ตอนที่แล้วตอนที่ 201 ร..ระ..รุ่นพี่ ท่านจะทำ..อ..อะ...ไร
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 203 หน่อสำนึกรู้

ตอนที่ 202 ชายเลือดผสม


เมื่ออาการของเหนือภพกลับมาเป็นปกติ เลือดลมเดินสะดวก หัวใจของเขาเต้นรัวมีความรู้สึกนึกคิดเกี่ยวกับเพศผ่านเข้ามาในสมอง ยิ่งนางถกเสื้อผ้ามากขึ้น ก็ทำให้เห็นหัวไหล่ แผ่นหลังขาวนวลไร้ตำหนิ

“เจ้าเห็นหรือยัง”  บุหรงหันหน้ากลับมามองเหนือภพ

“เห็นอะไร”

เหนือภพเริ่มล่อกแล่กไม่อยู่สุข แม้เขาจะเบนสายตาออก แต่สายตาก็เหมือนดื้อดึง มันจับจ้องไปยังแผ่นหลังของหญิงสาวไม่วางตา ก่อนจะชะงักกับรอยคล้ายปานสีเหลืองอ่อนคล้ายขนนก มันเป็นรอยจาง ๆ ขนาดเกือบหนึ่งฝ่ามือ อยู่กลางแผ่นหลังของเธอ

“นั่นมัน...”  เหนือภพชะงักไปชั่วครู่ ความทรงจำย้อนของเขาเกิดย้อนกลับไปในวัยเด็ก

‘ท่านแม่ข้าจะถูหลังให้ท่านแทนท่านพ่อเอง

จ้า ๆ ลูกแม่นี่เก่งจังเลย

แม่ ๆ หลังท่านมีรอยอะไรก็ไม่รู้ ทำไมข้าถึงถูมันไม่ออก

มันคือปานจ๊ะ ติดตัวกับแม่มาตั้งแต่เกิดแล้ว มาเถอะมาให้แม่ถูหลังให้เจ้าบ้าง’

“เห็นชัดหรือยัง” บุหรงถามซ้ำเสียงดัง ทำให้เหนือภพที่ตกกำลังอยู่ในภวังค์สะดุ้ง

“อื้อ เห็นชัดแล้ว”

บุหรงจึงใส่เสื้อผ้าเหมือนเดิม เธอหันกลับมามองเหนือภพที่สมองเต็มไปด้วยคำถาม รอยปานนั้นมันเหมือนกับท่านแม่ของเขาไม่มีผิดเพี้ยนทั้งตำแหน่งและสี เมื่อก่อนเขาไม่เคยนึกสงสัย แต่เมื่อได้มาเห็นใครอีกคนที่มีเหมือนกัน เรื่องนี้กระตุ้นความสงสัยของเขาขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้

“เจ้ามาจากตระกูลไหนกันแน่” เหนือภพถาม พลางขมวดคิ้ว บุหรงมองหน้าเขาแล้วก็ถอนหายใจ

“ให้ดูขนาดนี้แล้ว จ..จ..เจ้าที่มันโง่จริง ๆ ยังไม่รู้อีก เจ้าไม่รู้จักปานสายเลือดครุฑหรือไง”

“ห่ะ !” เหนือภพได้ฟังก็อ้าปากค้าง

“จ...จะ...เจ้าว่าไงนะ ไม่ใช่ว่าเจ้าเข้าใจอะไรผิดหรอกนะ” ชายหนุ่มรู้สึกตกใจไม่น้อย

บุหรงส่ายหน้าพร้อมส่งสายตาดูถูกปนเอือมระอาในตัวชายหนุ่ม

“คนทั้งแผ่นดินต่างรู้ว่าตราสัญลักษณ์นี้เป็นคนสายเลือดครุฑ มีแต่เจ้าที่ไม่รู้ นี่ข้ากำลังคุยกับคนโลกเดียวกันหรือเปล่าเนี่ย”

“ถ้ามันสืบทอดทางสายเลือด งั้นทำไมข้าไม่มี เพราะแม่ข้าก็มีแบบเจ้า”

“ห่ะ” หญิงสาวเบิกตากว้างด้วยความตกใจ

“จ...จะ...เจ้าว่าไงนะ พูดอีกที”

“จะให้ข้าพูดอะไรอีก เจ้าก็ได้ยินแล้วไม่ใช่หรือไง”

บุหรงนิ่งไปครู่หนึ่ง แต่พอเธอย้อนคิดถึงอดีตในวันแรกที่พบกับเหนือภพ มันก็มีความรู้สึกบางอย่างที่ทำให้เขาและเธอเชื่อมโยงกันและกันเอาไว้ หรือว่าจะเป็นเพราะสายเลือด บุหรงพยักหน้ากับตัวเองขณะทำความเข้าใจ

“ถ้าเจ้าไม่มี ก็แปลว่าแม่เจ้าแต่งงานกับคนนอกตระกูลสินะ”

“อืม คงใช่”

เหนือภพพยักหน้า แม้เขาจะรู้ว่าพ่อเขาเป็นคนตระกูลเหนือ แต่เขาก็ไม่มั่นใจว่าแม่จะไม่ใช่คนตระกูลเหนือ แม่ของเขาเป็นกำพร้าตั้งแต่เด็ก แม้แต่ตัวเธอเองก็ยังไม่รู้ว่าตัวเองมาจากไหนด้วยซ้ำ

“งั้นก็ไม่แปลกหรอก สัญลักษณ์นี้จะสืบต่อให้กับทายาทที่เกิดจากสายเลือดครุฑด้วยกันเท่านั้น เจ้าจะถูกเรียกว่าพวกเลือดผสม หากตระกูลครุฑรู้ถึงการมีอยู่ของเจ้า เจ้าอาจจะถูกตามฆ่า”

บุหรงเอ่ยด้วยความกังวล เธอไม่ได้พูดถึงว่าแม้แต่คนที่เกิดมาในตระกูลครุฑ หากไม่มีปราณอาคมก็ถือว่าไร้ค่า หากผู้ไร้สวรรค์คนนั้นเป็นบุตรที่เกิดจากสายเลือดรอง หรือเป็นเพียงชาวบ้านครุฑ คงถูกสังหารทิ้งอย่างไม่ไยดี ยังดีที่เธอไม่ใช่ลูกคนของทั่ว ๆ ไปจึงทำให้พ่อแม่ยังคงรักษาชีวิตเธอเอาไว้ได้

“พวกครุฑงั้นเหรอ เหอะข้าไม่กลัวหรอก อีกอย่างข้าอาจจะจำผิดก็ได้ ปานมันก็คงคล้ายกันหมด อีกอย่างหากข้าเป็นสายเลือดครุฑจริง..”

เหนือภพไม่ได้พูดออกไป แต่เขารู้ดีอยู่แก่ใจว่าหากเขามีสายเลือดครุฑ พญานาคคงไม่ปล่อยให้เขาอยู่สุขสบายจนถึงตอนนี้แน่

“ทำไม ?” บุหรงเริ่มสับสนกับเหนือภพ

“ไม่มีอะไร แต่ข้าค่อนข้างแน่ใจ ช่างเถอะ เจ้านอนพักเอาแรงก่อน ตื่นมาค่อยปรึกษาอีกทีว่าจะหนีออกไปจากที่นี่ยังไง”

“อืม”

บุหรงเองก็เพลียมาก เธอจึงไม่ปฏิเสธ แต่การนอนบนลูกกลมทองคำที่มีลักษณะโค้งมนก็ทำให้รู้สึกหวาดเสียวไม่น้อย โดยเฉพาะเธอเป็นคนนอนดิ้น เธอกลัวว่าขณะหลับอยู่จะกลิ้งตกลงไป จึงได้แต่นั่งเบียดกับเหนือภพอยู่ตรงกลางลูกกลม แม้จะอายแต่ความกลัวตายมีมากกว่า

หลังจากบุหรงหลับไปข้างกายเหนือภพ ชายหนุ่มก็มีแววตาเหม่อลอย ยิ่งคิดถึงสายเลือดของตัวเอง เขาก็ยิ่งสับสน เขาเป็นคนตระกูลครุฑจริงหรือ หากเรื่องที่บุหรงเล่าเป็นความจริงเช่นนั้นก็แปลว่าแม่ของเขาไม่ได้ถูกทิ้งตั้งแต่ทารก และไม่ได้เป็นเด็กกำพร้าอย่างที่แม่บอก แต่นางพยายามปิดบังบางอย่างจากลูก ๆ

โดยเฉพาะคำพูดของบุหรงที่บอกว่า หากตระกูลครุฑรู้ถึงการมีอยู่ของพวกเลือดผสม เขาก็ต้องถูกตามฆ่า เขากังวลว่าจะเกิดเรื่องไม่ดีกับเหนือฟ้า หากมีสักวันที่ความจริงเปิดเผย

เหนือภพเหลือบมองบุหรง พลางครุ่นคิดถึงความรู้สึกผูกพันบางอย่างที่เขารู้สึกกับบุหรงตั้งแต่แรกพบ มันจะเป็นเพราะเหตุผลนี้หรือเปล่า ความสัมพันธ์ทางสายเลือด

เขาคาดหวังว่านี่จะเป็นเพียงข้อสันนิษฐาน ไม่ใช่ความจริง เพราะเขาไม่ต้องการมีสายเลือดสูงศักดิ์อะไรนั่น เขาแค่ต้องการความปลอดภัยให้กับครอบครัว

เวลาผ่านไปเหนือภพที่ไม่จำเป็นต้องหลับนอนเช่นคนปกติ ก็ล้วงเข้าไปยังกระเป๋าสัมภาระเมื่อหวนคิดถึงคำพูดของมุกดารา หญิงสาวปริศนาที่เป็นถึงผู้จัดการหอเก้าสมบัติ เขาไม่รู้ว่าสิ่งที่นางพูดนั้นจริงแค่ไหนแต่พลังของนางที่แสดงออกมานั้นเหนือเกินกว่าจินตนาการมาก ยิ่งกว่าพระอาจารย์ของเขาเสียอีก

ชายหนุ่มหันไปมองตำราเก่าเล่มหนึ่ง นี่เป็นสิ่งที่พระอาจารย์มอบให้เขาก่อนจะพาศิษย์พี่ทั้งสองกลับวัด แต่เขาไม่เคยอ่านมันเลย ครั้งนั้นอาจารย์บอกว่า

‘นี่เป็นวิชาส่วนที่เหลือที่ข้ายังไม่ได้สอนเจ้า ตอนนี้เจ้าพร้อมที่จะเรียนมันแล้ว ค่อย ๆ เรียนรู้และทำความเข้าใจ หากมีส่วนไหนไม่เข้าใจก็ค่อยเขียนจดหมายขอคำแนะนำจากศิษย์พี่เจ้าละกัน’

เมื่อก่อนเขาไม่ค่อยสนใจ เขาไม่ใช่คนใฝ่เรียนนัก เขารู้ถึงข้อเสียตัวเองนี้ดี เขาคิดว่าแคว้นอมตะคือที่สุดของเขาแล้ว ที่เหนือกว่าก็มีแคว้นสุริยันที่เขาไม่เคยไป แต่เขาก็ไม่เคยกังวลอะไรมากมาย ทว่าพอเขาได้เจอกับมุกดารา ก็ทำให้เขารู้ว่าแคว้นอมตะนั้นเล็กเพียงใด และที่ที่เขาอยู่ก็เป็นแค่เพียงทวีปที่ล่มสลายและล้าหลัง วิชาความรู้หายสาบสูญ จนทำให้ผู้คนที่นี่อ่อนแอและต่ำต้อยกว่าทวีปอื่น

เหนือภพเปิดตำราของพระอาจารย์ออก หน้าแรกมันขึ้นต้นด้วยบทความที่พระอาจารย์เขียนถึงเขา เป็นข้อความที่ทำให้ชายหนุ่มอมยิ้มเล็ก ๆ

‘เจ้าศิษย์โง่ เจ้าเพิ่งจะมาเปิดอ่านเอาป่านนี้ เหอะ เจ้านี่มันจริง ๆ ทั้ง ๆ ที่ตัวเจ้ามีพรสวรรค์มากกว่าบรรดาศิษย์ทั้งหมด แต่ข้อเสียของเจ้าคือไม่ใฝ่เรียน ไม่ยอมฝึกซ้อม ครั้งนี้เจอปัญหาอะไรอีกล่ะ ถึงยอมเปิดตำราอ่านได้’

อาจารย์ก็ยังเป็นอาจารย์วันยังค่ำ ท่านยังคงรู้ทันศิษย์คนนี้เสมอ ต่อให้ห่างกันแค่ไหน อาจารย์ก็ยังรู้ว่าด้วยนิสัยอย่างเขาคงไม่เปิดตำราอ่านทันที คงรอให้เรื่องผ่านไปสักระยะ

‘อาจารย์เจ้า ขี้เกียจจะพูดปากเปียกปากแฉะกับเจ้าจริง ๆ แต่ข้าจำเป็นต้องพูด ชะตาชีวิตของเจ้าถูกกำหนดมาให้ระหกระเหิน ผจญฝ่าฟันอุปสรรคถึงจะขึ้นเป็นใหญ่ได้ ครั้งนี้ข้าหวังว่าเจ้าจะฟังคำสั่งเสียของอาจารย์สักครั้ง จงเปลี่ยนแปลงตัวเอง เจ้ามีศักยภาพมากมายที่เจ้าไม่รู้ ด้วยความพิเศษทางสายเลือดของตัวเจ้า มันจะทำให้เจ้าเผชิญกับเคราะห์กรรมที่หมายเอาชีวิต แต่นั่นก็จะผลักดันให้เจ้ารู้เป้าหมายชีวิตของตัวเอง รู้ว่าเจ้าเกิดมาเพื่อสิ่งใด เพื่อสิ่งที่ยิ่งใหญ่ที่เจ้าเองก็ไม่เคยคาดคิด’

พอเหนือภพอ่านมาถึงจุดนี้ ก็ทำให้เขานึกถึงการสนทนาก่อนหน้าระหว่างเขากับบุหรง ในฐานะที่เขาเป็นศิษย์อยู่กินเรียนรู้กับพระอาจารย์มาหลายปี เขารู้ดีว่าพระอาจารย์นั้นเชี่ยวชาญศาสตร์ทำนายดวงชะตาเป็นที่สุด หากอาจารย์เอ่ยปากมาเช่นนี้ ดูท่าการที่เขามีสายเลือดครุฑนั้นจะมีความเป็นไปได้เสียแล้ว สายเลือดที่จะนำพาหายนะมาสู่เขา แต่ถึงอย่างนั้นก็จะทำให้เขายิ่งใหญ่ หากเขารอดพ้นมันไปได้

แต่ความเป็นจริงแล้ว เหนือภพไม่ได้รู้เลยว่า ไม่ใช่เพียงสายเลือดครุฑที่จะนำพาหายนะมาให้เขา แต่เขาที่ไม่รู้เรื่องในอดีตจึงลืมคิดถึงสายเลือดหลักของตัวเอง สายเลือดตระกูลเหนือที่ถูกฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ไปในอดีต ดังนั้นไม่ว่าครุฑหรือเหนือ เหนือภพและเหนือฟ้าก็ล้วนถูกกำหนดมาให้ต้องตายตั้งแต่แรก

หลังอ่านบทความที่ส่งถึงเขาเสร็จ เหนือภพก็ยิ้ม อาจารย์ย่อมเป็นอาจารย์ เรื่องที่เกี่ยวกับศิษย์ไม่ว่าน้อยหรือใหญ่ย่อมรู้ไปหมด  รู้กระทั่งเหตุการณ์ในอนาคตอย่างวันนี้ วันที่เขาอับจนหนทางถูกกักขังในหลุมกับดัก

เฮ้อ ชายหนุ่มพ่นลมหายใจออกมา ก่อนเปิดตำราหน้าต่อไป เรื่องราวที่บันทึกภายในตำราล้วนเป็นสิ่งที่เขาคาดถึง มันว่าด้วย ‘ลมปราณพุทธะ’  ซึ่งมันมีความหมายว่า ผู้ตรัสรู้แล้ว ผู้ตื่นแล้ว

แท้ที่จริงแล้วเขาเรียนรู้ลมปราณพุทธะมาโดยตลอด เรียนมาตั้งแต่เข้าสำนักพระอาจารย์มาตั้งแต่แรก เพียงแต่ว่าลมปราณพุทธะ  ไม่ใช้ลมปราณที่ใช้ในการต่อสู้ ไม่ใช่มีเพื่อกายเนื้อ มันมีไว้เพื่อเยียวยาจิตใจ เสริมสร้างจิตวิญญาณให้แข็งแกร่ง เสริมสร้างสมาธิ สติและปัญญา

ไม่มีลำดับขั้น ไม่เงื่อนไข หรือข้อจำกัดในการเรียนรู้ ไม่ใช่ธรรมะหรืออธรรม ไม่ได้แบ่งแยกดีเลว ไม่แบ่งแยกปีศาจ มาร เทพ อสูร หรือมนุษย์  ทุก ๆ ชีวิต ทุก ๆ สรรพสิ่งสามารถเข้าถึงในลมปราณพุทธะได้

แต่ผลที่ได้นั้นไม่เหมือนกัน และแต่ละคนก็จะเข้าใจไม่เหมือนกัน ราวกับว่าพุทธะในใจของแต่ละคนนั้นต่างกันออกไป ทุกคนมีทั้งความดีและความชั่วแตกต่าง มีความคิด ความชอบ มีปัญหา มีกิเลสหลากหลาย ผลที่ได้รับจากลมปราณพุทธะก็ต่างกันออกไป ขึ้นอยู่กับบุคคลนั้น

หากเหนือภพรู้ตัวเร็วมากกว่านี้ เขาอาจจะไม่ใช่เขาอย่างทุกวันนี้ พอชายหนุ่มได้เริ่มอ่าน ก็เริ่มเข้าใจสิ่งที่พระอาจารย์ทำมาโดยตลอด ไม่ว่าจะเป็นการนั่งสมาธิ บำเพ็ญกสิณ หรือแม้แต่เดินจงกรม กวาดลานวัด กิน นอน ดื่ม รวมไปถึงวิ่งลงไปตักน้ำตีนเขา ล้วนเป็นการฝึกสมาธิแห่งพุทธะ

อย่างการลงไปตักน้ำที่ตีนเขาหลายปี เหนือภพก็เพิ่งเข้าใจพุทธะที่แฝงอยู่ในการกระทำนั้น การเดินจากที่ต่ำไปยังที่สูง เท่ากับต่อสู้กับแรงดึงดูดของโลก จึงย่อมต้องใช้ความเพียรมากกว่าการเดินลงเขา แต่ยิ่งเดินขึ้นเขามากเท่าไหร่ แรงโน้มถ่วงของโลกที่เคยบีบอัดร่างกายเขาก็เบาบางลง ยิ่งเมื่อใกล้ถึงบนเขาแรงโน้มถ่วงที่เคยมากกลับจางหายไปจนเขาไม่รู้สึก ร่างกายที่เหนื่อยล้ากลับปลอดโปร่ง การตักน้ำนั้นพุทธะที่แฝงเอาไว้คือความเพียร ขอแค่เรามีความพยายามสักวันก็จะประสบผลสำเร็จ

นอกจากนั้นไม่ว่าจะเป็นการทำอะไร ทุกอย่างที่พระอาจารย์กระทำดูเหมือนลงโทษ แต่ความจริงกลับเป็นประโยชน์ที่หาค่าไม่ได้ จนกลายเป็นว่านั่นเป็นการสร้างพื้นฐานกำลังภายในและจิตใจให้มั่นคงแข็งแกร่งโดยที่เขาไม่รู้ตัว

‘อาจารย์ท่านดีกับข้าเหลือเกิน’

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด