ตอนที่แล้วตอนที่ 3 หัวเด็ดตีนขาดอย่างไร! ข้าก็จะมิยอมอาศัยในกระท่อมฟางโสมมแห่งนี้!!!
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 5 วิญญาณภูตรัตติกาลในตำนาน

ตอนที่ 4 - พบกลยุทธ์เด็ด!... แต่กลับขาดๆ เกินๆ


ตอนที่ 4 - พบกลยุทธ์เด็ด!... แต่กลับขาดๆ เกินๆ

ถึงกระนั้นหลิงเฟิงจือก็ยังคงปฏิบัติต่อฉีหวนในฐานะอาจารย์ป้าผู้อาวุโสด้วยความเคารพ แม้ว่าเธอจะไม่มีประสบการณ์ในการฝึกบ่มเพาะพลัง เขาก็ไม่เคยกล่าวดูถูกหรือต่อว่าสักครั้ง ทั้งยังพยายามสอนคัมภีร์พื้นฐานทั้งหมดของลัทธิให้ฉีหวนด้วยความหวังดี

กล่าวโดยทั่วไปแล้ว ไม่เคยมีศิษย์ใหม่ตนใดได้ศึกษาคัมภีร์ที่มีวรรณะสูงถึงเพียงนี้ แต่เนื่องจากชนชั้นของซูกงจือในนิกายชิงหยุนนั้นช่างสูงส่ง ในฐานะศิษย์ ฉีหวนจึงได้รับคัมภีร์บ่มเพาะพลังขั้นสูง ซึ่งนับว่าเธอเป็นผู้โชคดียิ่งนัก

   แต่หลังจากที่ฉีหวนได้รับคัมภีร์มาครอบครอง เธอกลับรู้สึกไม่มีความสุข ทั้งยังเอาแต่ร่างเขียนสาปแช่งหลิงเฟิงจือ พร้อมกับภาวนาให้หลุดพ้นจากเขาเสียที เธอไม่เคยเข้าใจสิ่งที่เขากล่าวสอนสักคำ ไม่ว่าจะเป็นตัวอักษรโบราณ หรือภาพวาด แม้ว่าฉีหวนจะพยายามจำตัวอักษรพวกนั้น แต่สุดท้ายก็จำได้แค่ตราประทับขนาดใหญ่กับอักขระเพียงบางตัว ด้วยเหตุนี้เธอจึงลองเปลี่ยนมาศึกษาตำราเทพพยากรณ์ แต่พอได้เห็นเนื้อหา เธอก็ทำได้แค่เดาภาพวาดในตำรา เนื่องจากตัวอักขระนั้นขยุกขยิกไปมา จนไม่สามารถเดาคำอ่านได้ 'นี่มันจะมากไปแล้วนะ! นายแกล้งฉัน เพราะคิดว่าฉันไม่รู้ตัวหนังสือพวกนี้งั้นเหรอ?! หึ! ใช่!...  นายคิดถูก! โว้ย โมโหชะมัด!!'

   เหนือไปกว่านั้นคือ หลิงเฟิงจือหยิบคัมภีร์ที่เปล่งประกายสีม่วงอมทองระยิบระยับขนาดเล็กออกมา ซึ่งภายในคัมภีร์มีเพียงสองถึงสามหน้ากระดาษ ถึงแม้ว่าฉีหวนจะไม่ทราบถึงประโยชน์ของคัมภีร์นี้ แต่เธอก็พอรู้อยู่บ้างว่านั่นต้องเป็นหนึ่งในสมบัติหายากแน่นอน

   เพียงชั่วครู่หลิงเฟิงจือได้กล่าวอธิบายว่า คัมภีร์เล่มนี้เป็นขุมทรัพย์ของนิกายชิงหยุน เขานำคัมภีร์ออกมาเพื่อให้ฉีหวนได้ชมเพียงเท่านั้น

ฉีหวนเปิดดูหน้าแรกด้วยความตื่นเต้น แต่แล้วเธอก็ประจักษ์ว่า  เพราะเหตุใดหลิวเฟิงจือถึงนำคัมภีร์นี้ออกมาให้ชมเท่านั้น เพราะในคัมภีร์ไม่มีแม้แต่ภาพวาดหรือตัวอักขระสักตัว ฉีหวนเห็นเพียงกระดาษว่างเปล่า เธอพยายามจ้องจนตาแทบถลน แต่สุดท้ายก็ไม่เห็นสิ่งใด

   แม้แต่ท่านอาจารย์ซูกงจือที่มีวิชาเก่งกาจ ยังสามารถอ่านคัมภีร์ได้เพียงครึ่งหน้า นับประสาอะไรกับฉีหวน ศิษย์ที่เพิ่งเข้าฝึกยังไม่ถึงวัน...

   ท้ายที่สุดฉีหวนก็สามารถศึกษาคัมภีร์ของสำนักชิงหยุนจนเสร็จ ถึงกระนั้นเธอก็ยังคงกล่าวสาปแช่งหลิงเฟิงจือในใจอยู่ตลอดเวลา ท่ามกลางบรรยากาศอึมครึม ฉีหวนพยายามข่มความโกรธเพื่อคัดเลือกคัมภีร์ที่เหมาะกับเธอที่สุด และสุดท้ายคัมภีร์ที่ฉีหวนเลือกนั้นมีนามว่า 'เหนือมนุษย์' ซึ่งเป็นตำราที่บางจนแทบมองเกือบไม่เห็น...

  หยุด! อย่าแม้แต่จะคิดว่าฉีหวนรู้วิธีการเลือกคัมภีร์ที่เหมาะสมกับเธอ เพราะแท้จริงแล้ว... ฉีหวนอ่านชื่อคัมภีร์ทุกตัวอักษรได้เพียงเล่มนี้เล่มเดียวต่างหาก และอีกนัยหนึ่งคือคัมภีร์เล่มนี้ดูบางที่สุด...

   หากกล่าวถึงการบ่มเพาะวิชา ฉีหวนมิได้โลภ หรือปรารถนาที่จะเป็นเซียนที่เก่งกาจ เธอเพียงหวังว่าตนเองจะมีชีวิตอยู่ได้นานขึ้น มีร่างกายที่แข็งแกร่งมากขึ้น และสามารถเหาะเหินเดินอากาศบนนภาได้อย่างใจหวังเพียงเท่านั้น

   หลิงเฟิงจือเห็นฉีหวนเลือกคัมภีร์เล่มนั้นจึงรู้สึกฉงนใจเล็กน้อย เขาลังเลที่จะกล่าวบางอย่างออกไป แต่สุดท้ายเมื่อไตร่ตรองดูแล้ว เขาก็ตระหนักว่ามิกล่าวอันใดออกไปคงดีกว่า

สิ่งที่ผู้ฝึกบ่มเพาะพลังเชื่อมั่นมากที่สุด คือ โชคชะตา หลิงเฟิงจือตระหนักว่าคัมภีร์ที่ฉีหวนเลือกนั้นก็เป็นหนึ่งในโชคชะตาเช่นกัน เพราะเขาพยายามส่งคัมภีร์ที่เป็นกลยุทธ์พื้นฐานมากมายให้ฉีหวน แต่ทว่าเธอก็ยังคงเลือกเล่มนั้น หลิงเฟิงจือกล่าวได้เพียงว่า นี่เป็นชะตากรรมที่ถูกลิขิตไว้!

   ไม่ใช่ว่าคัมภีร์นี้เลวร้าย หรือว่าฝึกยาก ในทางกลับกันคัมภีร์นี้มีประวัติศาสตร์อันเกรียงไกรและช้านานนับหลายทศวรรษ ในอดีตกาล ณ พิภพเทพอมตะเกิดสงครามนองเลือดระหว่างสำนักเพียงเพราะคัมภีร์เล่มนี้ แต่ท้ายที่สุดผู้ที่พยายามฉกฉวยเอาคัมภีร์ไปครอบครองก็ถูกสังหารในสงครามจนเหลือเพียงมนุษย์สามตน...

   พวกเขาทั้งสามแยกคัมภีร์ออกเป็นสามส่วน และนำมาแบ่งกันคนละส่วน โดยให้เหตุผลว่า พวกเขาไม่สามารถบรรลุกลยุทธ์ของคัมภีร์นี้ได้ ดังนั้นก็อย่าหวังว่าใครหน้าไหนจะได้มันไปครอบครอง หึ! ไม่มีทาง!

   อาจารย์ผู้อาวุโสของซูกงจือคือหนึ่งในสามคนนั้น จึงกล่าวได้ว่าบรรพบุรุษผู้อาวุโสของฉีหวนคือผู้เปลี่ยนชื่อคัมภีร์เป็น 'เหนือมนุษย์' เนื้อหาส่วนนี้ของคัมภีร์เป็นวิชาฝึกบำเพ็ญเพียรพลังลมปราณระดับมนุษย์ ซึ่งมีวิชาเพียงขั้นกำเนิดลมปราณ (เลี่ยนชี่) ขั้นนักรบลมปราณ (จูจี้) และขั้นขุนพลลมปราณ (หนิงม่าย) เท่านั้น ส่วนเหล่าวิชาตั้งแต่ขั้นจอมทัพลมปราณ (จินตาน) เป็นต้นไป อยู่ในอีกสองส่วนที่ถูกแยกออกจากกัน

   ในเวลาต่อมามีมนุษย์ผู้หนึ่งเพียรพยายามฝึกวิชาคัมภีร์ 'เหนือมนุษย์' อย่างหนัก จนสามารถผ่านไปถึงขั้นจอมทัพลมปราณ (จินตาน) ได้อย่างรวดเร็ว แต่แล้วเขาก็ประสบปัญหา เนื่องจากในคัมภีร์ไม่มีกลยุทธ์ขั้นจอมทัพลมปราณ เขาจึงลองใช้กลยุทธ์จากคัมภีร์เล่มอื่นมาทดแทน แต่สุดท้ายก็พบว่าไม่มีกลยุทธ์จากคัมภีร์เล่มไหนสามารถปรับเข้ากับพลังลมปราณของเขาได้

   ชายผู้นั้นหมดสิ้นหนทาง เขาจึงต้องหยุดบ่มเพาะพลัง และเริ่มใหม่อีกครั้งโดยการศึกษาคัมภีร์เล่มอื่น ด้วยเหตุนี้ทำให้คัมภีร์เหนือมนุษย์ที่ควรจะเป็นคัมภีร์หลักของเหล่าตระกูลเทพ กลายเป็นคัมภีร์ไร้ประโยชน์ที่ถูกปล่อยปละละเลยอย่างไม่ไยดี...

   ซึ่งเหตุผลที่หลิงเฟิงจือไม่คัดค้านฉีหวน ก็เพราะเขาคาดว่าเธอคงฝึกไปได้ไม่ถึงไหน หรือบางทีอาจแก่ชราก่อนถึงขั้นจอมทัพลมปราณเสียด้วยซ้ำ เว้นแต่ว่าระหว่างทาง ฉีหวนได้พบเข้ากับปรมาจารย์ระดับมหายานผู้มีจิตเมตตาส่งมอบพลังลมปราณให้เธอ หรือไม่ก็ต้องมีเม็ดยาโอสถเสริมสร้างแก่นแท้ลมปราณร่วงลงจากท้องนภาเพื่อให้เธอพอมีกำลังมากขึ้น แต่ถึงกระนั้นก็ต้องมาถึงวันที่เธอสิ้นพลังโดยยังมิได้บรรลุขั้นราชันลมปราณอยู่ดี

   ดังนั้นหลิงเฟิงจือจึงตัดสินใจไม่เล่าเรื่องคัมภีร์เหนือมนุษย์ให้ฉีหวนฟังแม้แต่น้อย เพราะเขาต้องการให้ฉีหวนบรรลุวิชาตั้งแต่ขั้นเริ่มต้นจนถึงขั้นขุนพลลมปราณด้วยตนเอง ถ้าหากเธอทำสำเร็จ การใช้ชีวิตอีกสี่ถึงห้าร้อยปีเพื่อปรุงเม็ดยาโอสถก็นับว่าเป็นเรื่องง่ายนัก แต่ถ้าหากไม่สำเร็จ... อย่างน้อยความสามารถในการป้องกันตัวของฉีหวนก็จะแกร่งกล้ามากขึ้น

   ทั้งหลิงเฟิงจือยังคาดการณ์ไว้อีกว่า ตราบใดที่ลัทธิชิงหยุนยังตั้งตระหง่านอยู่ที่นี่ ฉีหวนไม่มีทางจะได้รับอันตรายแน่ และทันทีที่สามารถไปถึงขั้นเนรมิตเม็ดยาโอสถ เธอก็จะสามารถกลับมาท่องทั่วพิภพได้อย่างอิสระอีกครั้ง สิ่งที่หลิงเฟิงจือตระหนักไว้ข้างต้น มิใช่ว่าเขาคิดดูแคลนฉีหวน แต่เป็นเพราะบุคลิกของเธอสื่อให้เห็นว่าคงไม่สามารถอยู่นิ่งได้นาน หรือบำเพ็ญเพียรอย่างหนักในถ้ำตัวคนเดียวได้

   หรือมิเช่นนั้นถ้าหากเธอสามารถศึกษาปรุงเม็ดยาโอสถได้สำเร็จ เขาก็จะปล่อยเธอลงบรรพตไปเก็บเกี่ยวประสบการณ์... หลิงเฟิงจือมิได้หวังว่าฉีหวนจะต้องลงไปช่วยเหลือมวลมนุษย์ แต่เขาหวังเพียงว่าเธอจะไม่นำหายนะอันแสนวุ่นวายมายังยอดบรรพตแห่งนี้ก็พอแล้ว...

ในขณะที่นึกถึงเรื่องนั้น หลิงเฟิงจือก็อดไม่ได้ที่จะปาดเหงื่ออันเย็นเฉียบออกจากหน้าผาก ถูกต้องแล้ว! เขาไม่ควรประมาทมนุษย์ป้าท่านนี้! ครั้งที่หลิงเฟิงจือปีนขึ้นไปยังยอดเขาชิงหยุนเพื่อต้องการพบอาจารย์ซูงกงจือครั้งแรก อาจารย์ผู้อาวุโสท่านอื่นต่างกล่าวเป็นเสียงเดียวกันว่า เขาเป็นศิษย์ใหม่ที่เก่งกล้า อวดดีและไม่เกรงกลัวต่ออุปสรรคใดทั้งสิ้น ดังสุภาษิต 'ลูกวัวเกิดใหม่ไม่กลัวเสือ' แต่ถึงกระนั้นก็ถือว่าเขายังไม่อาจหาญเท่านางฉีหวน ผู้ที่กล้าดึงรากเหง้าจิตวิญญาณและยั่วยุอาจารย์ผู้อาวุโสบนเนินเขาสูง... -

หากท่านอาจารย์ปู่ผู้อาวุโสซูกงจือทราบว่าต้นแมกโนเลียที่ท่านเฝ้าปลูกอย่างทะนุถนอมมาหลายหมื่นปีถูกฉีหวนใช้เคียวตัดทิ้งภายในเวลาไม่ถึงเสี้ยววิ ด้วยเหตุผลเพียงเพราะเธอเห็นว่ามันสง่างามเท่านั้น หลิงเฟิงจือมิอยากคิดว่าท่านจะกริ้วโกรธจนแทบกระอักเลือดหรือไม่?

   หลิงเฟิงจือเชื่อว่ามีเพียงฉีหวนนางเดียวเท่านั้นที่มีตรรกะวิปลาสจนกระทำเรื่องเช่นนี้ได้ วัยวุฒิพลังลมปราณของเธอเริ่มสูงส่งจนสามารถรัดคอนักพรต และเหล่าผู้อาวุโสจนถึงแก่ความตาย ผู้อาวุโสบางตนยังคงเหาะเหินบนท้องนภาราวกับกำลังหนีอะไรบางอย่าง ส่วนเหล่าผู้อาวุโสบรรพบุรุษต่างถอยกลับลงเขาอย่างเร่งรีบ ท้ายที่สุดบนเนินเขาแห่งนี้ก็เหลือเพียงหลิงเฟิงจือ และฉีหวน ผู้อาวุโสที่ใหญ่ที่สุด บัดนี้ไม่มีผู้ใดกล้าเหิมเกริมกับนางฉีหวนแน่นอน 'สิ่งที่ข้าคาดการณ์มโนนึกขึ้นมาอาจเป็นจริงในภายภาคหน้าก็ได้ ผู้ใดจะรู้'

ณ บัดนี้หลิงเฟิงจือปลาบปลื้มกับการมองการณ์ไกลของตนเองยิ่งนัก หลังจากที่ฉีหวนย้ายไปยังตำหนักของเขา หลิงเฟิงจือจึงเก็บสมบัติทุกชิ้นใส่หีบสัมภาระโดยไม่ให้เหลือแม้แต่เส้นผม ด้วยเหตุนี้ทำให้ฉีหวนรู้สึกไม่พอใจเท่าไหร่นัก

   หลิงเฟิงจือยื่นคัมภีร์ให้ฉีหวน ถึงกระนั้นเธอก็มิได้เร่งให้เขาออกไปจากตำหนักทันที เนื่องจากเธอยังไม่สามารถศึกษาคัมภีร์ให้เข้าใจด้วยตนเองได้ ในทางกลับกัน ช่างเป็นเรื่องตลกสิ้นดี เพราะถ้าหากเหล่าอักขระในคัมภีร์พูดได้ ป่านนี้ก็คงกล่าวว่า มันรู้สึกคุ้นเคยกับฉีหวนยิ่งนัก แต่ฉีหวนกลับไม่คุ้นชินกับมันเสียที

   ท้ายที่สุดหลิงเฟิงจือก็ต้องนั่งอธิบายเนื้อหาตั้งแต่วิชาขั้นกำเนิดลมปราณพื้นฐานจนไปถึงวิธีกักขังพลังชี่เข้าสู่ร่างกายให้ฉีหวนฟังทีละคำ...

   ทั้งสองถกเถียงกันตั้งบ่ายจนถึงเย็น ในที่สุดฉีหวนก็เข้าใจวิชาขั้นกำเนิดลมปราณและวิธีการกักขังพลังชี่เข้าร่างกายเสียที เมื่อไม่นานมานี้หลิงเฟิงจือรู้สึกหวาดกลัว และยำเกรงสายตาของฉีหวนมายิ่งนัก แต่บัดนี้เขาตระหนักแล้วว่านางช่างเป็นผู้โง่เขลาเบาปัญญา โง่สะเทือนฟ้าสะท้านแผ่นดิน โง่แบบไม่มีบันยะบันยัง...

   แม้ว่าอักขระจะมีไม่ถึงหนึ่งพันคำ แต่ฉีหวนก็ยังงุนงง และพยายามให้เขาอธิบายทุกอย่างใหม่ทีละยี่สิบรอบ แต่หารู้ไม่ว่าอันที่จริงฉีหวนเข้าใจทุกอย่างตั้งแต่คำอธิบายรอบที่ห้าแล้ว แต่ทว่าเธอเพียงอยากเห็นปฏิกิริยาหมดความอดทน และคับแค้นใจของเขาเผื่ออารมณ์ที่ขุ่นมัวยามเช้าจะบรรเทาลงบ้าง

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด