ตอนที่แล้วบทที่ 62 เรียกมาคุย
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 64 ความคิดของถงเล่ย

บทที่ 63 การชักชวนของถงเล่ย


บทที่ 63 การชักชวนของถงเล่ย

ยิ่งจี้เฟิงเรียนรู้เกี่ยวกับวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของกาแล็กซีแกมมามากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งรู้สึกได้ว่าระบบการศึกษาของประเทศเขานั้น ยังไม่ดีมากพอหากต้องพูดถึงนักเรียนที่ผลการเรียนดีกับนักเรียนที่เก่งแต่ผลการเรียนไม่ดี และในบรรดาสิบคน จะต้องมีเก้าคนที่ชอบนักเรียนที่ผลการเรียนดีและเกลียดนักเรียนที่ผลการเรียนไม่ดี

อย่างไรก็ตามหลังจากเวลาผ่านไปแปดถึงสิบปี เราจะพบได้ว่านักเรียนที่มีผลการเรียนดีอย่างเดียวมักจะทำงานให้กับนักเรียนที่เก่งแต่ผลการเรียนไม่ดี

แต่ต่อให้รู้ว่ามันจะเป็นเช่นนี้นักเรียนทุกคนก็ยังคงต้องทำผลการเรียนออกมาให้ดีที่สุด เพราะภายใต้ระบบการศึกษาที่เน้นใช้ผลสอบเป็นตัวชี้วัดทุกสิ่งทุกอย่างรวมถึงการเข้ามหาวิทยาลัย ผลการเรียนที่ดีจึงเป็นทุกอย่างสำหรับเด็กนักเรียน

แน่นอนว่ามีเด็กที่เก่งและผลการเรียนดีเด็กบางคนรู้จักผสมผสานให้เกิดความเหมาะสม แต่ถ้าหากมองย้อนกลับไปในช่วงที่ต้องใช้เวลาในการพัฒนาความรู้ที่จะมีประโยชน์จริงๆ พวกเขากลับต้องเสียเวลาและพลังงานไปกับการศึกษาในสิ่งที่แทบไม่ได้ใช้ประโยชน์อะไรเลยในอนาคต

จี้เฟิงไม่ได้ต่อต้านการเรียนรู้และแน่นอนว่าหากเขาไม่ได้เรียนรู้พื้นฐานทุกๆอย่างจากระบบการศึกษามาก่อน มันจะเป็นไปไม่ได้เลยที่เขาจะสามารถเรียนรู้เกี่ยวกับเครื่องจักรกลและอาวุธของกาแล็กซีแกมมา

อย่างไรก็ตามแม้ว่าการเรียนตามระบบการศึกษาจะสำคัญ แต่คุณไม่สามารถเลือกเรียนได้ตามที่ต้องการนี่เป็นเพียงมุมมองของจี้เฟิงเท่านั้น

ดังนั้นเขาจึงไม่ต้องการอธิบายอะไรกับถงเล่ยเพราะในความคิดของเขา ถงเล่ยเป็นนักเรียนที่ดีและมีผลการเรียนที่ดีมาก เธอไม่อาจเข้าใจความคิดในมุมนี้ของเขาและอาจจะพูดเพื่อให้เขาเปลี่ยนมุมมองความคิด

เขาทำได้แต่คิดเรื่องเหล่านี้ในใจจากนั้นเขาก็ยิ้มพร้อมกับส่ายหัวแล้วพูดว่า “ถงเล่ย เธอต้องการจะบอกอะไรกับฉัน?”

ใบหน้าของถงเล่ยที่สวยงามแสดงออกถึงความสงบนิ่ง หลังจากที่เธอคิดอยู่พักหนึ่ง เธอก็พูดด้วยเสียงแผ่วเบาว่า “จี้เฟิงนายช่วยพูดกับฉันตามตรงได้ไหมว่าเป็นเพราะฉันหรือเปล่า ที่ทำให้ผลการทดสอบของนายออกมาได้ไม่ดีเท่าที่ควร?”

จี้เฟิงตกใจและตระหนักได้ในทันทีไม่น่าแปลกใจเลยถ้าถงเล่ยจะรู้สึกผิดต่อเขา แต่เขาก็ไม่ทันได้คาดคิดเลยว่าที่ถงเล่ยเรียกเขามาคุยในวันนี้เป็นเพราะเรื่องนี้

ดูเหมือนว่าถงเล่ยจะคิดว่าที่ผลการทดสอบของจี้เฟิงแย่ลง นั่นเป็นเพราะเธอปฏิเสธความสัมพันธ์ที่มากกว่าเพื่อนระหว่างเธอและจี้เฟิง จนทำให้จี้เฟิงยอมแพ้และท้อต่อการเรียน เพราะเหตุนี้เองถงเล่ยจึงรู้สึกผิดและทนดูจี้เฟิงยอมแพ้เรื่องเรียนไปแบบนี้ไม่ได้นี่คือเหตุผลที่เธอเรียกจี้เฟิงมาคุยในวันนี้

เมื่อเห็นว่าจี้เฟิงไม่ได้ตอบอะไรถงเล่ยเลยคิดว่าเธอเดาถูก เธอจึงอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจและพูดว่า “จี้เฟิงถ้ามันเป็นเพราะคำพูดหรือการกระทำบางอย่างของฉัน ที่ทำให้นายเข้าใจผิดจนทำให้นายไม่สบายใจ จนไม่สามารถตั้งสมาธิกับการเรียนได้ ฉันต้องขอโทษจริงๆมันเป็นความผิดของฉันเอง แต่...”

จู่ๆถงเล่ยก็ชะงักไปเธออยากจะพูดกับเขาไปตรงๆเลยว่า “ฉันไม่ได้รู้สึกอะไรกับนาย ดังนั้นเลิกคิดเรื่องนี้แล้วเอาเวลาไปตั้งใจเรียนด้วยความสบายใจดีกว่า…” ถงเล่ยกังวลว่าถ้าเธอพูดแบบนี้จริงๆ เธอกลัวว่าแทนที่จะโน้มน้าวใจให้เขากลับมาตั้งใจเรียนได้ มันอาจได้ผลตรงกันข้ามและเขาอาจจะอยากเอาชนะใจเธอให้ได้มากกว่าเดิม

“แต่อะไรหรอ?”  จี้เฟิงถามและจ้องมองไปที่ดวงตาที่สวยงามของถงเล่ย ถึงแม้ในเวลานี้เขาจะรู้สึกอึดอัดใจเล็กน้อย แต่พอเห็นถงเล่ยที่ปกติจะมีความมั่นใจเสมอกำลังกระอักกระอ่วน เขาก็รู้สึกอยากแกล้งขึ้นมาจึงเอ่ยปากถาม

“แต่ แต่ ...” ถงเล่ยย่นคิ้วและครุ่นคิดในสิ่งที่เธอจะพูด “ถึงนายจะไม่ได้ขยันเรียนมากนัก แต่นายเป็นคนฉลาดและความจำดีมากถ้านายลองใช้เวลาทำความเข้าใจและตั้งใจเรียนเพิ่มอีกซักหน่อย ผลทดสอบของนายจะต้องดีกว่าในตอนนี้อย่างแน่นอน!”

จี้เฟิงแอบยิ้มในใจแต่ภายนอกเขากลับส่ายหัวตีหน้าเศร้าเล็กน้อย “จริงๆฉันเรียนหนักมากและถึงแม้ฉันจะมีความจำที่ดี แต่ความรู้ที่ได้เรียนมาฉันก็ไม่สามารถทำความเข้าใจมันได้เลย ผลเลยออกมาเป็นแบบนี้!”

“นาย...” ถงเล่ยมองเขาด้วยความโมโหและอดไม่ได้ที่จะพูดว่า “นายยังจะบอกว่านายตั้งใจเรียนได้อีกเหรอ แล้วนายก็เพิ่งจะพูดเองด้วยว่าความจำนายดีมากจริงๆ งั้นอธิบายมาหน่อยว่าเมื่อ 2 เดือนก่อนที่ฉันติวให้นายวิชาคณิตศาสตร์ นายมีปัญหาที่ไม่เข้าใจอยู่สองสามข้อ แล้วพอฉันอธิบายให้นายฟังอย่างรวดเร็วเพียงครั้งเดียว นายก็เข้าใจได้ในทันทีแถมนายยังบอกว่าจะไม่มีทางลืม เพราะความจำของนายนั้นดีมาก ไหนบอกมาซินายจะอธิบายเรื่องนี้ยังไง?

โดยไม่รอให้จี้เฟิงตอบ ถงเล่ยก็พูดต่อว่า “ถ้านายบอกว่านายตั้งใจเรียนอย่างหนัก แล้วทำไมฉันเห็นนายนอนหลับที่โต๊ะเรียนแทบทุกวัน นายเคยฟังที่อาจารย์สอนในชั้นเรียนบ้างหรือเปล่า?”

เมื่อพูดถึงตรงนี้ ดวงตาของถงเล่ยก็เริ่มเป็นสีแดงเล็กน้อย ซึ่งเห็นได้ชัดว่ามาจากความโกรธ

อย่างไรก็ตามเมื่อจี้เฟิงเห็นเธอทุกข์ใจเพราะความโกรธ แต่เขากลับรู้สึกมีความสุขมาก

ผู้หญิงคนหนึ่ง ถ้าเธอไม่ได้สนใจในตัวคุณ แต่แค่อยากจะหายจากความรู้สึกผิด เธอก็จะโน้มน้าวอย่างใจเย็นเท่านั้น และไม่มีทางที่จะโกรธขนาดนี้

การที่เธอรู้สึกแบบนี้มันหมายถึงอะไร?

แล้วทำไมเธอถึงต้องโกรธ?

คำตอบนั้นชัดเจนอยู่แล้ว นั่นเป็นเพราะถงเล่ยมีความรู้สึกห่วงใยและสนใจในตัวจี้เฟิง ถ้าให้เปรียบก็คงเหมือนกับเมื่อเราคาดหวังว่าคนที่เราเป็นห่วง จะทำสิ่งที่ดีให้สำเร็จแต่สุดท้ายเขากลับทำให้เราผิดหวัง ด้วยเหตุนี้เธอจึงโกรธจี้เฟิงมาก

เมื่อจี้เฟิงเข้าใจถึงเหตุผลเหล่านี้ดี เขาจึงเผลอยกมุมปากขึ้นและหัวเราะออกมาอย่างช่วยไม่ได้

“นายยังกล้าหัวเราะอีกเหรอ?”

ถงเล่ยโกรธมากเมื่อเห็นท่าทางของจี้เฟิง เธออดไม่ได้ที่จะกระทืบเท้าตัวเองและบ่นจี้เฟิง “ฉันกำลังคุยเรื่องซีเรียสกับนายอยู่ แต่นายกลับหัวเราะหรือฉันพูดอะไรผิด?”

“ใช่แล้ว!” จี้เฟิงพยักหน้าและยิ้ม เมื่อมองดูท่าทีของถงเล่ยที่เหมือนกับเด็กน้อยเอาแต่ใจกำลังโกรธ มันช่างน่ารักน่าเอ็นดูจี้เฟิงอดไม่ได้ที่จะรู้สึกหวั่นไหวในหัวใจ

“อะไรนะสรุปว่าฉันพูดถูกใช่ไหม เรื่องที่นายนอนหลับทุกคาบแล้วยอมแพ้เรื่องเรียนไปแล้วน่ะ?!”  ถงเล่ยโกรธมากขึ้นไปอีกเมื่อเธอได้ยินจี้เฟิงตอบแบบนี้ “ในเมื่อนายยอมรับว่านายไม่ได้ตั้งใจเรียน ฉันขอถามว่าทำไมนายถึงหมดหวังกับเรื่องเรียนถึงขนาดนอนหลับในห้อง หรือที่นายทำแบบนี้ก็เพื่อต้องการเรียกร้องความสนใจจากฉัน? แต่ไม่ว่านายจะทำเรื่องนี้ด้วยสาเหตุไหนมันก็ผิดอยู่ดีจี้เฟิงนายอย่าทำแบบนี้เลย.. ถ้านายยังเป็นอยู่แบบนี้นายอาจจะเรียนไม่จบ ชีวิตนายก็อาจจะไม่มีอนาคตก็ได้นะ!”

ในท้ายที่สุดถงเล่ยเปลี่ยนจากการตั้งคำถามอย่างดุเดือดเป็นการโน้มน้าวใจจนเกือบจะเป็นการเว้าวอนให้จี้เฟิงกลับมาสนใจเรียนอย่างจริงจัง

“ฮิฮิ..” เมื่อมองไปที่ความงามที่ไม่มีใครเทียบของถงเล่ย จี้เฟิงก็อดหัวเราะไม่ได้

“นายหัวเราะอะไร?” เมื่อถงเล่ยเห็นว่าสิ่งที่เธอพูดไปทั้งหมดเหมือนจะไม่ได้เข้าหูจี้เฟิงเลย แถมยังมองมาที่เธอแล้วหัวเราะอีกเธอจึงรู้สึกโกรธมาก

ทันใดนั้นถงเล่ยก็เหมือนได้สติ.. นี่ฉันเพิ่งตัดสินใจที่จะบอกเขาไปว่าฉันไม่ได้ชอบเขาไม่ใช่เหรอ แล้วทำไมฉันถึงเป็นแบบนี้? ทำไมฉันต้องใส่ใจในตัวเขาขนาดนี้ด้วยล่ะ?!

หัวใจของถงเล่ยสับสน เป็นไปได้ไหมว่าหัวใจกับความคิดของเธอนั้นมันตรงข้ามกัน หรือความจริงแล้วเธอชอบจี้เฟิง?

อย่า! เป็นไปไม่ได้! ถงเล่ยรีบปฏิเสธความคิดนี้ออกไปทันที มันไม่มีทางเป็นไปได้ ฉันเป็นคนพูดเองว่าจะไม่มีเรื่องความรักในขณะที่ยังเรียนม.ปลายอยู่เป็นอันขาดหรือถึงแม้จะเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยแล้วครอบครัวของฉันก็คงไม่มีทางยอมให้ฉันได้มีความรักอย่างอิสระแน่นอน!

เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ถงเล่ยก็ตกตะลึง ที่เธอไม่กล้ายอมรับว่าชอบจี้เฟิงนั่นเป็นเพราะในใจลึกๆเธอกลัวว่าจี้เฟิงอาจมีปัญหาเพราะครอบครัวเธอ มันเลยทำให้เธอปฏิเสธความรู้สึกของตัวเองที่มีต่อจี้เฟิงโดยไม่รู้ตัว?

…จบบทที่ 63~❤️

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด