปโรงเรียนเพราะสายมากแล้ว

ซูอานแบกกระเป๋าเป้ไว้ด้านหลัง และรีบนั่งรถประจำทางไปโรงเรียนเหมือนเช่นเคย ไม่ขับรถหรูไป เพราะไม่ต้องการให้นักเรียนคนอื่นๆแตกตื่น จนต้องกลายเป็นจุดสนใจอีกครั้ง..

เวลานี้ซูอานเป็นถึงนักยุทธระดับปรมาจารย์ของเจียงโจวแล้ว มีหรือที่จะสามารถใช้ชีวิตเงียบๆไร้คนสนใจได้อย่างที่ต้องการ และในคืนวันประมูลหวังหลี่หงเพื่อนของซูอานที่อยู่ในงานด้วย ก็รู้เห็นเรื่องราวในคืนนั้นทุกอย่าง..

ซูอานเองก็ได้แต่หวังว่า เพื่อนของเขาจะไม่นำเรื่องในวันนั้นมาเล่าต่อ และหากหวังหลี่หงทำเช่นนั้น เขาคงต้องกลายเป็นจุดสนใจของนักเรียนในโรงเรียนอีกครั้งแน่

เมื่อไปถึง.. ซูอานก็ได้แต่นึกประหลาดใจ เพราะทุกคนกลับเพียงแค่เหลือบมองเขาด้วยหางตาเล็กน้อยเท่านั้น และได้แต่ถอนหายใจด้วยความโล่งอก

‘เฮ้อ.. หวังหลี่หงคงยังไม่ได้พูดอะไร ช่างเป็นความโชคดีของข้านัก!’

ซูอานเดินตรงไปที่ห้องเรียน และนับว่าโชคดีที่เขามาทันเวลาพอดี จึงไม่ถูกครูประจำชั้นประชดประชันเอาอีก หลังจากหมดคาบเรียน เจียงเชาพร้อมกับเพื่อนคนอื่นๆ ต่างก็วิ่งตรงมาหาเขา พร้อมกับจ้องมองซูอานด้วยแววตาตกใจและหวาดผวา

“ลูกพี่ซู! นี่.. ลูกพี่.. เป็นนักยุทธระดับปรมาจารย์ของเจียงโจวจริงๆเหรอ?”

เจียงโจวนั้นไม่ได้มีความรู้เรื่องของโลกนักยุทธมากนัก แต่เป็นหวังหลี่หงที่บอกเล่าและอธิบายให้เขาฟังว่า ตำแหน่งปรมาจารย์ของซูอานนั้นเทียบเท่ากับตระกูลอันดับหนึ่งอย่างตระกูลว่านเลยทีเดียว และนั่นทำให้เจียงเชาถึงกับตกใจจนแทบช็อค!

ซูอานพยักหน้าพร้อมตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบ “อืมม.. เรื่องเล็กน้อย เจ้าอย่าได้ใส่ใจเลย!”

“พวกนายไม่รู้อะไร วันนั้นลูกพี่ซูของเราจัดการคุณชายอู๋ซะน่วมเลย! แล้วนักยุทธอาวุโสตั้งหลายคน ยังคุกเข่าให้ลูกพี่ซูของเราด้วย! อ่อ.. ผู้เฒ่าฮั๋วยังเดินเข้าไปทักทายลูกพี่ซูด้วย..”

ยิ่งเล่า.. หวังหลี่หงก็ยิ่งตื่นเต้นมากขึ้น

“ห๊ะ?! ผู้เฒ่าฮั๋วเหรอ?” เจียงเชาร้องตะโกนถามด้วยความตื่นเต้น “คนที่เคยเป็นนายทหารระดับสูงงั้นเหรอ?”

“ใช่แล้ว!”

ปู่่ของเจียงเชานั้นเคยเป็นทหารอยู่ในกองทัพ และเขาเคารพผู้เฒ่าฮั๋วราวกับเทพเจ้า เจียงเชาจึงเคารพและศรัทธาเหล่าฮั๋วมาตั้งแต่เด็ก

“ลูกพี่ซู.. พี่โคตรเจ๋งเลย!” เจียงเชานิ่งไปครู่ใหญ่ ในที่สุดก็ร้องตะโกนออกมาเสียงดัง

ซูอานขมวดคิ้วกับคำพูดของเจียงเชา จากนั้นเขาก็กวาดสายตามองทุกคนพร้อมกับกำชับว่า “เรื่องนี้พวกเจ้าอย่าได้แพร่งพรายให้ผู้อื่นรู้โดยเด็ดขาด หากมีคนรู้เข้า พวกเจ้ารู้ใช่หรือไม่ว่าจะได้รับผลเช่นใด?”

ทุกคนรีบพยักหน้าหงึกๆทันที.. สำหรับเด็กน้อยเหล่านี้ ซูอานแค่ขู่เล็กน้อยพวกเขาก็ไม่กล้าพูดเรื่องนี้ออกไปแล้ว..

ซูอานยิ้มออกมาอย่างพึงพอใจก่อนจะพูดต่อว่า “พวกเจ้าอย่าไปสนใจฐานะอะไรเหล่านั้นเลย ข้าก็เป็นเพียงแค่นักเรียนคนหนึ่ง แล้วก็เป็นลูกพี่ซูของพวกเจ้าก็พอแล้ว!”

เมื่อเห็นซูอานยิ้มและพูดจาเป็นปกติ เพื่อนๆในห้องต่างก็พากันถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก

“พี่ซูอาน.. ฉันอยากเรียนกังฟูกับพี่!”

เจียงเชาหน้าแดงก่ำ และลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะตัดสินใจพูดออกมา ซูอานหันไปมองเจียงเชาพร้อมตอบกลับไปว่า

“กังฟูไม่ใช่สิ่งที่จะเรียนรู้ได้ง่ายๆ เจ้าอดทนต่อความยากลำบากและเจ็บปวดได้งั้นรึ?”

“ได้!” เจียงเชาตอบกลับด้วยสีหน้าจริงจัง

ซูอานเห็นเช่นนั้นจึงได้แต่พยักหน้าตกลง เพราะไม่ต้องการให้เจียงเชาต้องสูญเสียความมั่นใจ เจียงเชาถึงกับโน้มศรีษะลงจนหัวแทบโขกกับโต๊ะ และน้ำตาแทบร่วงออกมาด้วยความดีใจ

“ลูกพี่ซู.. ฉันก็อยากเรียด้วยเหมือนกัน” เพื่อนๆในห้องต่างก็ร้องตะโกนออกมาพร้อมกัน

ซูอานเห็นเช่นนั้น จึงได้แต่ร้องบอกทุกคนไปว่า “ร่างกายของพวกเจ้ายังอ่อนแอเกินไป ยังต้องพัฒนาร่างกายอีกมาก พวกเจ้าต้องวิ่งรอบสนานทุกวันให้ได้ห้าสิบรอบโดยไม่หายใจ และต้องฝึกชกกับโต๊ะทุกวันๆ”

“อะไรนะ?!”

ทุกคนในห้องต่างก็กรีดร้องออกมาด้วยความเจ็บปวดทั้งที่ยังไม่ได้ลงมือซ้อม แม้กระทั่งเจียงเชายังต่อรองว่า

“ลูกพี่ซู ลดลงหน่อยไม่ได้หรือยังไง?”

“ของฟรีไม่มีในโลก.. เจ้าไม่เคยได้ยินคำพูดนี้บ้างรึ? หากพยายามไม่มากพอ จะประสบความสำเร็จได้อย่างไรกันเล่า?”

“อ่อ.. แต่ก็มีอยู่วิธีหนึ่ง!”

ทุกคนต่างก็รอฟังซูอานพูดต่ออย่างใจจดใจจ่อ…

“พวกเจ้าไปนอนหลับ แล้วก็ฝันกลางวันเอา!”

แต่เจียงเชากลับทำสีหน้าเคร่งเครียด และบอกกับซูอานด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “ลูกพี่ซู ฉันจะเรียนกังฟูกับลูกพี่ ฉันจะออกไปวิ่งรอบสนามตอนนี้เลย!”

“เจ้าจะบ้าหรืออย่างไร? คาบเรียนต่อไปกำลังจะเริ่มแล้ว กลับไปนั่งที่โต๊ะ! หากเจ้าอยากฝึกฝนจริงๆ ก็เปลี่ยนจากขึ้นรถเป็นวิ่งมาโรงเรียนแทนได้ รู้จักใช้เวลาให้เป็นประโยชน์บ้าง..”

“ครับลูกพี่ซู!”

หลังจากเรียนติดต่อกันอีกสามคาบ ทุกคนก็ได้พัก และเวลานี้ต่างก็พากันพูดถึงเรื่องเด็กนักเรียนใหม่ที่จะเข้ามาเรียนที่นี่

“นี่พวกนายรู้หรือยังว่าจินจื่อหยาจะมาเรียนที่นี่กับพวกเรา?”

“โอ้โห.. มีนางฟ้ามาเรียนกับพวกเราด้วยเหรอ?”

เด็กนักเรียนชายต่างพากันพูดคุยเรื่องนี้กันไม่หยุน ในขณะที่ใครบางคนก็เอารูปของจินจื่อหยามาโพสลงในฟอรั่มข่าวของทางโรงเรียน และก็มีนักเรียนพากมามาคอมเมนต์อย่างล้นหลาม ทุกความเห็นล้วนชื่นชมในความสวยของจินจื่อหยา

ซูอานยังคงมีท่าทีสงบนิ่ง และได้แต่นึกดีใจที่ในที่สุดครอบครัวของเธอ ก็ปล่อยให้เธอได้ใช้ชีวิตปกติ และกลับมาเรียนหนังสือดังเดิม

แต่ซูอานก็นึกแปลกใจไม่น้อยว่า เพราะเหตุใดจินจื่อหยาจึงมาเรียนหนังสือที่เจียงโจว ทั้งที่ควรจะเรียนที่หลินโจว? แต่ซูอานก็ไม่ได้คิดที่จะหาคำตอบมากนัก เขาเพียงแค่นึกสงสัย แล้วก็ปล่อยเลยผ่านไป

จนกระทั่งในเวลาบ่าย รถ Porche 918 สีแดงสดใสก็แล่นเข้ามาในโรงเรียน และทุกคนก็ได้แต่ฮือฮาเมื่คนขับรถคันนี้คือจินจื่อหยา ส่วนชายชราที่นั่งมาด้วยข้างๆนั้น ดูเหมือนจะเป็นบอดี้การ์ดของเธอ

ทุกคนในห้องเรียนพากันนั่งคอยืดคอยาวราวกับยีราฟ เด็กนักเรียนชายต่างก็ต้องการที่จะได้เห็นนางฟ้าจินจื่อหยาของพวกเขา

วันนี้จินจื่อหยาแต่งตัวเรียบง่าย เธอสวมเสื้อเชิ้ตสีขาว กางเกงยีนส์ และรองเท้าผ้าใบ แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่อาจบดบังรัศมีความงดงามของเธอได้

แม้แต่ครูใหญ่โรงเรียนยู๋หลงยังต้องออกมาทักทาย และดูแลจินจื่อหยาด้วยตัวเอง และเวลานี้นักเรียนห้องสามต่างก็พากันวิ่งออกไปดูนางฟ้าจินจื่อหยา

“ลูกพี่ซู.. ไม่ออกไปดูหน่อยเหรอ?”

“ไม่ล่ะ.. เดี๋ยวนางก็ต้องมาเรียนที่ห้องนี้อยู่ดี!”

เจียงเชาถึงกับหันไปมองซูอานพร้อมกับถามขึ้นว่า “ลูกพี่ซู.. อย่าบอกนะว่าพี่เป็นหมอดูด้วย?”

“หากเจ้าไม่เชื่อจะพนันกับข้าก็ได้ นางไม่เพียงจะมาเรียนที่ห้องนี้ แต่ยังจะต้องมานั่งข้างข้าด้วย!”

ระหว่างที่ทุกคนกำลังรอดูด้วยความตื่นเต้นนั้น จินจื่อหยาก็เดินตรงมาที่ห้องสามพร้อมกับบอดี้การ์ด และเมื่อมาถึงเธอก็เปิดประตูวิ่งเข้าไปหาซูอานด้วยความดีอกดีใจ

“พี่ซูอาน!”

ซูอานยิ้มให้พร้อมกับถามขึ้นว่า “นี่พ่อของเจ้ายอมให้เจ้ามาเรียนถึงที่นี่เชียวรึ?”

จินจื่อยาตอบกลับด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม “ลุงเจียงมากับฉันด้วย!”

ชายชราที่ยืนอยู่ด้านหลังจินจื่อหยารีบโค้งคำนับหลิงหยุน พร้อมกับเอ่ยทักทาย “คิดไม่ถึงว่าจะพบอาวุโสซูที่นี่!”

ซูอานพยักหน้ายิ้มๆพร้อมกับตอบไปว่า “เจ้ากลับไปได้แล้ว จื่อหย่าอยู่กับข้าจะไม่มีอันตรายเกิดขึ้นกับนางแน่!”

ชายชราพยักหน้า และทำตามคำสั่งอย่างว่าง่าย เพราะอยู่กับซูอาน ย่อมต้องปลอดภัยกว่าอยู่กับเขาอย่างแน่นอน

*****

[ฝากนิยายแปลอีกเรื่องของทีมงานนะคะ: จักรพรรดิ์เทพมังกร ]

จักรพรรดิเทพมังกร

(Dragon Emperor - Martial God)

ความเป็นอมตะของหลิงหยุนได้มลายหายไป.. ทำให้เขาตกลงมาสู่โลกมนุษย์ ในยุคที่เต็มไปด้วยความเสื่อมทรามอย่างที่สุด

จากนั้น.. หลิงหยุนจะค่อยๆ บ่มเพาะพลังในตัวเองทีละขั้น ทีละขั้น และไต่ลำดับขึ้นไปต่อกรกับสวรรค์ได้อย่างไร..

******

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด