ตอนที่แล้วบทที่ 7 3 ปี
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 9 สำนักวิชาที่หนึ่ง

บทที่ 8 มังกรทะยานขึ้นจากก้นเหว


คงพูดได้อย่างเต็มปากว่าตอนนี้นิกายภูเขาหยกนั้นตั้งใจจะผูกสัมพันธ์กับตระกูลเสี่ยวอย่างเต็มที่ เหตุผลนั้นมันไม่มีอะไรซับซ้อน เพราะว่าเสี่ยวเฉินเป็นศิษย์สำนักดาบบูรพา นิกายภูเขาหยกนั้นเข้าใจว่าตราบเท่าที่ยังมีเสี่ยวเฉินอยู่ ตระกูลเสี่ยวก็จะยิ่งแข็งแกร่งขึ้นทรงอำนาจขึ้น ทำให้นิกายภูเขาหยกคิดจะผูกสัมพันธ์เอาไว้ตั้งแต่ตอนนี้เสีย

นอกจากตำแหน่งศิษย์ปีละ 10 ที่แล้ว นิกายภูเขาหยกยังขับไล่เฉินมู่ซือออกจากสำนักไปด้วยเพื่อจะได้หาข้ออ้างต่อเสี่ยวเฉินในการโยนความผิดทิ้งไป

เดิมทีแล้วที่เฉินมู่ซือกล้าหาญท้าทายตระกูลเสี่ยวก็เพราะว่าเธอมีนิกายภูเขาหยกหนุนหลัง แต่ตอนนี้เธอถูกขับออกจากนิกายแล้ว ตระกูลเฉินเองจึงไม่มีที่ยืนในหลิงซานอีกต่อไป

แต่เสี่ยวเฉินนั้นก็ไม่ได้สนใจสภาพของตระกูลเฉินและตระกูลหม่าสักเท่าไหร่นัก เขารู้แค่ว่าทั้งสองตระกูลจะไม่สามารถมารบกวนตระกูลเสี่ยวได้อีกแล้วเพราะทั้งสองต่างตัดสินใจจะออกไปจากหลิงซาน

ไม่ใช่แค่นิกายภูเขาหยกเท่านั้น แต่รวมไปถึงเจ้ามณฑลหลิงซานอย่างจางเฉียงด้วย หลังจากตระกูลเฉินและหม่าออกจากมณฑลหลิงซานไป ตอนนี้แม้แต่เจ้ามณฑลก็ยังต้องทำอะไรไว้หน้าตระกูลเสี่ยว แน่นอนว่ามันเพราะจางเฉียงรู้ถึงตัวตนของเสี่ยวเฉิน

ตอนที่ตระกูลเฉินเดินทางออกไปจากมณฑลหลิงซานด้วยสภาพสุดทุกข์ใจ เฉินมู่ซือก็ได้พบหญิงงามวัยกลางคนนางหนึ่ง

เธอเป็นคนที่สวยงามมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งนัยน์ตาของเธอ ราวกับว่ามันปล่อยมนต์สะกดออกมาใส่ผู้คนที่พบเห็น

หากมองดูดี ๆ เป็นใครก็คงรู้ได้ว่าเฉินมู่ซือนั้นเกิดมาพร้อมกับเสน่ห์ แต่มันกลับยังไม่เบ่งบานจึงยังไม่มีใครสังเกตเห็นมันได้นัก ฉะนั้นหญิงรูปงามคนนั้นจึงมีความคิดที่จะรับเธอเป็นศิษย์

หญิงคนนี้มาจากสำนักหมื่นเซียน สำนักนี้เองก็เป็นสุดยอดสัตว์ประหลาดในใต้หล้า มีพลังอำนาจมากพอจะเทียบเคียงกับสำนักดาบบูรพาได้ เฉินมู่ซือจึงไม่รอช้าก้มลงกราบหญิงคนนั้นเป็นอาจารย์ในทันที

เธอผู้กำลังเข้าตาจนได้มองเห็นแสงสว่างจากหญิงรูปงามคนนี้อีกครั้ง จิตใจของเฉินมู่ซือจึงเต็มไปด้วยความร้อนของเพลิงแค้นอีกครา เสี่ยวเฉิน ความโกรธแค้นในใจของเฉินมู่ซือนี้จะไม่มีวันจาง สักวันเธอจะกลับมาทำให้เสี่ยวเฉินต้องเสียใจ คำมั่นสัญญานี้ยังคงตราตรึงในจิตใจของเฉินมู่ซือ

ส่วนทางด้านเจ้าตัวเสี่ยวเฉินนั้นไม่รู้เรื่องที่เกิดขึ้นกับเฉินมู่ซือ เขาอยู่ที่บ้านตระกูลเสี่ยวต่ออีก 7 วัน และในที่สุดวันนี้เสี่ยวเฉินก็จะเดินทางออกไป เพราะยังไงเสียเวลาที่เขามีมันก็จำกัด เขาต้องกลับไปที่สำนักดาบบูรพาเพื่อรายงานตัวเป็นศิษย์ชั้นนอก หากมีอะไรล่าช้าไปกว่านี้คงได้เป็นปัญหาแน่

ตอนที่เสี่ยวเฉินบอกลา ทั้งเสี่ยวชิงและไป่รู่เหย่ต่างสรรหาคำหว่านล้อมลูกชายร้อยแปดพันเก้า แต่ในใจของพวกเขาต่างก็รู้ดีว่าเสี่ยวเฉินคงไม่คิดจะอยู่ที่บ้านต่อแล้ว สักวันหนึ่งนกอินทรีจะต้องบินออกจากรัง และมังกรจะไม่ยอมจมอยู่ที่ก้นเหวตลอดกาล

เขาทิ้งวิชาการฝึกและยาต่าง ๆ ไว้ให้พ่อแม่ ฝากให้พวกเขานำไปใช้ในตระกูล จากนั้นในที่สุดเสี่ยวเฉินและเหล่าศิษย์พี่น้องนำโดยโม่เจี่ยก็ขี่ม้าสีแดงเพลิงออกจากมณฑลหลิงซานมุ่งหน้าสู่สำนักดาบบูรพาด้วยความเร่งรีบ

พอได้เห็นแผ่นหลังของเสี่ยวเฉินค่อย ๆ เคลื่อนหายไปจากสายตา ไป่รู่เหย่ก็ไม่สามารถทนที่จะกลั้นน้ำตาได้อีกต่อไป แต่น้ำตานี้มันต่างจากครั้งไหน ๆ เพราะไม่นานพวกเขาก็คงได้กลับมาเจอกันอีก ไป่รู่เหย่รู้ดีแก่ใจ แต่เสี่ยวชิงก็เข้ามาช่วยปลอบภรรยาไว้

“ในที่สุดมังกรก็จะบินขึ้นจากก้นเหว นี่คือเวลาที่นกอินทรีพร้อมบินออกจากรัง สำนักดาบบูรพานั้นเป็นที่ที่เฉินควรอยู่ ลูกมันเป็นแบบนั้น พวกเราทั้งคู่ควรภูมิใจในตัวมัน...”

หลังได้ยินคำของเสี่ยวชิง ไป่รู่เหย่ก็พยักหน้ารับ

หลังบอกลาพ่อแม่เสร็จ พวกเสี่ยวเฉินก็รีบขี่ม้ามุ่งหน้าตรงไปยังสำนักดาบบูรพาอย่างไม่หยุดพัก เพราะอีกประมาณ 15 วันจะถึงงานการคัดเลือกชั้นนอก ภายในครึ่งเดือนนี้พวกเสี่ยวเฉินต้องกลับไปให้ถึงสำนักดาบบูรพาไม่เช่นนั้นพวกเขาจะต้องเสียสิทธิในการเข้าเป็นศิษย์ชั้นนอกไป

จากมณฑลหลิงซานไปถึงสำนักดาบบูรพานั้นมีระยะทางที่ไม่ใกล้เลย มันต้องใช้เวลาถึง 13 วันในการเดินทางไปให้ถึงสำนักดาบบูรพา เหล่าศิษย์ต่างต้องทนการเดินทางไกลอันแสนทรหด

ที่ใกล้ ๆ เทือกเขาซิงยู่ ที่นี่คือชายแดนของรัฐหลิงเฟิง หากมองดูรอบ ๆ ก็จะเห็นว่ามันเป็นแนวเทือกเขาสูงเสียดฟ้า สำนักดาบบูรพานั้นตั้งอยู่ที่ใจกลางของเทือกเขาหยุนลู่นี้เอง

พวกเขาทั้งหลายกลับมาถึงเขตพักศิษย์ธรรมดาของสำนัก ตอนนี้มันยังเหลือเวลาอีก 2 วันกว่าการคัดเลือกชั้นนอกจะเริ่มขึ้น หมายความว่าพวกเขาทุกคนกลับมาได้ทัน

เขากลับมาถึงที่พัก ที่นี่คือที่ที่เสี่ยวเฉินใช้ในการพำนักมาตลอดเวลาที่เป็นศิษย์ ด้านในนั้นมีที่พอสำหรับสองคน นั่นคือเขาและโม่เจี่ยที่อาศัยอยู่ด้วยกัน

หลังนอนลงกับที่นอน โม่เจี่ยก็หายใจเข้าลึกก่อนจะพูดขึ้น “ในที่สุด ในอีกแค่ 2 วันเราก็จะได้เข้าไปที่ชั้นนอกและได้เป็นศิษย์ชั้นนอกจริง ๆ เสียที...”

ระบบการเรียนรู้ในสำนักดาบบูรพานั้นเข้มงวดมาก หากพูดกันตรง ๆ ศิษย์ธรรมดานั้นไม่ถูกนับว่าเป็นศิษย์จริง ๆ ของสำนักเสียด้วยซ้ำ หลังจากพวกเขาได้เป็นศิษย์ชั้นนอกแล้ว จึงจะถูกสำนักนับว่าเป็นศิษย์จริง ๆ

หลังได้ยินคำของโม่เจี่ย เสี่ยวเฉินก็พูดขึ้นมาด้วยรอยยิ้ม “ศิษย์พี่ อย่าเพิ่งรีบดีใจไป งานคัดเลือกชั้นนอกนั้นจะต้องให้เราเลือกสำนักวิชาที่อยากเรียนด้วย ถ้าสำนักไม่ต้อนรับเรา เราก็ไม่สามารถจะเป็นศิษย์ชั้นนอกได้...”

ในสำนักดาบบูรพานั้นจะแบ่งย่อยออกเป็น 9 สำนักวิชาดาบ และศิษย์ชั้นนอกทุกคนจะต้องเลือกสำนักวิชาที่สนใจเอง แน่นอนว่ามันไม่ใช่การเลือกทางเดียว เมื่อเราเลือกสำนักวิชาแล้ว ทางสำนักก็เลือกเรากลับด้วย หากสำนักวิชาที่เราเลือกคิดว่าเราไม่เหมาะจะเรียน พวกเขาก็จะไม่รับและเราก็จะไม่ได้เลื่อนขึ้นเป็นศิษย์ชั้นนอกด้วย

ในทั้งหมด 9 สำนักวิชาดาบนั้น มันมีทั้งวิชาที่แข็งแกร่งและอ่อนแอ ฝั่งที่อ่อนแอกว่าก็จะมีข้อกำหนดการเข้าที่ง่ายกว่า แน่นอนว่าสภาพในการฝึกเองก็จะด้อยกว่าด้วย ถึงแม้สำนักวิชาที่แข็งแกร่งจะเรื่องมากในการคัดเลือก แต่พวกเขาก็มีสภาพแวดล้อมที่เหมาะในการฝึกยุทธ์มากกว่าใคร ๆ

เพราะฉะนั้นหากเราขึ้นเป็นศิษย์ชั้นนอกและได้เลือกสำนักวิชาดาบของตัวเอง แต่ลืมมองความสามารถตัวเองและเลือกสำนักที่สูงเกินเอื้อม พอถึงเวลาก็จะถูกฝ่ายสำนักวิชาปฏิเสธเอาในที่สุด เพราะฉะนั้นการเลือกจึงต้องระมัดระวัง ไม่เลือกเป้าหมายที่สูงเกินตัว นี่เป็นเรื่องที่ศิษย์สำนักดาบบูรพาต่างรู้กันดี

หลังได้ยินคำของเสี่ยวเฉิน โม่เจี่ยก็ได้แต่ยิ้มตอบกลับ “แล้วศิษย์น้องเลือกสำนักวิชาใด? จากพรสวรรค์ของเจ้าแล้ว ข้าเกรงว่ามันน่าจะถูกตัดสินมานานมากแล้วสินะ คงเป็นสำนักวิชาลำดับที่หนึ่ง...”

ทั้ง 9 สำนักวิชานั้นถูกจัดลำดับตามความแข็งแกร่ง ลำดับที่หนึ่งหมายความว่าแข็งแกร่งและมีสภาพแวดล้อมในการฝึกที่สมบูรณ์ที่สุด เพราะฉะนั้นเหล่าศิษย์ชั้นนอกแทบทุกคนจึงอยากเข้าไปเรียนที่นี่ หากแต่ว่าทางสำนักวิชาที่หนึ่งนั้นคัดเลือกเฉพาะสุดยอดหัวกะทิเข้ามาเรียนเท่านั้น ในสำนักดาบบูรพาที่เต็มไปด้วยอัจฉริยะนี้ การจะเข้าสำนักวิชาที่หนึ่งมันกลับยากกว่าสำนักวิชาอื่นหลายขุม

หากไม่ได้มีพรสวรรค์ที่ล้นเหลือ ก็ไม่ควรจะเลือกเข้าสำนักวิชาที่หนึ่งเลย มันมีข่าวลือพูดกันในหมู่ศิษย์ธรรมดาหนาหูว่าเมื่อถึงเวลาเลือกศิษย์ชั้นนอก สำนักวิชาที่หนึ่งนั้นจะรับศิษย์เข้าไปน้อยที่สุด และมีบางครั้งที่พวกเขาไม่เลือกใครกลับไปเลย หมายความว่าการคัดเลือกของสำนักวิชาที่หนึ่งมันเข้มงวดขนาดนั้น

ไม่ว่าใครก็คงเดาตัวเลือกของเสี่ยวเฉินได้ เพราะเขาสามารถเปิดปราณระดับทองได้ด้วยอายุแค่ 18 ปี พรสวรรค์ของเสี่ยวเฉินจึงเป็นที่ยอมรับกันดีในหมู่ศิษย์ธรรมดาด้วยกัน

หลังได้ยินโม่เจี่ยพูดแบบนั้น เสี่ยวเฉินก็ได้แต่หัวเราะ เพราะเขาเองก็ได้ตั้งเป้าหมายไว้ในใจแล้วจริง ๆ เป้าหมายของเขาคือสำนักวิชาลำดับที่หนึ่ง

เขาไม่สนว่ามันจะมีการคัดเลือกที่เข้มงวดแค่ไหน หรือจะมีการแข่งขันที่ดุเดือนเพียงใด เพราะตอนนี้เขามีโอกาส เขาก็คิดที่จะคว้ามันดูก่อน นั่นคือสิ่งที่เสี่ยวเฉินคิด

เป้าหมายของเขาได้ถูกเลือกอย่างแน่วแน่แล้ว เหล่าศิษย์ต่างรอให้ถึงวันพิธี และ 2 วันก็ผ่านไปด้วยความรวดเร็ว เช้าวันนี้ท้องฟ้าโปร่งโล่ง เหล่าศิษย์ธรรมดาทั้งหลายต่างตื่นเต้นดีใจ เหล่าศิษย์ที่คิดจะเข้าพิธีต่างมุ่งตรงไปยังเขาที่ตั้งของสำนักชั้นนอก

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด