ตอนที่แล้วDual Cultivation บทที่ 559: ชุ่มโชกไปด้วยปราณหยิน
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปDC ขอพักหนึ่งวันครับ

Dual Cultivation บทที่ 580: สำนักเมฆม่วง (ฟรี)


Dual Cultivation บทที่ 580: สำนักเมฆม่วง

สามวันผ่านไปนับตั้งแต่ฟางเซี่ยวหรูได้กลายเป็นศิษย์ของนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย ในเวลานั้นที่สำนักเมฆม่วง ตระกูลฟางเพิ่งได้ไปถึงยังประตูหน้าสำนัก

“พวกเราได้รอคอยพวกท่านอยู่ ผู้นำตระกูลฟาง” กู่กว่านถิงทักทายเธอที่ประตูทางเข้าด้วยสีหน้าดีใจ ในเมื่อเขาได้รอวันนี้มานับตั้งแต่เขารู้ว่าอัจฉริยะของตระกูลฟาง ฟางเซี่ยวหรูจะมาเข้าร่วมสำนักของพวกเขา

อย่างไรก็ตามเมื่อเขาเห็นสีหน้าไม่พึงพอใจบนหน้าของฟางเซียนเจว้ เขาก็ถามเธอด้วยเสียงที่เป็นห่วงเป็นใยว่า “มีอะไรผิดไปรึ ท่านผู้นำตระกูลฟาง”

“อย่าได้หวังอะไรมาก” เธอตอบกลับหลังจากที่เวลาได้ผ่านไปชั่วขณะ “อย่างไรก็ตามลูกสาวข้า ฟางเซี่ยวหรูจักมาถึงในอีกสองสามวันข้างหน้า ข้าต้องขอโทษสำหรับความไม่สะดวกที่อาจจะเกิดขึ้นต่อสำนักของท่าน”

“มิจำเป็นต้องที่จะขอโทษสำหรับเรื่องเล็กน้อยเช่นนี้ ความจริงแล้วพวกเราก็มิรู้ว่าจักขอบคุณตระกูลฟางอย่างไรที่เชื่อถือในสำนักเมฆม่วงมากจนถึงกับยอมให้พวกเราได้ฝึกฝนฟางเซี่ยวหรู หนึ่งในอัจฉริยะระดับสูงในโลกนี้” กู่กว่านถิงกล่าวพร้อมกับรอยยิ้ม

แม้เขาจะกล่าวว่าสำนักเมฆม่วงเป็นผู้ฝึกฝนฟางเซี่ยวหรู แต่ในความเป็นจริงก็คือหงอวี้เอ๋อร์ที่เป็นคนสอนเธอ ในเมื่อปกติแล้วไม่มีทางที่สำนักธรรมดาทั่วไปอย่างเช่นสำนักเมฆม่วงจะสามารถสอนอัจฉริยะอย่างเช่นฟางเซี่ยวหรูได้

ถึงแม้ว่าพวกเขาจะได้รับตำแหน่งที่สองในการแข่งขันระดับภูมิภาคและได้รับการแต่งตั้งเป็นสำนักระดับสูงจากตระกูลซี สำนักเมฆม่วงก็เพียงมีค่าเพราะว่าหงอวี้เอ๋อร์ซึ่งกลายเป็นเสาหลักและหน้าตาของทั้งสำนัก

หากปราศจากหงอวี้เอ๋อร์ สำนักเมฆม่วงก็เป็นเพียงแค่สำนักที่เหนือกว่าระดับกลางเป็นอย่างมาก แต่แน่นอนว่าพวกเขาไม่มีอะไรที่สามารถเปรียบกับสำนักระดับสูงจริงๆได้

หลังจากนั้น กู่กว่านถิงก็ได้นำตระกูลฟางไปภายในสำนักและจัดที่พักที่ดีที่สุดที่พวกเขามีให้กับตระกูลฟาง

หลังจากนั้นตระกูลฟางก็ขังตัวเองอยู่ในที่พักไปอีกหลายวันจนกระทั่งครบกำหนดหนึ่งสัปดาห์ที่ฟางเซียนเจว้มอบให้กับฟางเซี่ยวหรูนั้นหมดไป

“นังเด็กเนรคุณ” ฟางเซียนเจว้โกรธมากจนถึงกับกระทืบพื้น ใบหน้าของเธอเต็มไปด้วยความโกรธ “หลังจากที่พวกเราได้ทำทุกสิ่งทุกอย่างให้กับเธอรวมไปถึงทรัพยากรทุกอย่างที่พวกเราได้ให้กับเธอ เธอกลับกล้าที่จะจากตระกูลไปอยู่ยังนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยงั้นรึ นังเด็กเลวนั้นมิไม่มีหัวอกหัวใจเลยรึ”

“พวกเราควรทำอย่างไรต่อไปดี ท่านผู้นำตระกูล พวกเราจะไปสู้กับนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยจริงรึ” ผู้อาวุโสคนหนึ่งถามเธอ

“เจ้าโง่รึเปล่า” เธอพลันคำรามใส่ผู้อาวุโสที่เพิ่งพูด และเธอก็กล่าวต่อว่า “เจ้าลืมไปแล้วรึว่าใครอยู่ที่นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย ซีหวัง ปรมาจารย์ของตระกูลซี”

“ถึงแม้ว่าเขาจะพูดว่าเขามิยุ่งกับธุระในตระกูลของเรา แต่คนโง่ประเภทไหนกันจักเชื่อคำโกหกที่โจ่งแจ้งเช่นนั้น”

“ถึงแม้ว่าเขามิได้เข้ามายุ่งกับเรื่องชีวิตของพวกเรา แต่อิทธิพลและความเชื่อถือตระกูลฟางของเราที่ได้สร้างมานานกว่าหลายสิบปีย่อมต้องสูญสิ้นไปในทันทีที่พวกเราโจมตีพวกนั้น ในเมื่อตระกูลซีย่อมจักต้องเข้าข้างกับนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยแน่นอน”

“ดังนั้นจริงแล้วจึงมิมีอะไรที่พวกเราจักสามารถทำได้ในการที่จะทำให้ฟางเซี่ยวหรูกลับมาเราอย่างนั้นรึ”  ผู้อาวุโสถาม

การสูญเสียฟางเซี่ยวหรู อัจฉริยะระดับสูง ย่อมเป็นความสูญเสียอย่างยิ่งใหญ่แม้กระทั่งสำหรับตระกูลที่ทรงอำนาจและอิทธิพลอย่างตระกูลฟาง

ฟางเซียนเจว้ถอนหายใจและกล่าวขึ้นว่า “ตอนนี้เมื่อตระกูลซีรู้ถึงเจตนาของพวกเรา ก็ย่อมแทบจะเป็นไปมิได้ที่จักจัดการกับพวกเขาอย่างเงียบๆ โชคร้ายที่พวกเราจำเป็นต้องปล่อยไว้ก่อน อย่างไรก็ตามข้าก็จักพูดกับผู้นำตระกูลสามีข้าก่อนอื่น”

หลังจากที่รออยู่อีกเป็นเวลาสองสามวันเผื่อว่าฟางเซี่ยวหรูตัดสินใจที่จะมาในภายหลังแต่ไม่สำเร็จ ฟางเซียนเจว้ก็ตัดสินใจที่จะเปิดเผยสถานการณ์ให้กับกู่กว่านถิง

“ข้าจักต้องขออภัยอย่างสุดซึ้งกับสำนักเมฆม่วงและท่านเจ้าสำนัก ในเมื่อดูเหมือนว่าลูกสาวโง่เง่าของข้าได้ตัดสินใจเข้าร่วมกับนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยในการตัดสินใจครั้งสุดท้าย ถ้ามีอะไรที่ข้าสามารถที่จะทำสำหรับปัญหานี้ ตระกูลฟางย่อมจักมิละความพยายามใดๆ”

“ฟางเซี่ยวหรูเข้าร่วมกับนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยอย่างนั้นรึ…” กู่กว่านถิงจ้องมองไปยังเธอเขม็ง ราวกับว่าเขาไม่เชื่อหูตัวเอง

“ฮ่าฮ่าฮ่า… นี่เป็นเรื่องที่น่าสนุกจริงๆ” ถังหลิงซีพลันปรากฏตัวขึ้นมาอย่างกระทันหันพร้อมกับหัวเราะ

“หงอวี้เอ๋อร์” ฟางเซียนเจว้มองไปยังเธอด้วยดวงตาเบิกกว้าง ในเมื่อเธอไม่สามารถที่จะประเมินได้ว่าทำไมอีกฝ่ายจึงหัวเราะ

“ข้ามิคาดคิดถึงสถานการณ์นี้ แต่ข้าก็มิอาจที่จะกล่าวได้ว่าข้าประหลาดใจ” ถังหลิงซีกล่าวพร้อมกับรอยยิ้มบนใบหน้า “เยี่ยม อย่างน้อยข้าก็มิต้องไปสอนเธอแล้วในตอนนี้ ข้าควรจะขอบคุณซูหยางที่นำเธอไปพ้นจากมือข้าในตอนหลังถ้าพบเจอกับเขา”

“ท-ทำไมเจ้าจึงรู้ว่าเขาอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้ ข้ามิได้แม้กระทั่งพูดถึงชื่อของเขา..” ฟางเซียนเจว้ถามเธอด้วยสีหน้าสับสน ในเมื่อเธอเพียงกล่าวเพียงแค่ฟางเซี่ยวหรูเข้าร่วมกับนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยเท่านั้น

ถังหลิงซียิ้มและกล่าวขึ้นว่า “ต้องพูดว่านี่มิใช่เป็นครั้งแรกที่เกิดขึ้น”

“ม-มิใช่ครั้งแรกรึ..” ทั้งฟางเซียนเจว้และกู่กว่านถิงมองไปยังเธอด้วยสีหน้างงงัน

“อย่างไรก็ตามท่านมิต้องกังวลมากนักกับฟางเซี่ยวหรูไปเข้าร่วมกับนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย ตามจริง ข้าควรจะพูดมากกว่านี้ว่าเธอได้ตัดสินใจถูกต้องกับการที่ไปที่นั่นแทน” ถังหลิงซีกล่าวและเธอก็พูดต่อว่า “เธอจักได้เรียนรู้จากที่นั่นกับซูหยางมากกว่าที่เธอจะได้จากที่แห่งนี้กับข้า ในเมื่อเขามีประสบการณ์มากกว่าข้ามากนักในด้านการสอนคนอื่น”

เมื่อได้ยินคำชมเชยของถังหลิงซีมีต่อซูหยาง ฟางเซียนเจว้ก็ไม่รู้ว่าจะมีปฏิกิริยาอย่างไรดี และได้แต่ยืนอยู่ที่นั่นด้วยใบหน้างงงัน เป็นจริงอย่างงั้นรึ ที่ฟางเซี่ยวหรูจักได้รับจากนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยมากกว่าจากสำนักเมฆม่วง

ส่วนสำหรับกู่กว่านถิงนั้น เขารู้สึกอยากร้องไห้หลังจากที่ได้ฟังถังหลิงซีพูดจาว่าร้ายสำนักเมฆม่วงโดยเปรียบเทียบกับนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย

“เจ้าเป็นศิษย์สำนักเมฆม่วง หรือว่าแท้จริงแล้วเจ้ามาจากนิกายพ้นพิสัยกันแน่” เขาร่ำร้องอยู่ในใจ

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด