ตอนที่แล้วตอนที่ 139 ค่าชดเชยแสนแพง
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 141 ก็แค่สอบเลื่อนระดับแรงค์ D

ตอนที่ 140 วรรณตะ


เหนือภพถอนหายใจ เขาอยากบอกลาอีกสักหน่อยแต่อาจารย์และพวกศิษย์พี่รีบจากไปเสียก่อน ใช่ว่าเขาจะขออะไรเพิ่มเสียหน่อย เหนือภพคิดไปเรื่อยเปื่อยขณะเดินย้อนกลับมาในเมือง ทำทีเหมือนว่าเขาเพิ่งกลับมาจากการออกไปทำภารกิจกับแผนกเฉพาะกิจเมื่อหลายวันก่อน

“นี่แม่หมอ สรุปข้าจะมีแววได้ออกเรือนหรือไม่”

สาวใหญ่ร่างกายอ้วนตุ๊ต๊ะถามอย่างใจร้อน แม้เธอจะมีรูปร่างอวบกว่าหญิงสาวคนอื่นทั่วไป แต่เธอก็มีใบหน้าน่ารักน่าหยิก และบั้นท้ายอวบอัดน่าตี

“ได้สิ ไม่เพียงได้ออกเรือนนะ เจ้าจะได้ออกเรือนกับชายที่ร่ำรวย”

น้ำค้าง หนึ่งในสมาชิกแผนกเฉพาะกิจ มักจะมานั่งเปิดแผงรับดูดวงอยู่ตรงทางเข้าเมือง แน่นอนว่าเธอไม่ได้เก่งด้านดูดวงนัก เธอเน้นการคาดเดาและอาศัยความสามารถด้านการควบคุมฟ้าดินอีกเล็กน้อย เพื่อหาเงินจากคนต่างถิ่น

“จริงหรอคะแม่หมอ แล้วข้าจะเจอเขาที่ไหน”

“ก็เจอจากที่ทำงานของเจ้านั่นแหละ แต่ว่า… เอ๊ะ !” น้ำค้างตกใจเล็กน้อย เมื่อเห็นเหนือภพเดินผ่านแผงดูดวงของเธอไป

“แต่ว่าอะไรหรอคะ แม่หมอ”

น้ำค้างผลุนผลันลุกขึ้น แล้ววิ่งตามเหนือภพไปอย่างรวดเร็วโดยไม่สนใจลูกค้าต่างถิ่น

“เดี๋ยวสิแม่หมอ ท่านจะไปไหนนะ”

“เหนือภพ ! เหนือภพ !”

น้ำค้างตะโกนเรียกเหนือภพ จนเหนือภพที่กำลังคิดอะไรเพลิน ๆ อยู่หันขวับ ก่อนจะหรี่ตามองว่าใครกันที่กำลังเรียกเขา

“เป็นเจ้าเองหรอ”

“ก็ใช่น่ะสิ ข้าจะมาบอกว่าเจ้านายต้องการพบเจ้าด่วนที่สุด อ้อ อีกอย่างนะ”

น้ำค้างหันซ้ายหันขวา ก่อนขยับเข้าไปกระซิบบอกเรื่องราวที่พวกเขาโกหกบงกตให้เหนือภพฟัง เหนือภพจะได้สานต่อเรื่องราวได้อย่างไม่ติดขัด

เมื่อเหนือภพรับรู้ว่าหมาป่าเพลิงอสูรตัวนั้นตายแล้ว เขาก็ไม่แปลกใจเท่าใดนัก ก็ศิษย์ของอาจารย์อามีฝีมือร้ายกาจขนาดนั้น เขากล่าวขอบใจน้ำค้างแล้วก็รีบมุ่งหน้าไปที่สำนักงานฮันเตอร์ในทันที

ณ ภายในเขตป่าสินธุ

พระอาจารย์สิริจันโทที่เคลื่อนที่นำหน้าศิษย์คนโตและคนรองของตนอยู่ตลอดเวลา จู่ ๆ ก็หยุดชะงัก  หยุดยืนนิ่งไม่เคลื่อนไหว

“อาจารย์ มีอะไรหรือเปล่าครับ”

ทานธรรมถามพลางยั้งตัวเองไว้ ไม่ให้พุ่งชนอาจารย์ แต่พระอาจารย์สิริจันโทกลับส่ายหน้า

“ไม่มีอะไร พอดีข้ามีเรื่องต้องสะสางอีกนิดหน่อย”

“ต้องตอนนี้เลยหรออาจารย์ ให้ข้ากับน้องรองไปทำแทนดีกว่าหรือไม่ครับอาจารย์”

“ขอบใจ แต่ไม่เป็นไร พวกเจ้าสองคนล่วงหน้ากลับวัดไปกันก่อน ศิษย์น้องสี่รอพวกเจ้าอยู่นั่น ส่วนข้าจะตามไปทีหลัง”

“ครับอาจารย์”

ทั้งทานธรรมและวัฏจักรทำความเคารพอาจารย์ ก่อนจะเคลื่อนที่มุ่งหน้าลึกเข้าไปใจกลางป่าสินธุ ขณะที่พระอาจารย์สิริจันโทหันหลังกลับ

“โยม ตามมาตั้งนานแล้ว ไฉนยังไม่ออกมาอีก”

เพียงพริบตาหลังจากพระอาจารย์เอ่ยปาก ก็มีเส้นสายฟ้าสีเหลืองทองพุ่งเข้ามาหาพระอาจารย์ ก่อนจะผ่าเปรี้ยงลงเบื้องหน้าพระอาจารย์จนพื้นดินแตกกระจาย พร้อมกับปรากฏร่างของชายวัยกลางคน เขาคือผู้คุมกฎซ้ายของลัทธิดับสุริยัน

“ทำไมท่านถึงไม่ฆ่าอาตมาเสีย ทั้ง ๆ ที่โยมอยากจะทำมันเพื่อดับไฟแค้นในใจโยม”

พระอาจารย์พูดด้วยใบหน้าเรียบเฉย ส่วนผู้คุมกฎซ้ายก็มีใบหน้าเรียบเฉยเช่นกัน แต่แววตาของเขากลับอัดแน่นไปด้วยเพลิงแค้น

เวลาได้ล่วงผ่านมาสี่สิบปีแล้ว ในที่สุดวันที่เขาเฝ้ารอคอยมาตลอดก็มาถึง วันที่เขาจะได้แก้แค้นให้คนตระกูลเหนือกว่าร้อยชีวิต พวกเขาต้องตายไปอย่างไม่รู้อีโหน่อีเหน่ด้วยฝีมือของคนคนเดียว นั่นคือนักบวชคนนี้นี่เอง แม้ผู้คุมกฎซ้ายโกรธแค้นจนจิตใจแทบจะแหลกสลาย แต่เขาก็ทำร้ายนักบวชไม่ลง ยิ่งพอนึกถึงภาพบุตรชายตัวเองโอบกอดปีศาจร้ายภายใต้ผ้าเหลืองอย่างสนิทสนมเช่นนั้น เขาก็ยิ่งรู้สึกลังเล

“ข้าภาวนามาตลอด ว่าคนที่ไล่ล่าสังหารญาติพี่น้องและพ่อแม่ข้า จะไม่ใช่เจ้า”

เหนือปฐพีพูดด้วยความรู้สึกเจ็บปวด ขณะกระตุกเบี้ยแก้ที่แขวนอยู่บนคอของตัวเองออกมา เขาจ้องมองมันพลางหวนคิดถึงอดีตเมื่อสิบสองปีก่อน

ในวันนั้นวันที่เขายังคงทุ่มเทเวลาเพื่อขุดแร่อยู่ในเหมือง คนในครอบครัวของเขาและคนอื่น ๆ อาจรับรู้แค่ว่าเขากำลังพยายามหาแร่มีสีให้มากสักหน่อยเพื่อหาเงินเลี้ยงครอบครัวและส่งเสียงลูกเรียน แต่ความจริงแล้วนั่นไม่ใช่ความจริงทั้งหมด เขาแบกภาระที่จะแก้แค้นให้กับตระกูลเหนือมาตั้งแต่เขายังเด็ก ดังนั้นเขาจึงอยู่ที่หมู่บ้านแร่ห้าสีหลายสิบปี จนกระทั่งมีครอบครัวแล้ว เขาก็ยังไม่หยุดความปรารถนานั้น เขาต้องการตามหา เหล็กไหลราชันย์

จนกระทั่งเขาตกอยู่ในสถานการณ์เลวร้าย เมื่อเขาหลงเข้าไปในตำหนักเทพ แต่โชคดีที่เขาได้ชายปริศนาที่ชื่อ วรรณตะ ช่วยเหลือ

ย้อนกลับไปเมื่อ 12 ปีก่อน

“ขอบใจเจ้ามากวรรณตะ หากไม่ได้เจ้าข้าคงตายไปแล้ว นับตั้งแต่นี้ต่อไปเจ้าคือสหายของข้า เหนือปฐพี คนนี้”

เมื่อพูดจบหนุ่มใหญ่ร่างกำยำก็ยกมือตบอกตัวเองอย่างหนักแน่น วรรณตะได้ยินเช่นนั้นก็ยิ้ม ทั้ง ๆ ที่เขายังเอามือไพล่หลังกุมอาวุธเอาไว้แน่น

“เจ้ามาทำอะไรในที่ที่อันตรายแบบนี้ แล้วเจ้านั่นมันคืออะไรกัน”

วรรณตะถามขณะมองแท่งเหล็กแหลมที่มีกระแสไฟฟ้าสีเหลืองทองไหลเวียนอยู่เบื้องหน้า เหนือปฐพียิ้มกว้าง

“พี่ชายข้าจะไม่ปิดบังท่าน นี่คือราชันย์อัสนี เหล็กไหลระดับราชัน”

วรรณตะถึงกับตะลึงตาค้าง พูดไม่ออกไปพักใหญ่

บุคคลทั่วไปจะรับรู้ว่าเหล็กไหลราชันย์มีเพียงแค่สี่ประเภท แต่ความจริงแล้วเหล็กไหลระดับราชันย์มีมากกว่านั้น เพียงแค่ยังไม่มีคนค้นพบแและไม่เคยรู้จักมันก็เท่านั้น และตระกูลเหนือ ตระกูลใต้เป็นตระกูลนักขุดเหมืองมาตั้งแต่โบราณกาล พวกเขามีความรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับหินแร่มากที่สุดแล้ว แถมยังมีระบบการจำแนกประเภทหินแร่มากมายนับไม่ถ้วน ดังนั้นพวกเขาจึงมีองค์ความรู้เกี่ยวกับแร่และเหล็กไหลมากกว่าคนทั่วไปมาก

วรรณตะได้ยินเช่นนั้นก็พอเข้าใจอะไรบางอย่างลาง ๆ มือที่กุมอาวุธค่อย ๆ คลายลง เขาเองก็มีความเคลือบแคลงกับคำสั่งของอาจารย์ที่สั่งให้ไล่ล่าสังหารคนตระกูลเหนือมาโดยตลอด และตระกูลเหนือคนสุดท้ายก็อยู่เบื้องหน้าเขาแล้ว เขาอยากจะรู้อะไรมากกว่านี้

“ข้าเองก็เพิ่งจะเคยได้ยิน”

“แหงล่ะ ถ้าพี่ชายเคยได้ยินก็แปลกแล้ว นอกจากตระกูลเหนือของข้าและพวกดับสุริยันศัตรูข้าแล้ว เรื่องนี้นับเป็นความลับมาก”

เหนือปฐพีพูดไปก็ปฐมพยาบาลตัวเองไปด้วย

“ดับสุริยัน ใช่ลัทธิดับสุริยันหรือเปล่า หากข้าจำไม่ผิดพวกนั้นดูเหมือนจะให้ความสนใจกับคนไร้พรสวรรค์อย่างพวกเรานะ จะเป็นศัตรูของท่านได้ยังไง”

“หึ ให้ความสำคัญงั้นเหรอ”

เหนือปฐพีแค่นเสียงใส่อย่างดูแคลน จากนั้นก็เล่าต่ออย่างต้องการระบายความอัดอั้นในใจ

“พี่ชายไม่รู้อะไรซะแล้ว เพื่อจะได้ข้อมูลความรู้เกี่ยวกับหินแร่โลหะตามธรรมชาติ พวกเขาต่างก็อ้าแขนรับพวกเรา นับเราเป็นสมาชิกลัทธิ ตั้งพวกเราอยู่ในระดับที่สูงเลอค่า มีผู้คนสรรเสริญมากมาย แต่พอพวกมันได้รับสิ่งที่ต้องการและอยากจะเก็บความลับนั้นเอาไว้เพียงผู้เดียว พวกมันก็ส่งคนมาล่าสังหารพวกข้า ข้าต้องบ้านแตกสาแหรกขาด ต้องมองดูคนที่รัก คนใกล้ชิดทั้งหมู่บ้านตกตายไปตามกัน ข้าในตอนเด็กไร้ความสามารถ ได้แต่หนีเอาชีวิตรอด จนได้มีโอกาสเติบใหญ่มาจนบัดนี้”

วรรณตะถึงกับตะลึงพรึงเพริด เมื่อได้ยินคำบอกเล่าออกจากปากของเหนือปฐพี แววตาของเหนือปฐพีที่เต็มไปด้วยความแค้นนั้นคือของจริง ทำให้วรรณตะปล่อยมือที่กุมอาวุธ ทิ้งตัวทรุดลงบนพื้น เรื่องนี้ช่างเป็นความจริงที่น่าตกใจ

“เลวร้าย” วรรณตะพูดอะไรไม่ออกนอกจากสองคำนี้ ทำให้เหนือภพปฐพียิ้มออกมา

“ข้าขอขอบใจพี่ชายอีกครั้ง หากวันใดที่ข้าแก้แค้นสำเร็จ ข้าจะกลับมาตอบแทนพี่ชาย”

เหนือปฐพีพูดจบก็คว้าเหล็กไหลราชันย์อัสนีแทงเข้าไปในท้องน้อยของตัวเอง จากนั้นก็มีเสียงกรีดร้องดังก้องเหมืองลึกของผู้ชายที่เจ็บปวดอย่างถึงที่สุด บรรยากาศรอบข้างก็เปลี่ยนไปเช่นกัน ก่อเกิดเสียงดังเปรี้ยงราวกับฟ้าผ่าในเวลาต่อมา ความรุนแรงนั้นทำให้ทั้งเหมืองสั่นคลอน สัตว์อสูรที่ซ่อนตัวอยู่ภายในเหมืองก็เริ่มบ้าคลั่งและออกมาจากที่ซ่อนทำร้ายผู้คนไปทั่ว และนั่นก็เป็นครั้งสุดท้ายที่เหนือปฐพีเห็นวรรณตะ

เหนือปฐพีฟื้นคืนสติขึ้นมาอีกครั้ง ก็พบว่าทุกอย่างผ่านพ้นไปเนิ่นนานหลายเดือนแล้ว และในตอนนี้เขาก็มาอยู่ภายในห้องของศิษย์ลัทธิดับสุริยัน พร้อมกับสร้อยเบี้ยแก้ที่ใช้เป็นสัญลักษณ์การสืบทอดและกระดาษข้อความที่บอกทุกอย่างว่าที่นี่คือที่ไหน เพราะอะไรเขาถึงมาอยู่ที่นี่ได้ บอกทุกเรื่องราวที่วรรณตะทำเพื่อเขา  นำเขามายังที่อยู่ของศัตรูเพื่อให้เขาได้แก้แค้น และวรรณตะได้ตัดมือขวาของเขาออกเพื่อสร้างหลักฐานว่าเขาได้ตายไปแล้ว ทุกคนจะได้คิดว่าเขาตายดับไปแล้วจริง ๆ

“แต่สุดท้ายก็เป็นเจ้าจนได้ แม้เวลาจะผ่านมาเนิ่นนานเพียงนี้ แต่ข้าก็ยังทำใจไม่ได้”

เหนือปฐพีมองมือขวาของตัวเองที่สวมใส่ถุงมือหนังสีดำไว้ ก่อนจะถอดมันออกมา เผยให้เห็นแขนกลโลหะที่มีประกายสายฟ้าสีทองไหลเวียนอยู่

“เจ้าดีต่อข้าจริง ๆ ตัดสินใจแทนข้าทุกอย่าง”

แม้ใบหน้าของเหนือปฐพีจะดูเรียบเฉย เหมือนไม่คิดอะไร แต่น้ำเสียงของเขากลับแฝงแววประชดประชันอย่างเต็มขั้น

วรรณตะ ซึ่งปัจจุบันคือพระอาจารย์สิริจันโท พอนึกถึงเหตุการณ์ในตอนนั้นเขาก็รู้สึกว่าเขามันบ้าจริง ๆ  แล้วเขาก็หลับตาลง

“ตอนนั้นอาตมาก็แค่อยากทำอะไรสักอย่างเพื่อชดเชยให้โยม หากโยมไม่ต้องการจริง ๆ โยมก็ควรจะกลับมา แต่โยมก็ยังเลือกทอดทิ้งลูกเมียเพื่อคำว่าแก้แค้นอยู่ดี อาตมาจึงไม่เคยเสียใจที่ทำแบบนั้น และไม่เคยเสียใจด้วยว่าสักวันโยมต้องรู้ว่ามือสังหารที่พยายามตามล่ามาตลอดคืออาตมาเอง อาตมาพร้อมรับกรรมแล้ว  อาตมาขอขมากรรม และอาตมาก็ขออโหสิกรรมให้ท่าน อย่าได้ผูกเวรผูกกรรมกันต่อไปในภายภาคหน้าเลย”

เหนือปฐพีเงื้อแขนขึ้นเตรียมจะลงทัณฑ์นักบวชตรงหน้า ทว่าจิตใจเขากลับลังเล

“ข้าเห็นแก่ลูกชายข้า และเห็นแก่เจ้าที่มีบุญคุณเลี้ยงดูและฝึกฝน จนเขามีทุกวันนี้ อีกสิบวันข้าจะกลับมาเอาชีวิตเจ้า เจ้าเตรียมตัวให้ดี ข้าจะให้โอกาสเจ้าครั้งสุดท้าย”

เหนือปฐพีพูดจบก็เหวี่ยงสร้อยเบี้ยแก้ไปทางพระอาจารย์สิริจันโท เพื่อสื่อว่าสร้อยเส้นนั้นเป็นจุดเริ่มต้นและก็ถือเป็นจุดสิ้นสุดด้วยเช่นกัน มันคือการสะบั้นความสัมพันธ์ที่มีในอดีตจนหมดสิ้น

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด