ตอนที่แล้วตอนที่ 162 เตโชวาสิน
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 164 เธอหายไปไหน

ตอนที่ 163 บ้านฮันเตอร์เพชรการเวก


เหนือภพพาพราวจันทร์เดินออกมาจากห้องรับรองที่อยู่ในพื้นที่ต้องห้ามของอาคารใจกลางสำนักงานฮันเตอร์ พวกเขาเดินลัดเลาะมาตามอาคารต่าง ๆ ท่ามกลางบรรยากาศมืดทึบและเงียบงัน

“ท่านพี่”

“จ๋า”

“หลังจากนี้ถ้าพวกเขายื่นข้อเสนออะไรมาเพิ่มเติม ท่านพี่อย่าตกลงรับปากง่าย ๆ นะคะ”

“หืม ทำไมล่ะ”

เหนือภพยื่นหน้าเข้ามากระซิบถามพราวจันทร์ใกล้ ๆ จนปากของเขาแทบจะชนแก้มเธอ พวกเขายังเดินไปข้างหน้าเรื่อย ๆ ขณะที่พราวจันทร์ก็ตอบกลับมาด้วยเสียงกระซิบเช่นกัน

“จากที่ข้าได้ฟังมา ข้ารู้สึกว่าพวกเขามีเรื่องปิดบังเรา ท่านพี่คิดดูสิภารกิจสืบค้นอะไรแบบนี้ย่อมมีฮันเตอร์ยอดฝีมือเสนอตัวเข้ามาทำ แล้วทำไมพวกเขาถึงต้องเจาะจงจะต้องเป็นท่านพี่เท่านั้น แสดงว่าต้องมีเรื่องอะไรบางอย่างที่เฉพาะเจาะจง หากไม่ใช่ท่านพี่ก็จะทำไม่สำเร็จ”

“ข้าก็สังหรณ์ใจแบบนั้น และถ้ามันเป็นแบบนั้นจริง ๆ ล่ะก็ ข้าก็จะ...”

เหนือภพหยุดพูดด้วยความตื่นเต้น เขาหันหน้ามามองพราวจันทร์อย่างขอความเห็น เธอยิ้มกว้างให้เขาเพื่อยืนยันว่าเขาคิดถูกต้อง

“ใช่ค่ะ ท่านพี่ก็จะสามารถโก่งค่าตัวเท่าไหร่ก็ได้”

“ฮ่า ฮ่า อุ๊บ”

เหนือภพหลุดหัวเราะเสียงดัง จนพราวจันทร์รีบเข้ามาใช้ฝ่ามือน้อย ๆ ปิดปากเขาเอาไว้ ก่อนที่จะมีใครมาได้ยินเรื่องนี้

“จุ๊ จุ๊ เรื่องนี้ต้องปิดเป็นความลับก่อนค่ะ จะให้พวกเขารู้ไม่ได้ ตอนนี้เราต้องเล่นตามน้ำไปก่อน เพื่อสืบหาว่าความจริงมันเป็นยังไงกันแน่ เมื่อเรารู้แล้วค่อยโก่งค่าตัวทีหลังก็ยังไม่สาย”

“เมียจ๋าฉลาดที่สุดเลย แต่เจ้าไม่ต้องกลัวหรอก ถ้าใครคิดจะเอาเปรียบข้า ข้าจะถล่มมันให้เละ”

เหนือภพชูกำปั้นขึ้นประกอบคำพูดที่แสนฮึกเหิม ทว่าพราวจันทร์กลับถอนหายใจเฮือกใหญ่ เธอดึงกำปั้นของเหนือภพมากุมไว้ตรงทรวงอกของเธอ แล้วเธอก็ค่อยคลายกำปั้นของเหนือภพออก

“ท่านพี่ ท่านพี่อยากให้คนอื่น ๆ คาดเดาความคิดของท่าน แล้วชักนำท่านได้โดยง่ายงั้นหรือ”

“ไม่ ข้าไม่ต้องการ”

เหนือภพเกิดจิตใจไขว้เขวเล็กน้อยเมื่อได้สัมผัสกับทรวงอกนุ่มนิ่มนั้น เขาตกอยู่ในภวังค์จึงตอบรับพราวจันทร์ไปโดยไม่ต้องคิด ราวกับว่าเขากำลังอยู่ในห้วงมนต์สะกด

“ในตอนนี้ทุกคนเชื่อว่าท่านพี่ทำทุกอย่างได้เพื่อเงินทอง และไม่กลัวการต่อสู้”

“ก็มันเรื่องจริง”

“ถ้าเช่นนั้นใคร ๆ ก็ล่อลวงท่าน และก็ยั่วยุท่านได้ง่าย ๆ เช่นกัน พวกเขามองท่านไม่ต่างจากเด็กอมมือคนหนึ่ง จะบีบก็ตายจะคลายก็รอด หรือจะหลอกมาปั่นหัวเล่นก็ไม่ยาก”

พราวจันทร์พูดพลางบีบนวดฝ่ามือข้างนั้นของเหนือภพ แล้วก็กดฝ่ามือหนากร้านลงบนทรวงอกข้างขวาของเธอ เหนือภพจึงยิ่งเคลิบเคลิ้มยิ่งขึ้น

“ข้าไม่ต้องการแบบนั้น”

“ท่านพี่ก็ทำในสิ่งตรงกันข้ามสิ ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเสียใหม่”

“หืม ?”

แค่ได้ยินคำว่า ‘ปรับเปลี่ยน’ เหนือภพก็สะดุ้งหลุดจากภวังค์ คิ้วทั้งคู่ของเหนือภพขมวดแน่นในทันใด ตั้งแต่ที่เขาเกิดมาจนถึงบัดนี้ยังไม่เคยมีใครสั่งให้เขาเปลี่ยนแปลงตัวเองมาก่อน

ตั้งแต่ที่เหนือภพจำความได้เขาก็ถูกเลี้ยงดูมาในฐานะบุตรชายผู้สืบตระกูล เขามีความอิสรเสรี ได้เที่ยวเล่น ได้เลือกคบหาเพื่อนฝูงตามใจ มีความสามารถมากกว่าคนในรุ่นเดียวกัน มีแต่คนชื่นชมเขา จวบจนกระทั่งเขาอยู่ในวัยกำลังซน เขาก็ใช้ชีวิตสนุกสนานจนมีคนร่ำลือว่าเขาเป็นเด็กเกเร แต่ก็ไม่เห็นว่าพ่อกับแม่จะกล่าวโทษอะไรเขา แม้ว่าหลังจากนั้นเขาและครอบครัวต้องประสบเหตุการณ์พลิกผันสูญเสียพ่อไป ทำให้จิตใจของเขาสั่นคลอน เลิกทำตัวไร้สาระกลับมาทำงานอย่างขยันขันแข็ง แต่นั่นก็ทำให้เขาก้าวขึ้นมาอยู่ในจุดที่เป็นเสาหลักของครอบครัว การตัดสินใจเลือกของเขาทุกอย่างนับเป็นสิทธิ์ขาดที่แม่และน้องสาวคัดค้านไม่ได้ ทำให้เขาเชื่อมั่นในการตัดสินใจและการกระทำของตัวเองมาโดยตลอด แม้ว่าหลังจากนั้นเขาก็ได้รับการอบรมสั่งสอนจากพระอาจารย์ แต่สมองของเขาก็ซึมซับคำสอนได้ไม่มากเท่าไหร่ คำว่า ‘รู้’ กับคำว่า ‘ปฏิบัติได้’ มันเป็นคนละเรื่องกัน

“ข้าเป็นแบบนี้ก็ดีอยู่แล้ว ดูอย่างศิษย์พี่ของข้าสิ พวกเขากลัวใครที่ไหน ใครพุ่งเข้ามาเราก็สวนกลับสิ”

“ท่านพี่ ท่านเลียนแบบพวกเขาเฉพาะตอนทำมาดขรึมสิคะ แบบนี้คนอื่นก็จะเดาความคิดของท่านยากแล้ว ส่วนเรื่องอารมณ์ร้อนน่ะท่านไม่ต้องทำเหมือนนักก็ได้”

“เอางั้นหรอ”

“ค่ะ”

พราวจันทร์พยักหน้า แล้วก็ยิ้มหวานให้กำลังใจ เหนือภพสูดหายใจเข้าลึก ๆ แล้วเก๊กหน้าขรึมทันที  ในใจของเหนือภพนั้นพยายามนึกหน้าของวัฏจักรเอาไว้ตลอดเวลา บางทีการเปลี่ยนแปลงตัวเองก็อาจจะไม่แย่นัก ถ้าหากเขามีท่าทางองอาจแบบศิษย์พี่

จากนั้นพวกเขาก็เดินจู๋จี๋กันไปตามเส้นทางเดินภายในเขตสำนักงานฮันเตอร์อย่างไม่อายใคร จนกระทั่ง บงกต ผู้ดำรงตำแหน่งหัวหน้าชั่วคราวของแผนกเฉพาะกิจปรากฏตัวขึ้น

“ช้าก่อน เหนือภพ”

เหนือภพถอนหายใจเฮือกใหญ่ ก่อนจะพูดกับบงกตอย่างเหนื่อยหน่าย

“นี่พวกท่านไม่หลับไม่นอนกับบ้างรึไง”

“ทีมของเจ้ามาพร้อมกันแล้ว พวกเขารอเจ้าอยู่ อย่าพูดมาก”

ตลอดทางเดินบงกตบอกเล่าคร่าว ๆ ให้เหนือภพฟังเกี่ยวกับเหตุการณ์สำคัญอันสืบเนื่องมาจากหมู่บ้านโอปะ เมื่อพวกเขาไปถึงห้องของหน่วยเฉพาะกิจ เหนือภพก็พบว่าสมาชิกคนอื่น ๆ ของหน่วยอยู่กันครบทุกคนแล้ว หนุ่ม ๆ มีท่าทีตื่นเต้นเมื่อได้เห็นพราวจันทร์ บางคนเกือบจะควบคุมอาการคลั่งไคล้สาวงามไม่ได้ บางคนที่มักจะทำตัวไร้มารยาทก็ดูมีมารยาทขึ้นมาอย่างไร้เหตุผล ในขณะที่สาว ๆ ในทีมมีท่าทีไม่ค่อยพอใจนักที่จู่ ๆ ก็มีดาวเด่นดวงใหม่ปรากฏตัวขึ้นมา

เหนือภพสบตาพราวจันทร์ แล้วเขาก็ยืดอกทำหน้านิ่ง เมื่อเขาและพราวจันทร์ไปนั่งที่เรียบร้อยแล้ว เขาก็ประมาณมือกันไว้บนโต๊ะ ท่าทางสบาย ๆ แต่แฝงไปด้วยความเท่

“เกิดเรื่องตั้งแต่เมื่อไหร่”

เหนือภพถามพลางพลิกดูเอกสารที่บงกตวางไว้กลางโต๊ะ มันเป็นข้อมูลเกี่ยวกับการหายตัวของผู้ไร้พรสวรรค์จำนวนมากในเมืองต่าง ๆ ของแคว้นอมตะ ส่วนใหญ่เป็นเด็กวัยรุ่นที่มีทั้งเด็กชายเด็กหญิง และจุดที่สามารถสืบค้นความเชื่อมโยงกันได้ก็คือ หากทำการค้นหาประวัติของเด็กชายหญิงเหล่านั้น ไล่เรียงเชื้อสายขึ้นไปหลาย ๆ รุ่น ก็จะพบว่าพวกเขาล้วนมีความเกี่ยวข้องทางสายเลือดไม่ทางใดก็ทางหนึ่งกับคนในหมู่บ้านโอปะ เหตุการณ์การหายตัวนี้เกิดขึ้นเรื่อย ๆ อาจดูเหมือนว่าไม่ใช่เรื่องร้ายแรง แต่หากนับจำนวนคนที่หายไปทั้งหมดในทุก ๆ เมืองรวมกันแล้วก็นับว่าน่าตกใจทีเดียว เบื้องบนจึงต้องการให้แผนกเฉพาะกิจช่วยกันสืบและขุดคุ้ยความจริงในเรื่องนี้

“พวกเรายังไม่รู้ว่ามันเกิดขึ้นเมื่อใด แต่พวกเราเพิ่งได้ยินข่าวเมื่อไม่กี่วันมานี้เอง ดังนั้นข้อมูลส่วนใหญ่ที่เรารู้และค้นพบจึงอยู่ในเอกสารเล่มนี้แล้ว และถ้าข้าจำไม่ผิดที่หมู่บ้านโอปะมีคนชื่อจิต นางเป็นหนึ่งในผลลัพธ์การทดลองอันไร้มนุษยธรรมนี้ ข้าอยากให้พวกเจ้าตามหาตัวนางให้พบ นางเป็นกุญแจสำคัญในการไขภารกิจในครั้งนี้ โดยข้าจะให้เหนือภพเป็นหัวหน้าทีมทำภารกิจนี้”

เหนือภพได้ฟังก็ยืดอกพยักหน้า เขาไม่รู้ว่าจิตหายไปไหน เพราะคนที่ช่วยเหลือเธอไว้คือสางลำไพร บางทีเขาคงต้องไปหาองค์หญิงบุษย์น้ำเพชร เพราะบุษย์น้ำเพชรคือคนที่ติดต่อให้สางลำไพรมาช่วยในภารกิจหมู่บ้านโอปะ เพื่อให้บุษย์น้ำเพชรช่วยติดต่อสางลำไพรให้อีกครั้ง

ส่วนสมาชิกในทีมทั้งหมดก็พยักหน้าอย่างไม่เห็นค้าน เพราะมีเพียงเหนือภพและทิวเท่านั้นที่เคยทำภารกิจที่หมู่บ้านโอปะ เหนือภพและทิวจึงเป็นคนที่รู้เรื่องทั้งหมดดีกว่าคนอื่น ๆ

“ข้าเข้าใจล่ะ เมื่อพบตัวนางข้าจะรายงานท่านทันที”

เหนือภพพูดจาว่าง่ายจนบงกตแปลกใจ แต่ในเมื่อเหนือภพไม่ต่อรองขอรางวัลและไม่ก่อปัญหาอะไรอีก บงกตก็วางใจ เขาเดินออกจากห้องไปทิ้งให้คนในแผนกได้พูดคุยกันเอง เขาลุกขึ้นยืนเด่นกลางห้อง ในฐานะที่เขาเป็นผู้นำในการปฏิบัติภารกิจนี้ เขาจึงพยายามสวมมาดเข้มอย่างสุดกำลัง

“ขอให้ทุกคนเตรียมพร้อมตลอดเวลา เมื่อข้าติดต่อกลับมาอีกครั้ง พวกเราจะออกเดินทางทันที”

เหนือภพพูดจบก็โอบไหล่พราวจันทร์ออกไปจากห้อง ท่ามกลางสายตาอิจฉาของเหล่าชายหนุ่มที่กำลังจ้องพราวจันทร์เป็นมัน

“ท่านพี่จะไปไหน”

พราวจันทร์ถามเมื่อเส้นทางที่เหนือภพเลือกเดินนั้น ไม่ใช่เส้นทางเดียวกับร้านขายน้ำผึ้งของพี่พล แต่มันเป็นเส้นทางที่ตัดตรงเข้าสู่เขตชั้นในของเมืองหลวงที่เป็นที่อยู่ของเหล่าขุนนาง คนชั้นสูงและเหล่าเชื้อพระวงศ์

“ข้าจะไปหาองค์หญิง” พราวจันทร์นิ่วหน้า เล็ก ๆ ก่อนจะพูดขึ้นว่า

“ให้ข้ากลับไปรอที่บ้านก็ได้ ท่านอาจจะมีธุระสำคัญ”

พราวจันทร์เริ่มงอนเล็ก ๆ แต่เหนือภพกลับไม่รู้แม้แต่น้อย เขาหันมาจ้องมองพราวจันทร์ด้วยแววตาจริงจัง เขายังคงมีความคิดเช่นเดิมคือให้เธออยู่ใกล้ตัวเขานั่นแหละปลอดภัยที่สุด ดังนั้นคำพูดที่หลุดออกจากปากเหนือภพนั้นมีเพียงแต่คำว่า

“ไม่”

พราวจันทร์ยิ้มน้อย ๆ แม้เธอจะเริ่มรู้สึกเคลือบแคลงใจเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างองค์หญิงกับสามีของเธอ แต่เมื่อเธอเห็นว่าสามีหึงหวงเธอเช่นนี้ โดยไม่คิดจะเปิดช่องว่างให้คนอื่นเข้าใกล้เธอแม้แต่น้อย ทำให้หัวใจดวงน้อยของเธอพองโต

พราวจันทร์ยิ้มหวาน พลางปฏิญาณในใจว่าต่อจากนี้ไปก็อย่าหวังว่าจะมีสตรีคนใดเข้าใกล้ท่านพี่ของเธอเช่นกัน

“ก็ได้ค่ะ ท่านพี่”

พราวจันทร์ที่กำลังเดินกอดแขนเหนือภพอยู่ เธอก็กระชับอ้อมแขนแน่นมากขึ้น

ณ บ้านฮันเตอร์เพชรการเวก

บ้านฮันเตอร์เพชรการเวกตั้งอยู่ในเขตชั้นในของตัวเมืองหลวง มีพื้นที่ทั้งหมดมากกว่า 1,000 ไร่ ภายในพื้นที่ของบ้านเพชรการเวกประกอบไปด้วยกิจการต่าง ๆ ในเครือของบ้านเพชรการเวก มีทั้งโรงยา สวนพืชผักสมุนไพร โรงฝึก สถานศึกษา และกิจการอื่น ๆ ที่เป็นของตัวเอง นับว่าบ้านฮันเตอร์ที่นี่ยิ่งใหญ่เป็นอันดับต้น ๆ ของบ้านฮันเตอร์ในแคว้นอมตะเลยทีเดียว

เหนือภพกับพราวจันทร์เดินผ่านประตูใหญ่ของบ้านเพชรการเวกเข้าไปอย่างง่ายดาย เพราะนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เหนือภพมาที่นี่ในยามวิกาล เจ้าหน้าที่ส่วนใหญ่ล้วนรู้จักเขาเป็นอย่างดี ดังนั้นพวกยามจึงไม่กังวลว่าจะเกิดเรื่องอะไร และพวกเขาก็รู้ระแคะระคายเรื่องที่องค์หญิงบุษย์น้ำเพชรให้ความสำคัญกับเหนือภพมากเป็นพิเศษด้วย ดังนั้นพวกเขาจึงปล่อยให้เหนือภพกับพราวจันทร์เดินเข้าไปเพียงลำพัง โดยไม่มีการควบคุมดูแล

เมื่อพวกเขาเดินเข้าไปภายใน เหนือภพก็อวดความรู้ของตัวเองเต็มที่ เขาทำตัวเป็นผู้นำทางมากประสบการณ์ที่คอยบอกเล่า และอธิบายรายละเอียดของกลุ่มอาคารต่าง ๆ ในนี้ให้พราวจันทร์ฟัง ทำให้พราวจันทร์ได้แต่ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่กับความกระตือรือร้นของสามีเธอ

จนกระทั่งเหนือภพพาพราวจันทร์เข้ามาถึงพื้นที่ส่วนใน ที่เต็มไปด้วยพันธุ์ไม้ยืนต้น ดอกไม้หายากมากมายล้วนสวยงามแม้แต่ในยามราตรีเช่นนี้ พวกมันก็ยังคงเผยความงามออกมา ดอกไม้บางชนิดเป็นดอกไม้ที่บานในยามราตรีเท่านั้น กลีบดอกเรืองแสงสะท้อนยามต้องแสงจันทร์ และแสงจากดวงแก้วอาคมที่ประดับประดาตามจุดต่าง ๆ เพื่อคอยส่องสว่าง

“เจ้าเป็นใคร !”

เสียงปริศนาดังมาจากเงามืดของพุ่มไม้สูงที่ตั้งตระหง่านเรียงตัวกันเป็นกำแพงยาว ขณะที่ร่างของผู้พูดค่อย ๆ ก้าวเดินออกมาจากเงามืดอย่างช้า ๆ ทำให้เหนือภพรีบดันพราวจันทร์ไปอยู่ด้านหลัง แววตาของเหนือภพก็แสดงถึงความไม่พอใจเช่นกัน เขาเข้าออกมาที่นี่มาหลายเดือน รู้จักฮันเตอร์ทุกคนไม่ว่าใหม่หรือเก่า แต่ชายวัยกลางคนเบื้องหน้ากลับไม่ใช่คนคุ้นตาของเขา

เหนือภพไม่พูดมาก เขาชักดาบแส้ออกมาจากฝัก ตวัดหนึ่งทีจากดาบเหล็กตรงก็กลายเป็นแส้ยาวระพื้น  แต่ก่อนที่เหนือภพจะทันลงมือ พราวจันทร์ก็ใช้มือเล็กเรียวของเธอคว้าต้นแขนของเหนือภพเอาไว้ได้เสียก่อน  ทำให้เหนือภพหยุดชะงัก หันกลับมามองสุดที่รักของตัวเอง

พราวจันทร์ส่ายหน้าเบา ๆ เธอเข้าใจว่าสามีของเธอกำลังอยู่ในขั้นตอนการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ซึ่งมันต้องค่อยเป็นค่อยไป เธอไม่อาจคาดหวังผลลัพธ์ในทันทีทันใด

จากนั้นเธอก็เดินออกมาข้างหน้า แล้วถามด้วยน้ำเสียงสงบนิ่ง

“แล้วท่านล่ะเป็นใคร”

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด