ตอนที่แล้วตอนที่ 182 เพื่อนข้าชอบท่าน
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 184 ไม่ใช่คู่ต่อสู้ด้วยซ้ำ

ตอนที่ 183 ลบความทรงจำ


“นี่รุ่นพี่ ท่านจะบอกข้าได้รึยังว่านางไปโดนตัวอะไรฟัดมา”

แม้เอื้องคำจะเป็นรุ่นพี่ปีสามของบ้านบุษราคัม แต่เธอก็ยังเรียกบุหรงว่ารุ่นพี่อยู่เสมอ เอื้องคำเป็นสตรีงดงาม ผิวขาวนวล แถมยังเป็นนักศึกษาเอกการรักษา วิชาการแพทย์ของเธอถือว่าลึกล้ำ เทียบได้กับหมอตามเมืองใหญ่ จะต่างกันก็เพียงประสบการณ์เท่านั้น

“ข้าไม่รู้ ข้าไปรับมาอีกที”

“พี่จะไม่รู้ได้ไง พี่นี่นะ ชอบเอาอะไรมาให้ข้ารักษาอยู่เรื่อย คราวที่แล้วก็เด็กปีสองบ้านนิลกาฬกระดูกแขนหักสองท่อนเพราะพี่ คราวนี้อย่าบอกนะว่าพี่ซัดนาง จนนางกลายเป็นแบบนี้”

เอื้องคำส่ายหน้าอย่างเอือมระอา นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เธอรักษาคนเจ็บ ส่วนใหญ่เธอจะต้องช่วยรักษาเหยื่อของบุหรง ที่ถูกบุหรงทุบตีจนบาดเจ็บ และเพื่อไม่ให้เรื่องราวบานปลายไปถึงอาจารย์ บุหรงจึงแบกพวกเขามาหาเธอ แต่ครั้งนี้ที่แปลกหน่อยที่เป็นเพียงหญิงสาว ต่อให้บุหรงเป็นคนตบตีไม่แยกเพศ แต่บุหรงก็ไม่เคยลงมือกับผู้หญิงมือหนักขนาดนี้

“รีบ ๆ รักษาไปเถอะน่า”

พูดจบบุหรงก็ยกน้ำเต้าเหล้าขึ้นดื่ม ขณะจ้องมองไปยังจิต เธอเองก็กำลังครุ่นคิดว่าหญิงสาวคนนี้ไปโดนอะไรมากันแน่ จู่ ๆ บุหรงก็รีบลุกออกไป

“เดี๋ยวรุ่นพี่จะไปไหน แล้วเด็กนี่อยู่บ้านไหน ข้าจะได้ไปส่ง”

“ข้าไม่รู้”

บุหรงตะโกนกลับมาอย่างไม่สนใจ ทำให้เอื้องคำได้พ่นลมหายใจออกมา แล้วทำการรักษาคนไข้ต่อ  เพราะแบบนี้ไงฝีมือด้านการแพทย์ของเธอถึงก้าวหน้าขึ้นทุกวัน

เหนือภพไม่ได้อยู่รอดูอาการของจิต เขาเลือกออกมาพบพราวจันทร์ในยามค่ำคืนแทน พวกเขานัดพบกันที่สวนหย่อมท้ายวิทยาลัย ที่นี่เงียบสงบและมืดครึ้ม

“ท่านพี่มีอะไร ถึงเรียกข้าออกมา”

“พอดีเกิดเรื่องนิดหน่อย”

จากนั้นเหนือภพก็เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในคืนนี้ให้พราวจันทร์ฟัง ทำให้เธอตกใจไม่แพ้เหนือภพเลย

“ดูเหมือนว่าปริศนาภายในโรงฝึกเก่าอาจจะเกี่ยวข้องกับการทดลองที่หมู่บ้านโอปะ”

พราวจันทร์พูดพึมพำออกมา เหนือภพเองก็พยักหน้ารับด้วยสีหน้าครุ่นคิด นี่เป็นเพียงสิ่งเดียวที่พวกเขาคิดออก มีเพียงเหตุผลนี้ที่จะคาดเดาเรื่องต่อไปได้ หากเป็นเช่นนั้นจริงก็แสดงว่าที่วิทยาลัยอาชีวะคงจะมีปัญหาบางอย่าง

“ท่านพี่มีเรื่องอะไรอีกมั้ยคะ”

“ไม่ล่ะ มีเท่านี้ ทำไมจ๊ะเมียจ๋า อยากทำอะไรเป็นพิเศษหรอ”

เหนือภพปรับเปลี่ยนอารมณ์มาหยอกล้อ เพราะเขาเองก็ไม่อยากให้พราวจันทร์คิดมาก แต่ดูเหมือนจะไม่ได้ผล พราวจันทร์มีสีหน้าจริงจังขณะเดินออกห่างเหนือภพ

“น้องต้องรีบกลับแล้วค่ะ เดี๋ยวมีคนสงสัย ลาก่อนค่ะท่านพี่”

พราวจันทร์ทิ้งคำพูดไว้แค่นั้น แล้วเธอก็วิ่งจากไป

หลังจากที่เหนือภพแยกกับพราวจันทร์ เขาก็ย้อนกลับมาที่บ้านบุษราคัม เพื่อรอข่าวดีจากบุหรง แต่ระหว่างทางกลับห้องพัก เขากลับถูกบุหรงผลักเข้าไปในห้องเขาอย่างรวดเร็ว

“เห๊ย ! อะไร”

บุหรงรีบปิดประตูห้อง แล้วผลักเหนือภพไปติดผนัง เธอจ้องเหนือภพอย่างจับผิด

“พูดมา เกิดขึ้นอะไรกับนาง บาดแผลบนตัวนางเกิดขึ้นจากเจ้าใช่ไหม”

ลางสังหรณ์ของเธอบอกเช่นนั้น และบุหรงจะไม่ยอมให้รุ่นน้องในบ้านก่อเรื่องอาชญากรรมหรือฆาตกรรมแน่ เรื่องนี้มันใหญ่เกินกว่าจะเป็นเรื่องต่อยตีธรรมดา

เหนือภพได้นิ่วหน้า เขาเองก็กระอักกระอ่วนที่จะบอกความจริง จึงได้แต่พูดเฉไฉ

“เรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับรุ่นพี่ แล้วนางเป็นยังไงบ้าง”

บุหรงสัมผัสได้ถึงแววตากังวลและความเป็นห่วงจากเหนือภพ ทำให้ความคิดที่อยากจะลงมือเพื่อเปิดปากผู้ร้ายปากแข็งต้องหยุดลง

“ก็ได้ หากข้าจับได้ว่าเจ้าเป็นคนทำ เจ้าได้เห็นดีแน่”

บุหรงพูดแค่นั้น แล้วเธอก็ออกจากห้องเหนือภพไป ท่าทางเอาจริงของเธอในวันนี้ทำให้ชายหนุ่มต้องคิดใหม่แล้วว่าปีศาจร้ายที่คนอื่นพูดถึง จะมีความรู้สึกเห็นอกเห็นใจผู้อื่นด้วย ? บางทีสิ่งที่นางกระทำมาตลอด คนอื่นจะมองว่าร้าย แต่มันอาจจะมีความประสงค์ดีบางอย่างแอบแฝงอยู่ และชายหนุ่มก็รับรู้ได้ ว่านางไม่ใช่คนเลวร้ายอย่างที่คนอื่นพูดกัน

“เห้อ”

เหนือภพทิ้งตัวนอนบนเตียงอย่างกังวล ถ้าบุหรงยอมจากไปแต่โดยดี แสดงว่าจิตน่าจะพ้นขีดอันตรายแล้ว ใช้เวลาพักสักหลายวันก็คงฟื้นขึ้นมา เรื่องนี้จึงพอจะวางใจได้ แต่พรุ่งนี้ตอนบ่ายเขามีการประลองแข่งหลอมอาวุธ และเขาก็ไม่มีความรู้เกี่ยวกับการหลอมอาวุธมากนัก แม้จะคลุกคลีอยู่กับช่างดาบมาบ้าง ได้เห็นการทำอาวุธมาหลายครั้ง แต่เขาก็ยังไม่ค่อยเข้าใจกระบวนการและทฤษฎีของมัน

‘ทำยังไงดี ช่างเถอะ อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด’

เหนือภพได้แต่ปล่อยวาง ก็แค่ขายหน้านิดหน่อย มันจะหนักหนาสาหัสอะไร

วันรุ่งขึ้น เหนือภพตื่นมาโดยไม่ได้สนใจเลยว่าการประลองในวันนี้จะออกมาเป็นอย่างไร เขาปล่อยตัวเองไปตามกิจวัตรปกติ เขามีงานมีภาระหน้าที่ต้องทำ ตอนนี้เขาเจอจิตแล้วก็จริง แต่เขายังหาจันกับสางลำไพรไม่พบ มีเพียงหาพวกเขาให้พบทุกคน เขาน่าจะได้คำตอบอะไรเพิ่มเติม

“ตามข้ามา”

บุหรงเรียก ขณะเดินผ่านเหนือภพที่ห้องโถงรวมชั้น 1 ชายหนุ่มที่พอจะเข้าใจบางอย่างก็ติดตามไปอย่างเงียบ ๆ ทันทีเขาไปถึงสิ่งที่เขาพบคือจิต ร่างกายของเธอเป็นปกติแล้ว และเธอกำลังพูดคุยอยู่กับรุ่นพี่เอื้องคำ

พอเอื้องคำเห็นบุหรงกับเหนือภพเดินเข้ามา เธอก็ส่งสัญญาณให้จิตรับรู้

“นั่นไง คนที่ช่วยเจ้ามาแล้ว”

“คะ”

พอจิตหันไปเห็นเหนือภพ เธอก็ลุกยืนขึ้นทันที

“อ้าว ท่านฮัน...”

ประโยคทักทายของจิตขาดช่วงลง แล้วเหนือภพก็รีบลากเธอออกจากห้องทันที ท่ามกลางอาการตกตะลึงของทั้งสองสาว ก่อนที่พวกเธอจะรู้อะไรเพิ่มเติม เหนือภพก็ลากจิตออกไปไกลแล้ว

เหนือภพดึงแขนจิตออกมานั่งที่ม้านั่งข้างสนามกลางบ้าน เรื่องที่เขาเป็นฮันเตอร์ควรเป็นความลับ อย่างไรเสียที่วิทยาลัยนี่ก็เป็นโลกของผู้ไร้พรสวรรค์ ถ้าพูดในแง่ของสังคม ความเป็นปฏิปักษ์ระหว่างฮันเตอร์กับผู้ไร้พรสวรรค์ก็มีอยู่ไม่น้อย ดังนั้นหากมีใครล่วงรู้ถึงชีวิตจริงของเขา เขาคงไม่สงบสุข เหนือภพจึงต้องบอกให้จิตรับรู้เสียก่อน ก่อนจะชวนพูดเรื่องอื่น

“แล้วเจ้ามาอยู่ที่นี่ได้ไง แล้วคนอื่นล่ะ”

“ก็มาเรียนไง เจ้านี่ก็ถามอะไรแปลก ๆ  ส่วนพี่จันกับพี่ลำไพรก็เรียนอยู่ที่นี่เหมือนกัน เพียงแต่อยู่คนละบ้านกับข้า เจ้าถามถึงพวกเขาทำไม”

จิตไม่พูดเปล่า เธอยังพาเหนือภพไปหาคนทั้งคู่อีกด้วย พอเหนือภพพบทั้งสองคน ก็เห็นว่าพวกเขาอยู่ที่นี่จริง ๆ แถมยังดูปกติสุขดีด้วย พวกเขาดูเต็มใจและไม่ได้ถูกใครบังคับมา

แต่พอเหนือภพถามถึงเรื่องราวก่อนหน้า ว่าทำไมพากันมาเรียนที่นี่ ทุกคนรู้แค่ว่าพวกเขาพากันมาทำภารกิจ จากนั้นก็พากันมาเรียนที่นี่ พวกเขาจำได้แค่นั้น โดยเฉพาะจิต เธอจำเรื่องที่ต่อสู้กับเขาเมื่อคืนไม่ได้ด้วยซ้ำ ทั้ง ๆ ที่ในความทรงจำของเหนือภพนั้น เมื่อก่อนตอนที่จิตกลายร่างเป็นวานร เธอยังสามารถจำอะไรได้ แต่ตอนนี้ทุกอย่างเปลี่ยนไปแล้ว

เหนือภพจึงนำเรื่องนี้ไปปรึกษากับพราวจันทร์ เธอนัดพบเขาที่หอสมุดกลางของวิทยาลัย พวกเขานั่งซุบซิบกันเงียบในซอกตู้หนังสือตู้หนึ่ง

“ดูเหมือนว่าพวกนั้นจะส่งคำตอบมาถึงเรา”

พราวจันทร์พอจะคาดเดาความคิดของกลุ่มคนปริศนาออก การที่พวกเขาปล่อยให้จิตจู่โจมเหนือภพนั้น อาจจะเป็นเรื่องที่พวกเขาตั้งใจ และการที่จิต จัน และสางลำไพร จากที่ไม่เคยมีตัวตนในวิทยาลัยมาก่อน จู่ ๆ ก็กลับมีตัวตนขึ้นมา มันเป็นเรื่องแปลกประหลาดเกินกว่าจะเข้าใจ เบาะแสที่เคยคิดว่ามีมา กลับถูกตัดหายวับ

“พวกนั้นจะบอกอะไรเรา”

เหนือภพนั่งกุมขมับ โดยมีพราวจันทร์เอนตัวซบไหล่ พราวจันทร์ปลอบใจเหนือภพด้วยการลูบไล้หลังมือของเขา

“ช่วงนี้เราคงต้องหยุดการค้นหาไปก่อน พวกมันรู้ตัวแล้ว จากนี้เราก้ใช้ชีวิตไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เพื่อรอเวลาที่พวกมันเผลอ หรือรอจนกว่าเราจะมีผู้ช่วย”

พราวจันทร์คิดวิเคราะห์ได้เท่านี้ เธอรู้สึกว่าเรื่องนี้แปลกประหลาดเกินไป มันเกินขอบเขตที่หนุ่มสาวอย่างพวกเธอจะมารับผิดชอบ ถึงขนาดลบความทรงจำของคนได้นี่มันเกินไปหน่อยแล้ว

เหนือภพพยักหน้าอย่างเห็นด้วย เขาระมัดระวังตัวเองอย่างมากขณะส่งข่าวกลับไปให้ไลลารู้ และเขาก็บอกสางลำไพรว่าน้องสาวสุดที่รักของเธอมาเยี่ยม ไลลาอยู่ภายในเมืองปัญญานี้เอง จากนั้นเหนือภพก็ส่งข่าวไปยังสำนักงานฮันเตอร์ ที่เหลือก็แค่ปล่อยให้ทางสำนักงานฮันเตอร์จัดการต่อ ส่วนเขาจะไม่ขอยุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้อีกไม่ว่าอย่างไรก็ตาม

ณ สำนักงานฮันเตอร์ สาขาเมืองอมตะ

หลังจากที่บงกชทราบเรื่องว่าเหนือภพจะลาออกจากการเป็นเจ้าหน้าที่หน่วยเฉพาะกิจ เขาก็รีบดำเนินเรื่องให้ทันที แต่จะต้องรอให้เบื้องบนอนุมัติก่อน ทว่าแทนที่เบื้องบนจะอนุมัติแต่โดยดี เบื้องบนกลับส่งเจ้าหน้าที่ระดับ 3 กลับมาสอบถามเขา

“อยู่ ๆ เขาก็ขอถอนตัวจากภารกิจเนี่ยนะ”

หนึ่งในเจ้าหน้าที่ระดับ 3 เอ่ยถามบงกช ด้วยสีหน้าไม่อยากจะเชื่อ

“ครับ”

บงกชจึงเล่าเรื่องเกี่ยวกับที่เหนือภพเสนอมาเพื่อขอลาออก ทั้งยังบอกเล่าสถานการณ์ภายในเมืองปัญญาที่เหนือภพสืบหามาได้ รวมไปถึงเหตุผลการลาออกที่ระบุมาในจดหมาย เหนือภพบอกว่าเขามีใจอยากจะศึกษาต่อเพื่อหาเงินให้ได้มาก ๆ ‘ดีกว่าทำงานให้สำนักงานที่ให้เบี้ยเลี้ยงแค่หยิบมือเดียว’

“เขาพูดแบบนั้นจริงเหรอ”

บงกชพยักหน้ายืนยัน เพราะเนื้อความในจดหมายเป็นเช่นนั้นจริง ตัวเขาเองก็รู้ดีว่าเหนือภพเห็นแก่เงินขนาดไหน เขาคิดไว้แล้วว่าสักวันเหนือภพต้องลาออก ในความเป็นจริงแล้วการเป็นเจ้าที่ของสำนักงานฮันเตอร์ไม่ได้เงินน้อยแบบนั้น แต่ด้วยความที่เหนือภพเป็นคนไร้พรสวรรค์ต่างหาก ทำให้เบื้องบนเอารัดเอาเปรียบเขา บังคับจ่ายเงินเพียงแค่เล็กน้อย ต่อให้เบื้องบนเห็นเขามีประโยชน์อย่างไร เขาก็เป็นได้แค่เครื่องมือที่สามารถใช้แล้วทิ้ง

ผู้ไร้พรสวรรค์ก็คือผู้ไร้พรสวรรค์ ต่อให้เก่งกาจอย่างไรก็ยังมีขีดจำกัดที่ไม่อาจก้าวข้ามผู้มีพรสวรรค์ไปได้ ไม่ว่าในด้านของพลังหรืออายุขัย หรือแม้แต่อนาคต ผู้มีพรสวรรค์สามารถไปได้ไกลกว่านั้น กระทั่งกลายเป็นผู้วิเศษที่มีอำนาจเทียมฟ้า ขณะที่ผู้ไร้พรสวรรค์ต่อให้ฝึกฝนร่างกายจนถึงขีดสูงสุดของความเป็นมนุษย์ ก็ได้เพียงแค่ความแข็งแกร่งทางกายภาพ ต่างจากผู้มีพรสวรรค์ที่สามารถแข็งแกร่งได้ทั้งจิตวิญญาณและร่างกาย จนก้าวผ่านคำว่าอายุขัย

ดังนั้นไม่ว่าสำนักงานฮันเตอร์ องค์กร หรือขุมอำนาจต่าง ๆ จึงไม่เลี้ยงผู้ไร้พรสวรรค์ที่มีเพียงแค่ความสามารถทางการต่อสู้ เพราะมีแต่จะสิ้นเปลืองทรัพยากรเปล่า ๆ พวกนั้นเป็นเบี้ยที่ใช้งานได้เพียงไม่ถึงร้อยปี

นี่เป็นสิ่งที่บงกชคาดการณ์เอาไว้ เหนือภพไม่ใช่คนไร้พรสวรรค์เพียงคนเดียวที่อยากเป็นฮันเตอร์ ในอดีตมีคนไร้พรสวรรค์ที่มีฝีมือจำนวนมากเข้ามาเป็นฮันเตอร์ อย่างจ้าวตึกภารดา จ้าวหอโลหิตอย่างวัฏจักรต่างก็เคยมาโลดแล่นอยู่ในเส้นทางฮันเตอร์ระยะหนึ่ง สุดท้ายแล้วไม่ใช่ว่าเส้นทางฮันเตอร์ไม่เหมาะกับพวกเขา  แต่คนที่อยู่ในเส้นทางต่างหากที่ไม่ต้องการให้พวกเขาเดินร่วมทาง

“ส่งจดหมายตอบกลับให้เขา เขาได้สิทธิ์ลาออกจากการเป็นเจ้าหน้าที่ แต่ว่างานที่สำนักงานส่วนกลางให้เขาทำ  เขายังต้องทำอยู่ แลกเปลี่ยนกับเงินตอบแทน”

บงกชรับคำ ก่อนออกมาจากห้องเพื่อส่งจดหมายให้เหนือภพรับรู้ บงกชได้แต่พ่นลมหายใจอย่างท้อแท้ ตราบใดที่สำนักงานฮันเตอร์ยังเลือกปฏิบัติเช่นนี้ สักวันคนเก่งมีฝีมือก็คงหายไปหมด ไม่มีใครอยากมาทำงานที่นี่อีกแล้ว

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด