ตอนที่แล้วตอนที่ 233 คลังเสบียงถูกโจมตี
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 235 ตายซะ ! ไอ้สารเลว

ตอนที่ 234 กองกำลังนกอมตะ


ณ หุบเขาเร้นลับ ที่ตั้งศูนย์กลางกลุ่มภราดา

“แผนการของผู้ปกครองได้ผล เพียงแค่สองวันด้วยการโจมตีจากคนของเขา ก็ทำลายเสบียงเมืองอมตะส่วนใหญ่ไปได้ทั้งหมด เหลือแค่เพียงทำลายป้อมปราการค่ายทหาร และตัดเส้นทางการเดินทัพจากภายนอก ทุกอย่างก็จะตกอยู่ภายใต้ผู้ไร้พรสวรรค์อย่างเรา”

กรจักรอธิบายสถานการณ์

“แล้วเรื่องของกองกำลังนกอมตะล่ะ ไปถึงไหนแล้ว เจ้าตึกป่า”

เมื่อหลานไพลินถูกถามโดยเจ้าตึกสัตว์ ที่เป็นเด็กอายุเพียงสิบหกปี เธอก็ได้แต่ถอนหายใจ

“ตอนนี้เจ้าตึกบุปผากำลังสืบอยู่ เจ้าตึกสัตว์ไม่ต้องกังวลไป เจ้าตึกบุปผาไม่เคยทำงานพลาด เมื่อใดก็ตามที่นางลงมือ แม้จะช้าไปบ้าง แต่ก็ไม่เคยผิดหวังไม่ใช่เหรอ”

“ข้าเห็นด้วยกับเจ้าตึกป่า ช้า ๆ ได้พร้าเล่มงาม รีบร้อนไปจะเสียงานใหญ่”

ทานธรรม เจ้าตึกลำธาร สนับสนุนความคิดของเจ้าตึกป่าอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน แน่นอนว่าเขาไม่ได้ช่วยหลานไพลินแต่อย่างใด แต่เป็นการดึงเวลาให้พราวจันทร์ได้คิด นางควรไปใช้ชีวิตที่ดี ไม่จำเป็นต้องมาติดอยู่ในวังวนของอำนาจและสงคราม

เจ้าตึกสัตว์ยิ้ม

“หากพี่ใหญ่ทานธรรมพูดเช่นนั้น ข้าก็ไม่คัดค้าน แต่ท่านตึกป่าควรจะเร่งนางให้สืบเร็วขึ้นอีก หาให้ได้ว่ากองกำลังนกอมตะซ่อนอยู่ที่ไหน หากพวกเราทำลายทุกอย่างตามแผนแล้ว แต่ยังหากองกำลังนกอมตะไม่พบ ทุกท่านคงรู้ดีว่านั่นจะไม่เป็นผลดีกับพวกเราเลย”

ยามเจ้าตึกสัตว์เอ่ยถึงกองกำลังนกอมตะ แววตาก็ทอประกายหวาดกลัวขึ้นมา

สิ่งที่ทำให้แคว้นอมตะไม่ถูกแคว้นอื่นยึดครอง ไม่ใช่เพราะพวกเขามีกองทัพกำลังอันแข็งแกร่งเพียงอย่างเดียว แต่พวกเขายังมีกองกำลังอมตะที่ไม่มีวันตายหลบซ่อนอยู่ ขอเพียงพวกมันได้รับคำสั่ง ก็พร้อมดาหน้าโจมตีเป้าหมายเต็มกำลัง และนั่นคือขุมกำลังที่แท้จริงของราชวงศ์อมตะ

ณ ตำหนักทรงอักษร ในพระราชวังอมตะ

สถานที่แห่งนี้เป็นที่ทำงานและที่พำนักขององค์เจ้าแคว้นวัยกลางคน ซึ่งกำลังยืนหลังตรงเหม่อมองแผนที่ขนาดใหญ่บนผนังห้อง

“เสด็จพ่อ เรียกลูกมามีอะไรหรือพระเจ้าค่ะ”

องค์ชายรองชัยธวัชเอ่ยถาม พลางคุกเข่าลงเบื้องหลังผู้เป็นราชา เนื่องจากไม่กี่นาทีก่อนมีขุนนางหน้าห้องไปตามเขาถึงตำหนักกุศมาศ

องค์เจ้าแคว้นหันหลัง แล้วเสด็จประทับที่โต๊ะทรงพระอักษร

“ลูกพ่อมานี่มา มาใกล้ ๆ พ่อ”

องค์ชายชัยธวัชทำตามโดยไม่อิดออด เขาลุกขึ้นไปนั่งที่ฝั่งตรงข้ามกับเสด็จพ่อ

“พ่ออยากจะถามเจ้าเรื่องหนึ่ง”

“เสด็จพ่อมีอะไรอยากไถ่ถาม ลูกจะตอบตามตรง”

“เจ้ารักนางจริง ๆ หรือไม่”

แววพระเนตรคมกริบ ขณะทรงจับสังเกตองค์ชายรองอย่างละเอียด

องค์ชัยธวัชมองแววตาที่เต็มไปด้วยความเป็นห่วงเป็นใยของผู้เป็นพ่อ ก่อนจะยิ้มกว้างอย่างเขินอาย เขาผงกศีรษะเล็กน้อย

“พระเจ้าค่ะ ลูกรักนางด้วยใจจริง”

“เจ้านี่ช่างเหมือนพ่อในวัยหนุ่มเสียจริง เฮ้อ”

ผู้เป็นพระบิดาถอนหายใจออกมา เพื่อระบายสิ่งที่อัดอั้นในพระทัย

“เสด็จพ่อมีเรื่องอะไรหนักใจหรือพระเจ้าค่ะ หากลูกแบ่งเบาได้ลูกก็ยินดี”

“พ่อแค่กังวลว่านางรักลูกจริง ๆ หรือแค่อยากเข้าใกล้ลูกเพื่อผลประโยชน์”

คำพูดของผู้เป็นพ่อทำให้ชัยธวัชชะงักไปครู่หนึ่ง แต่เขาก็ตอบออกมาทันที

“ไม่หรอกพระเจ้าค่ะ นางก็รักข้าเช่นกัน ทุกวันนี้แม้นางต้องอยู่คนเดียว ต้องลำบากฝึกมารยาทตามราชประเพณีอันน่าเบื่อหน่าย นางก็ไม่ได้ปริปากบ่น อีกทั้งนางก็ไม่ยุ่งเรื่องราชกิจของลูกเลย เสด็จพ่อวางพระทัยได้”

องค์ชายรองยิ้มกว้างอย่างมีความสุข และความมั่นใจนี้ก็ส่งความรู้สึกไปถึงองค์เจ้าแคว้นได้ไม่ยาก

“เป็นเช่นนั้นก็ดี แต่ที่ข้าเรียกเจ้ามาในวันนี้ เจ้ารู้ไหมว่าทำไมพ่อถึงยอมให้เจ้าแต่งงานกับสตรีไร้พรสวรรค์”

องค์เจ้าแคว้นตรัสอย่างนิ่งขรึม แม้พระองค์จะมีเมตตาต่อโอรส แต่ก็ยังทรงไม่ทิ้งมาดเคร่งขรึมของผู้นำแคว้น

“เพราะเสด็จพ่อรักข้าที่สุด”

องค์ชายยิ้มกว้าง เพราะต่อให้เขาขึ้นชื่อว่าเป็นองค์ชายโหลยโท่ย ไม่ได้เรื่องอย่างไรก็ตาม เสด็จพ่อก็ยังปกป้องเขาเสมอ

เมื่อผู้เป็นพ่อเห็นใบหน้าทะเล้นปนออดอ้อนของลูกชาย ก็ยิ้มเบิกบาน

“มันก็จริงที่ข้ารักเจ้ามากเกินไป แต่นั่นไม่ใช่เหตุผลทั้งหมด ต่อให้ข้ารักเจ้ายังไง ข้าก็ต้องคิดหาทางออกให้เจ้าเสมอ ไม่ใช่ข้าจะตามใจเจ้าเสมอไปเสียหน่อย การที่ข้าให้เจ้าแต่งกับนาง ข้าย่อมเห็นว่านางมีประโยชน์ต่อเจ้า และทำให้เจ้าอยู่ได้อย่างมั่นคงในอนาคต”

“มันเป็นเช่นนั้นอยู่แล้วเสด็จพ่อ”

พอคิดถึงพราวจันทร์ องค์ชายรองก็ยิ้มแก้มปริเขินอาย ยามมีนางอยู่ด้วยเขารู้สึกว่าโลกทั้งใบงดงามขึ้นอย่างไม่มีสาเหตุ

“เจ้านี่ก็ยอเมียเจ้าเหลือเกิน ที่ข้าจะบอกเจ้าก็คือนางเป็นผู้ครอบครองตำราจอมปราชญ์ ตัวตนของนางย่อมต้องเกี่ยวข้องกับหอคอยจอมปราชญ์ในต่างแดน ด้วยความรู้ความเข้าใจของนาง ย่อมแก้ไขข้อผิดพลาดที่อาจจะเกิดกับกองกำลังนกอมตะของเจ้า มีเพียงวิธีนี้วิธีเดียวที่จะทำให้เจ้าอยู่อย่างมั่นคง”

องค์ชายรองขมวดคิ้วสงสัย

“แต่ว่าความลับนี้เสด็จแม่บอกให้เก็บเอาไว้เป็นความลับ ต่อให้เป็นท่านพี่ชัยวิชิต บุตรของลูก หรือชายา ลูกก็ไม่อาจบอกใครได้”

“เจ้าไม่จำเป็นต้องบอกตรง ๆ แต่ขอความช่วยเหลือจากนาง หลอกถามนาง หากนางรักเจ้าก็ย่อมช่วยเหลือเจ้าและเข้าใจในความลำบากใจของเจ้าแน่ ตอนนี้เจ้าก็รู้ดีว่าสถานการณ์ภายในเมืองเริ่มหนักข้อขึ้นทุกที หากนำเอากองกำลังนกอมตะมาใช้ตอนนี้ ก็เกรงว่ามันจะเกิดประวัติศาสตร์ซ้ำรอยเหมือนในปีนั้น...”

แววตาขององค์เจ้าแคว้นยามกล่าวถึงกองกำลังนกอมตะ ทอแสงหวาดกลัวและก็เศร้าเสียใจ เพราะผู้หญิงที่พระองค์รัก เสด็จแม่ที่แท้จริงขององค์ชายใหญ่และองค์ชายรองก็ตายไปในเหตุการณ์นั้น

ณ ห้องของวาสุกรี ภายในโรงแรมหรูกลางนครอมตะ

“ตื่นแล้วเหรอ เจ้าตัวเลวร้าย”

พญานาคพูดขึ้น เมื่อเห็นเหนือภพขยับตัวขึ้นจากเตียงนอนที่เปรอะเปื้อนคราบเลือด ที่น่าตกใจคือสภาพห้องของวาสุกรีเละเทะ ข้าวของพังเสียหาย หากนี่ไม่ใช่ห้องที่ดีที่สุด มีระบบป้องกันความเสียหายและดูดซับพลังได้เยี่ยมยอด ห้องคงถูกระเบิดเป็นจุณด้วยฝีมือของเหนือภพ

เหนือภพสะบัดหัวไปมา ก่อนจะสำรวจเนื้อตัวของตนเอง

“เมื่อคืนเกิดอะไรขึ้นบ้าง”

“ก็อย่างที่เห็น ให้ตายเถอะ ค่ายกลหนามยอกเอาหนามบ่งยังเอาเจ้าไม่อยู่ เมื่อคืนเจ้าไปถล่มซะเละ ยังดีที่มีผู้บาดเจ็บและตายไม่ถึงร้อยคน แต่คลังเสบียงใหญ่สี่แห่งของเมือง ถูกเจ้าทำลายเหลือแต่ซาก”

ในครั้งนี้ที่เหนือภพได้ยินว่ามีคนตาย เขากลับนิ่งเฉย น่าแปลกที่เขาไม่รู้สึกอะไรเกี่ยวมันแม้แต่น้อย ไม่มีความเห็นใจ ไม่มีความยินดี ท่าทางยังคงเยือกเย็นเฉยชา

“แล้วเมื่อคืนเจ้าเจอตัวพวกมันไหม” เหนือภพถามกลับ

“ฝีมือระดับข้าเสียอย่าง เจอตัวสิ แต่ข้าสู้พวกมันไม่ได้เลยไม่สู้ จึงได้ทำตำหนิไว้บนตัวพวกมัน สนใจจะไปล่าพวกมันด้วยกันไหมล่ะ”

พญานาคชักชวนอย่างคันไม้คันมือ หากมันไปคนเดียวย่อมไม่รอด แต่ถ้ามีเหนือภพไปด้วย ต่อให้พวกนั้นเก่งขนาดไหนก็ตาม แต่ระดับฝึกฝนก็ยังต่ำกว่าเหนือภพอยู่มาก

พญานาคเลียริมฝีปากระหว่างรอคำตอบ หากมันได้กินสองคนนั้น ระดับฝึกฝนของมันคงเพิ่มขึ้นมาก ดีกว่าไปนั่งฝึกเองตั้งเยอะ

“แน่นอน ถึงเวลาที่จะทวงหนี้สินกันแล้ว”

เหนือภพยิ้มเหี้ยม ขณะจัดเตรียมข้าวของ อาวุธ ยา และอาหาร ของทุกอย่างถูกยัดใส่กระเป๋าสัมภาระคู่กาย เหนือภพมองหน้ากากไม้ดำในมือ ก่อนจะโยนไปทางพญานาค

“ช่วยกำจัดมันที เขาไม่อยากให้เหลือหลักฐาน”

ไม่ใช่เพราะกลัว แต่เขาไม่อยากมีปัญหาเพิ่มไปมากกว่านี้

หน้ากากยังไม่ทันถึงตัวนาคราชหนุ่ม นาคราชหนุ่มก็พ่นเปลวเพลิงสีดำกัดกร่อนมันจนไม่เหลือแม้แต่เศษซาก

เหนือภพจัดการคราบเลือดในห้องให้เรียบร้อย ก่อนจะออกมาจากโรงแรมหรู โดยเดินทางขึ้นไปทางทิศเหนือ เพราะดูเหมือนแหล่งกบดานลูกหนี้ของเขาค่อนข้างห่างไกลพอสมควร แต่แทนที่จะทำให้ชายหนุ่มผมม่วงหน้าบึ้งกับระยะทางที่ไกล เขากลับฉีกยิ้มกว้าง

หากเหนือภพได้เห็นใบหน้าของตัวเองในกระจก เขาคงแปลกใจที่สีหน้าของเขาดูคล้ายกับสีหน้าของหลวงภามที่เขาแสนเกลียดชัง

ณ กระท่อมบนภูเขาทางเหนือ ห่างจากเมืองหลวงอมตะสิบกิโลเมตร

“พี่ใหญ่”

ชายหนุ่มในชุดคลุมดำแดง ก้าวเดินเข้ามาในกระท่อมพร้อมกับนำจดหมายอาคมติดมือมาด้วย

ชายที่ได้ชื่อว่าพี่ใหญ่พาดเสื้อคลุมสีแดงประจำตำแหน่งไว้บนไหล่ ก่อนจะรับจดหมายจากผู้เป็นน้องชายร่วมงานมาอ่านดู

“เจ้าแน่ใจนะว่าส่งมาจากเบื้องบน”

เสียงแหบห้าวของพี่ใหญ่ ทำให้ผู้ฟังรู้สึกได้ถึงความกดดันบางอย่าง

“ข้าไม่ได้โง่ขนาดแยกแยะไม่ออกซะหน่อย”

“งั้นก็เก็บของเถอะ ดูเหมือนว่าผู้ปกครองจะเรียกตัวพวกเรากลับด่วน มีงานใหม่ให้พวกเราทำ”

“แล้วงานที่นี่ล่ะครับ”

พี่ใหญ่เผาทำลายจดหมายในมือ ก่อนจะหันมาตอบด้วยเสียงเบา ราวเสียงกระซิบ

“ตอนนี้เป้าหมายเหมือนระเบิดเวลาที่รอวันปะทุ อีกอย่างหากเราใช้วิธีนี้ต่อไป เป้าหมายต้องรู้ตัวแน่ ผู้ปกครองกังวลว่ามันมีความเสี่ยง ที่จะเกิดข้อผิดพลาดที่เป้าหมายจะแว้งกัด ดังนั้นให้ถอนกำลังก่อนชั่วคราว รอกำลังสนับสนุนชุดใหม่”

“ครับพี่”

พวกเขาพูดคุยกันเพียงเท่านั้น จากนั้นพวกเขาก็พากันออกเดินทาง

หลังจากนั้นไม่นานเหนือภพและวาสุกรีก็พากันแกะรอยมาถึงกระท่อมบนภูเขา โชคร้ายที่พวกเขามาช้าเกินไปจึงคลาดกับพวกมัน

เหนือภพก้มลงบนพื้น ก่อนจะหยิบเศษกระดาษอาคมที่ยังเผาไม่หมดขึ้นมาเพ่งดู

“ดูเหมือนว่าพวกนั้นจะไหวตัวทัน หรือไม่ก็ได้รับคำสั่งอื่น เลยต้องจากไปอย่างเร่งรีบ”

“แล้วจะรอไหม” วาสุกรีรู้สึกมันเขี้ยวที่ศัตรูหายไปก่อนซะได้

เหนือภพยังคงมีท่าทีเยือกเย็น ขณะมองสำรวจไปรอบ ๆ กระท่อมน้อย

“กลับเถอะ ต่อให้มันกลับมาก็ใช่ว่ามันจะมากบดานที่เดิมซะเมื่อไหร่”

เหนือภพพูด ขณะนั้นเขาเหลือบเห็นสร้อยของสตรีเส้นหนึ่งตกอยู่ที่พื้น เขาจึงเก็บมันขึ้นมาใส่กระเป๋าสัมภาระ

“ตอนนี้พวกเรามีเรื่องที่จะต้องจัดการ” เหนือภพพูดจบก็หมุนกายจากไป

วาสุกรีได้แต่มองตามด้วยความแปลกใจ ตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่เหนือภพมีความคิดมากเพียงนี้ แถมยังมีบุคลิกที่นิ่งผิดวิสัย ท่าทางแบบนี้มันเป็นท่าทางของคนวัยกลางคนที่ผ่านโลกมามากแล้วเท่านั้น

‘ไอ้หมอนี่ มันใช่เด็กเหนือภพคนเดิมหรือเปล่านะ’

ทว่าเหนือภพกับวาสุกรียังไม่ทันก้าวพ้นอาณาเขตหน้ากระท่อม เสียงขลุ่ยก็ดังขึ้นจากที่ไม่ใกล้ไม่ไกล

จี๊ดดดดด

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด