ตอนที่ 184 ไม่ใช่คู่ต่อสู้ด้วยซ้ำ
ช่วงสายของวันนั้น เหนือภพกำลังทำกิจกรรมอยู่ในบ้านบุษราคัมกับรุ่นพี่ เพื่อสร้างความคุ้นเคย ทำความรู้จักกับคนอื่น ๆ เตรียมพร้อมสำหรับกิจกรรมพี่น้องพันธะที่จะถึงในอีกสองวัน ขณะที่เขากำลังพูดคุยอยู่กับบุหรงเพื่อเรียนรู้ทักษะการตีเหล็กอยู่นั้น นกอาคมสีสันสดใสตัวหนึ่งก็พุ่งทะยานเข้ามา ก่อนจะแปรสภาพเป็นกระดาษข้อความ
เหนือภพกวาดตาอ่านข้อความที่บงกตตอบกลับมา
“เป็นอย่างที่ตาแก่นั่นพูดไม่ผิด”
เหนือภพพึมพำ พลางครุ่นคิดเมื่อเห็นคำตอบในจดหมาย ผู้คุมกฎซ้ายบอกเขาไว้ล่วงหน้าว่าทางสำนักงานฮันเตอร์จะไม่สนใจคนไร้พรสวรรค์ พวกเขาจะอนุมัติให้เขาออกในทันที แต่กระนั้นพวกเขาก็จะหาทางใช้ประโยชน์จากเหนือภพเป็นครั้งสุดท้าย ซึ่งภารกิจส่วนใหญ่ที่คนไร้พรสวรรค์ได้รับ มันก็ไม่ใช่ภารกิจที่ฮันเตอร์ทั่ว ๆ ไปจะจัดการได้ โดยเฉพาะพื้นที่อย่างเหมืองโบราณ กลิ่นอายของผู้มีพรสวรรค์จะเป็นปฏิปักษ์กับพวกแร่และสิ่งมีค่าในนั้น เพราะปราณอาคมจะทำให้สิ่งของล้ำค่าที่มีจิตวิญญาณสิงสถิตอยู่หนีไป ทำให้ยากต่อการค้นหาและไขว่คว้า
“นี่ ! ฟังอยู่หรือเปล่า”
บุหรงร้องทัก พลางโบกมือไปมา เมื่อเห็นว่าเหนือภพกำลังเหม่อลอยหลังได้รับจดหมายจากใครก็ไม่รู้ เหนือภพรู้สึกตัวอีกครั้ง เขาทำลายจดหมายทิ้งแล้วก็หันหน้ากลับมาหาบุหรงด้วยท่าทางปกติอีกครั้ง
“อ่า พูดต่อเลย”
“ในการหลอมสร้างพื้นฐาน ไม่ว่าจะเป็นวิชาหลอมแร่แปรธาตุ วิชาสร้างอาวุธ หรือวิชาหลอมเกราะ เจ้าต้องเข้าใจสิ่งที่เรียกว่าวัตถุดิบในระดับเบื้องต้น เพื่อเข้าใจคุณสมบัติ ประโยชน์และโทษของมัน วัตถุดิบแต่ละชนิดมีระดับ มีธาตุ และมีความเป็นปฏิปักษ์ต่อกัน ดังนั้นสิ่งที่เจ้าควรจะเรียนรู้ต้องเริ่มจากจดจำให้ได้ก่อนว่าตัวแร่ที่ใช้การหลอมสร้างมีกี่ชนิด วัตถุดิบของสัตว์อสูรประเภทไหนที่สามารถใช้หลอมได้ พอเข้าใจหรือไม่”
“อ่า ดูเหมือนข้าจะต้องไปหาข้อมูลเพิ่มเติมสินะ”
“ใช่ ข้อมูลพื้นฐานเจ้าสามารถหาอ่านที่หอสมุดบ้านเราได้เลย แต่ถ้าอยากได้ข้อมูลในระดับต่อไป เจ้าต้องใช้เหรียญนพรัตน์ไปแลกเปลี่ยนตำราจากสหกรณ์ส่วนกลาง”
“เหรียญนพรัตน์”
พอเหนือภพนึกถึงตรงนี้ เขาก็ปวดขมับนิดหน่อย เพราะภายในวิทยาลัยมีระบบการเรียนการสอนที่ไม่ค่อยยุติธรรมเท่าไหร่นัก เหล่านักศึกษาจะต้องเรียนรู้และก็สรรค์สร้างผลงานไปพร้อม ๆ กัน ซึ่งผลงานของนักศึกษาไม่ว่าจะเป็น อาวุธ ยา ชุดเกราะ อาหาร และผลผลิตต่าง ๆ จะถูกเก็บเข้าวิทยาลัยและถูกประเมินโดยอาจารย์ที่ปรึกษาวิชานั้น ๆ แล้วนักศึกษาจะได้รับเหรียญนพรัตน์ ที่มีลักษณะเป็นเหรียญเก้าสีเป็นการตอบแทนความสามารถ
ซึ่งเหรียญนพรัตน์นั้นไม่เพียงใช้แลกเปลี่ยนสินค้ากับผู้อื่นในวิทยาลัย มันยังใช้แลกเปลี่ยนสิ่งของจากสหกรณ์ส่วนกลางได้ทั้งอาวุธ ชุดเกราะ ตำราวิชาชีพ วัตถุดิบ หรืออาวุธ ล้วนสามารถแลกได้จากที่นั่น แม้แต่ค่าหอพัก ค่าอาหาร ค่าจิปาถะที่ใช้ภายในวิทยาลัยก็ล้วนใช้เหรียญนพรัตน์ในการแลกเปลี่ยนทั้งสิ้น
หากใครมีเหรียญนพรัตน์ไม่เพียงพอ ก็จะถูกขับไล่ออกจากหอพักที่แสนสบายไปอยู่ในเขตสำหรับนักศึกษายากไร้ ที่อยู่เขตท้ายวิทยาลัย เขาเคยได้ฟังมาจากปากของรุ่นพี่ที่เคยประสบชะตากรรมที่นั่น พวกเขาล้วนพูดเสียงเดียวกันว่า ‘นรก’ นักศึกษาส่วนใหญ่ที่ไปที่นั่นหากไม่ได้กลับมาอาศัยที่บ้านอีก ก็จะพากันลาออกจากวิทยาลัยไป และด้วยเกณฑ์คัดเลือกนี้ทำให้แต่ละปีการศึกษา จะมีนักศึกษาจะลดน้อยลงไปกว่าครึ่ง บางปีนักศึกษาที่ยืนหยัดอยู่ได้ก็มีเพียงแค่หยิบมือเดียว
“บ่ายนี้ได้ข่าวมาว่าบ้านบุษราคัม มีการท้าประลองแข่งกับบ้านนิลกาฬ คงไม่ใช่ฝีมือเจ้าหรอกนะ”
บุหรงพูดเปรย ทำเหมือนไม่ค่อยใส่ใจ แต่เหนือภพกลับมีท่าทางห่อเหี่ยวอย่างเห็นได้ชัด ไม่น่าเชื่อว่าข่าวจะแพร่กระจายไวเพียงนี้ บุหรงจึงรู้ทันที
“เอาน่า ไม่ต้องกังวล ถึงเจ้าจะไม่เคยสร้างอาวุธมาก่อน แต่ข้ามีวิธีทำให้เจ้าพอจะถู ๆ ไถ ๆ ผ่านไปได้ สนใจไหมล่ะ แต่ว่าต้องมีข้อแลกเปลี่ยน”
แววตาของบุหรงฉายแววเจ้าเล่ห์ เธอยื่นข้อเสนอพร้อมยื่นน้ำเต้าเหล้าไปทางเหนือภพ แล้วก็ขยิบตาให้อย่างซุกซน
เหนือภพนิ่วหน้า “เหล้านี้ข้าไม่รับได้หรือ”
พูดจบเหนือภพก็คว้าเหล้ามาก็ยกขึ้นดื่ม แล้วเขาก็ตัดใจถาม
“มีข้อแลกเปลี่ยนอะไร”
บุหรงใช้นิ้วแตะริมปากอวบอิ่มของเธอ พร้อมส่งเสียง จุ๊ จุ๊ แม้เหนือภพจะรู้สึกว่าเธอไม่ได้เลวร้าย แต่รอยยิ้มกับสายตาคู่นั้นไม่น่าจะคิดเรื่องดีในสมองได้ ทำให้เหนือภพกังวลไม่น้อย
เมื่อเวลาประลองใกล้มาถึง เหล่านักศึกษาหลายบ้านก็ต่างทยอยเข้าไปจับจองที่นั่งภายในสนามประลอง 17 การท้าประลองระหว่างบ้านนั้นเกิดขึ้นไม่บ่อยนัก ดังนั้นเป็นเรื่องปกติที่เหล่านักศึกษาจะให้ความสนใจในการประลองแต่ละรอบ ผู้ท้าประลองแต่ละฝ่ายจะใช้ความสามารถที่ตัวเองมีเอาชนะอีกฝ่าย ซึ่งเทคนิคลับและวิชาเฉพาะบุคคลจะเผยออกมาในช่วงเวลานี้ จึงนับเป็นช่วงเวลาสำคัญที่เหล่านักศึกษาจะจดจำเพื่อนำไปปรับใช้ ซึ่งวิธีนี้ถูกเรียกและใช้อย่างแพร่หลายว่า ‘ครูพักลักจำ’
“ได้ข่าวว่า บ้านนิลกาฬท้าประลองกับบ้านบุษราคัม พวกเจ้ารู้ไหมว่าใครท้ากับใคร”
“ไม่รู้เหมือนกัน ข้าเองก็รู้แค่ว่าสองบ้านจะประชันกันตีอาวุธระดับ 4 ส่วนใครลงแข่งนั้น ข้าเองก็ไม่มั่นใจ ดูเหมือนทั้งสองฝ่ายจะเก็บงำชื่อผู้ท้าประลองเอาไว้อย่างดี”
เมื่อพวกนักศึกษาบ้านอื่นมาถึง แต่ไม่มีใครรู้สักคนว่าผู้ท้าประลองทั้งสองคนเป็นใคร
“ดูนั่น ประกาศิตนี่ เจ้าเด็กปีหนึ่งที่มาจากตระกูลช่างหลอมอาวุธระดับผู้เชี่ยวชาญ”
มีบางคนจำได้ เมื่อเห็นฝ่ายบ้านนิลกาฬปรากฏตัวขึ้นไปรอบนเวทีประลอง พร้อมกับค้อนตีเหล็กคู่กาย เหล่าผู้ชมต่างส่งเสียงฮือฮา เมื่อบุคคลดังกล่าวเป็นถึงลูกหลานตระกูลช่างระดับผู้เชี่ยวชาญ ซึ่งภายในแคว้นอมตะ ช่างหลอมอาวุธระดับผู้เชี่ยวชาญมีไม่ถึง 3 คนเท่านั้น แต่ละคนล้วนมีอำนาจและมีอิทธิพล เมื่อต้องเผชิญหน้ากัน แม้แต่ผู้มีพรสวรรค์ก็ยังให้เกียรติถึงหกส่วน
ประกาศิตคือชายหนุ่มวัย 18 ปี ร่างบึกบึนสมกับเป็นลูกหลานช่างหลอมอาวุธ ใบหน้าดุดันราวกับขุนโจร ประกายในแววตาแน่วแน่ เต็มไปด้วยความหยิ่งทระนง เขาเป็นเด็กปีรุ่นที่เป็นที่น่าจับตามองของเหล่าอาจารย์
“นี่ประกาศิต ป่านนี้เจ้านั่นยังไม่มา ไม่รู้ป่านนี้วิ่งหนีหางจุกตูดไปแล้วมั้ง ฮ่าฮ่าฮ่า”
หนึ่งในกลุ่มเพื่อนของประกาศิตที่ยืนรออยู่ด้านล่างเวทีประลอง กล่าวเยาะเย้ยและหัวเราะออกมา ประสานกับเพื่อน ๆ ในกลุ่มที่ต่างหัวเราะออกมาเสียงดังลั่น
ประกาศิตแสดงสีหน้าดูถูก แววตาเหยียดหยามเมื่อนึกถึงใบหน้าของเด็กบ้านบุษราคัมที่กล้าออกหน้าให้กับพวกสวะอย่างพวกมีพรสวรรค์
“นั่นบ้านบุษราคัมมาแล้ว”
เมื่อเหล่าฝูงชนชุดเหลืองพากันเดินทยอยกันเข้ามา เหล่าผู้ชมบนอัฒจันทร์ก็ต่างชะเง้อคอมองด้วยความสนใจ
“เอ๊ะ ! ประกาศิตท้าประลองกับรุ่นพี่บุหรงหรอ นี่มันเรื่องสุดยอดที่ควรจารึกเอาไว้ในประวัติศาสตร์ของวิทยาลัยเลยนะ”
เมื่อผู้ประลองมาถึงก็ขึ้นไปบนเวทีที่ถูกจัดเตรียมเอาไว้ตรงกันข้ามกัน บุหรงขึ้นไปด้วยท่าทางเมามาย สายตาจ้องไปที่ประกาศิตอย่างขำขัน ประกาศิตหน้าตาเลิ่กลั่ก คนที่เขาท้าประลองด้วยไม่ใช่นาง เขาชี้นิ้วไปที่เหนือภพที่อยู่บนอัฒจันทร์ เหนือภพกำลังหาที่นั่งเหมาะ ๆ ทำท่าทางไม่รู้ไม่ชี้ ขณะนั่งลงพร้อมกับอาหารว่างอย่างข้าวโพดคั่ว
“จะ เจ้า”
ประกาศิตอยากจะคัดค้าน แต่ดูเหมือนคำพูดจะติดคอ
“อะไรกันเจ้าเด็กนี่ เจ้าท้าประลองกับบ้านข้า แต่ดันไปชี้คนนอกสนาม เจ้าดูถูกข้าหรือไง”
บุหรงเอ่ยเสียงดัง แววตาซุกซนของเธอ ทำให้กลุ่มประกาศิตจากบ้านนิลกาฬเป็นใบ้กันไปหมด แม้อยากจะโต้แย้งออกมา แต่ก็ทำไม่ได้ พวกเขาลืมอะไรบางอย่าง แม้พวกเขาเขาจะแจ้งกับกรรมการตัดสินว่าจะใช้เวทีท้าประลองก็จริง แต่พวกเขาก็ขอใช้ในนามของบ้านนิลกาฬ เพื่อหักหน้าบ้านบุษราคัม นี่จึงเป็นประลองในนามของบ้านทั้งสอง
เมื่อเหนือภพเห็นว่าเหตุการณ์เป็นไปด้วยดี เขาก็ยิ้มกว้างคว้าข้าวโพดคั่วยัดเข้าปาก ขณะคิดถึงเหตุการณ์ระหว่างเขาและบุหรงก่อนหน้านี้
“ห่ะ เจ้าจะขึ้นประลองแทนข้า แบบนี้มันได้ยังไง เจ้านั่นมาท้าข้าแข่ง ไม่ใช่ท้าเจ้านี่นา”
“เจ้ามันไร้เดียงสาเกินไป ความจริงแล้วบ้านนิลกาฬกับบ้านบุษราคัมไม่ค่อยถูกกันมาตั้งแต่ไหนแต่ไร ดังนั้นเชื่อเลยว่าเมื่อข่าวการประลองระหว่างบ้านถูกประกาศออกมา พวกนั้นไม่ยอมให้พวกปีหนึ่งใช้ชื่อพวกเจ้าสองคนท้าประลองกันแน่ เพราะมันไม่ได้อะไร แต่หากท้าประลองในนามของบ้านแล้วล่ะก็ ไม่เพียงได้เหรียญนพรัตน์ แต่ยังได้หักหน้าบ้านของอีกฝ่าย โดยเฉพาะเจ้าที่ไม่ได้มีอะไรโดดเด่น ฝ่ายนั้นคงคิดว่าได้กินหมู ดังนั้นข้าไม่ได้ทำเพื่อเจ้า แต่ทำเพื่อบ้าน”
เหนือภพย้อนคิดถึงอดีตแล้วก็ส่ายหน้า เขาไม่คิดว่าเจ้าตัวเลวร้ายที่ทุกคนกล่าวขาน ย่อมเลวร้ายสมชื่อ
ไพรกาล ชายหนุ่มใบหน้าคมเข้มหล่อเหลา เขาคือรุ่นพี่ปีสามจากบ้านนิลกาฬ ที่กำลังนิ่วหน้าอย่างไม่พอใจ
“เจ้าตัวเลวร้ายนี่ ถึงกับหน้าไม่อาย ขึ้นมาประลองแทนเด็กปีหนึ่ง”
เสียงกระซิบของเขาไม่ดังมากนัก มีเพียงไม่กี่คนที่ได้ยิน
“เจ้าก็น่าจะรู้ว่ายัยนั่นไร้ยางอายขนาดไหน ข้าถึงเตือนเจ้าก่อนหน้าแล้วไง ว่าอย่าใช้ชื่อบ้านท้าประลอง แม้บ้านบุษราคัมจะเป็นบ้านที่ไม่ค่อยได้เรื่อง แต่พวกนั้นก็ใช่ว่าจะเคี้ยวง่ายซะที่ไหน”
หญิงสาวในชุดดำเอ่ยด้วยใบหน้ายิ้ม ๆ เธอเองถือว่าเป็นคู่ต่อสู้กับบุหรงมาหลายปีเช่นกัน ดังนั้นด้วยนิสัยเจ้าเล่ห์ของอีกฝ่าย เธอเคยเห็นมาแล้ว จะบอกว่าเธอเคยเป็นเหยื่อของอีกฝ่ายก็ไม่ผิด
“ข้าไม่คิดว่านางจะไร้ยางอายได้มากเพียงนี้”
“ฮ่าฮ่า เอาน่า ช่างเถอะ ไปดูบ้านอื่นประลองดีกว่า”
กลุ่มรุ่นพี่บ้านนิลกาฬต่างพากันลุกออกจากที่นั่ง ผลของการประลองเป็นที่แน่ชัดแล้ว ต่อให้ประกาศิตมีฝีมือมากขนาดไหน ต่อให้เป็นลูกหลานของตระกูลช่างระดับผู้เชี่ยวชาญแล้วยังไง ก็ยังไม่นับว่าเขาเป็นคู่ต่อสู้ที่สมน้ำสมเนื้อของบุหรง
และแล้วผลการประลองก็จบลงที่บุหรงเป็นฝ่ายชนะ แม้ผลงานที่ประกาศิตจะทำออกมาอยู่ในระดับดี มีพรสวรรค์ที่หาตัวจับได้ยาก แต่ไม่อาจชนะผลงานระดับดีเยี่ยมของบุหรง แม้ฝ่ายกรรมการจะรู้สึกว่าการประลองนี้ไร้ความยุติธรรม แต่ว่าผลงานที่ได้รับจากการประลองทั้งสองนั้นมีมูลค่าสูง และนั่นก็ไม่ได้มีผลเสียกับวิทยาลัยเลยสักนิด พวกเด็ก ๆ ท้าประลองกันแลกเปลี่ยนความรู้หรือแข่งขัน ใช้ทรัพยากรของวิทยาลัย ก็ต้องคืนผลงานให้แก่วิทยาลัย มีแต่ผลดีต่อทุกฝ่าย
“รุ่นพี่ เจ้านี่มันเก่งเกิน เจ้าทำได้ไง สามารถหลอมอาวุธได้โดยที่ไม่ต้องใช้เตาหลอมขนาดใหญ่”
“ไว้เจ้าทำตามข้อตกลงแล้วข้าจะสอน ข้าไปล่ะ”
จากนั้นบุหรงก็ร้องเพลงอย่างอารมณ์ดีไปตลอดทางกลับบ้าน
ท่าทางของเธอทำให้เหนือภพทั้งอิจฉาและก็งุนงง เพียงแค่การประลองครั้งเดียวเธอได้เหรียญนพรัตน์กลับมาตั้งห้าสิบเหรียญ ซึ่งเหรียญนพรัตน์เหรียญเดียวก็จ่ายค่าเช่าห้องพักได้หนึ่งเดือน อีกทั้งยังแลกของอื่น ๆ ได้อย่างมากมาย แม้กระทั่งเปลี่ยนมันเป็นเหรียญทองไว้ใช้จ่ายนอกวิทยาลัยก็ยังได้ ซึ่งหนึ่งเหรียญนพรัตน์มีค่าถึงร้อยเหรียญทอง