ตอนที่ 130 สัตว์อสูรแรงค์ C
เหตุการณ์ก่อนหน้านั้น 7 วัน
“ช่วยด้วย ช่วยด้วย ว๊ายยย !”
“อย่านะ อย่าเข้ามานะ กรี๊ดดด”
“นั่น มันตัวอะไร มันตัวอะไร”
“อ๊ากกก”
“ลูกแม่ มานี่ !”
เสียงกรีดร้องดังระงมมาจากหมู่บ้านทางตะวันออกเฉียงเหนือของเมืองหลวง เสียงดังก้องกังวานไปด้วยความทุกข์ระทมและเจ็บปวด เหล่าชาวบ้านตาดำ ๆ ต่างวิ่งหนีกันอลหม่านราวกับถูกกองทัพทหารของเมืองศัตรูเข้าโจมตี ทว่าความโหดร้ายนี้มันเกิดจากคมเขี้ยวของสัตว์อสูรร้ายที่บุกเข้ามาในหมู่บ้าน แล้วค่อย ๆ คร่าชีวิตพวกเขาในยามค่ำคืน ทีละคน ทีละคน
ไม่นานหมู่บ้านที่เคยเต็มไปด้วยผู้คนครึกครื้นก็เปลี่ยนแปลงไป ขบวนพ่อค้าที่มักจะพากันเดินทางผ่านเส้นทางนี้ก็เริ่มบางตาลงอย่างเห็นได้ชัด จนในที่สุดก็ไม่มีใครอาศัยอยู่ที่นั่น ไม่มีชาวบ้าน ไม่มีฮันเตอร์ ไม่มีพ่อค้าและไม่มีใครคิดจะผ่านทางนี้
ไม่กี่วันหลังจากนั้นเหตุการณ์แบบนี้ก็เริ่มขยายลุกลามต่อไปยังหมู่บ้านใกล้เคียง หากเรื่องนี้ยังไม่ได้รับการแก้ไขในเร็ววัน ก็อาจส่งผลกระทบต่อประชาชนส่วนใหญ่ในแคว้น เพราะสินค้าบางชนิดที่ผลิตจากหมู่บ้านเหล่านั้นไม่สามารถผลิตออกสู่ตลาดได้อย่างต่อเนื่อง อีกไม่นานอาจจะเกิดสินค้าขาดตลาดได้
ปัจจุบัน ณ ประตูทางเข้าเมืองหลวง
หลังจากที่เหนือภพกลับมาจากคฤหาสน์ตระกูลไตรลักษณ์ที่ตั้งอยู่นอกเมือง เขาก็ต้องตกใจที่เห็นผู้คนจำนวนมากมายืนออกันอยู่ที่ประตูทางเข้าเมืองหลวง พวกเขาคือกลุ่มคนจำนวนหลายร้อยคนที่อพยพมาจากเมืองน้อยใหญ่ที่อยู่ไม่ไกลนัก เหนือภพเองก็ไม่เข้าใจว่าพวกเขาอพยพหนีอะไรมา ตอนเขาออกจากเมืองไปไม่กี่ชั่วโมงก่อนยังไม่มีคนมากถึงเพียงนี้
กลุ่มคนอพยพนั้นประกอบไปด้วยชาวบ้านผู้ไร้พรสวรรค์ เด็กน้อยผู้มีพรสวรรค์ และฮันเตอร์อีกจำนวนไม่น้อย มีหลายคนที่พยายามจะปีนข้ามกำแพงเมือง เพราะไม่ต้องการเสียเวลารอตรวจคนเข้าเมืองแบบที่เหนือภพเคยทำในสมัยที่เขาเข้ามาถึงเมืองหลวงครั้งแรก แต่ครั้งนี้ต่างออกไป มีทหารผู้มีพรสวรรค์จำนวนมากมาเฝ้าประจำการอยู่ที่ประตูเมืองทุกด้านอย่างหนาแน่น แม้แต่เหนือภพก็ยังไม่อยากปีนฝ่าทะลุเข้าไปให้เป็นที่เอิกเกริก ดังนั้นเหนือภพจึงจำเป็นต้องเดินไปเข้าแถวเพื่อเข้าสู่กระบวนการตรวจคนเข้าเมืองด้วยเช่นกัน
กว่าเหนือภพจะกลับมาถึงสำนักงานฮันเตอร์ก็เป็นเวลาเกือบเที่ยงวันแล้ว เขาตัดสินใจเริ่มเข้างานในทันที ตามสัญญาว่าจ้างระบุไว้ว่าขอแค่เขาอยู่ประจำที่สำนักงาน 4 ชั่วโมงต่อวันเท่านั้น หลังจากนั้นเขาจะไปทำอะไรก็ได้
วันนี้เหนือภพเลือกไปประจำการที่แผนกการต่อสู้ หน้าที่ของเจ้าหน้าที่ในแผนกนี้ก็ง่ายแสนง่าย เขามีหน้าที่แค่คอยช่วยดูแลเหล่าฮันเตอร์ที่มาฝึกฝนการต่อสู้ที่นี่ ดูแลความพร้อม และความปลอดภัยของฮันเตอร์ผู้ฝึก ซึ่งส่วนใหญ่ฮันเตอร์ที่มาฝึกที่นี่ล้วนเป็นมืออาชีพ ดังนั้นปัญหาหรือความผิดพลาดแทบจะไม่เคยเกิดขึ้น สิ่งที่เหนือภพได้ทำก็แค่เดินไปเดินมาช่วยตอบคำถามจิปาถะที่พวกฮันเตอร์อยากรู้ และคอยเป็นเพื่อนคุยบางครั้งบางคราวเท่านั้น
“นี่เจ้า เจ้าเป็นเจ้าหน้าที่ที่นี่งั้นเหรอ หน้าตาคุ้น ๆ เหมือนข้าเคยเห็นที่ไหน”
ลินดาเอ่ยทัก เมื่อเห็นเหนือภพในชุดเจ้าหน้าที่ระดับหนึ่ง เธอจ้องและพินิจพิจารณาเหนือภพอยู่นานแล้วก่อนตัดสินใจเข้ามาทักทาย แต่เธอกลับจำไม่ได้ว่าชายตรงหน้าคนนี้ เธอเคยเห็นจากที่ไหน
เหนือภพหรี่ตามองหญิงสาวร่างเล็กในชุดฝึกรัดรูปที่แสนยั่วยวนอย่างไม่ค่อยพอใจ เขาเลือกที่จะไม่ตอบคำถาม แต่เธอก็ยังเดินตรงเข้ามาหาเขา
“เจ้าคือ ?”
ลินดายิ้มกว้างพลางก้าวเดินเข้ามาใกล้เหนือภพยิ่งขึ้น เธอมองเหนือภพไม่วางตา ขณะคิดใคร่ครวญอยู่ในใจ
‘รูปร่างดูดี สมส่วน สีผมแดงร้อนแรง ผิวพรรณใช้ได้ แต่เหมือนเคยเห็นที่ไหนมาก่อน ช่างเถอะ จำไม่ได้ก็ช่าง แค่เป็นผู้ชายหน้าตาดีก็พอ’
“เจ้ารู้ไหมว่าเจ้าหน้าตาดีมาก อืม รูปร่างเจ้าก็ไม่เลว สนใจมาเป็นผู้ชายของข้าไหม”
พรวด !!
เหนือภพถึงกับสำลัก เขาจำเธอได้แล้ว เธอคือผู้หญิงวิปลาสที่ชื่อลินดาที่อยู่ในทีมเทพเจ้า ตอนนั้นในงานประมูลเธอเป็นคนที่ใช้อาวุธลับโจมตีเขาจนเขาแทบคลั่ง โชคดีที่ครั้งนั้นเขามีไร้ชื่อช่วยต่อสู้จึงจัดการตัวปัญหาอย่างเธอได้ แต่เขาไม่คิดว่าผ่านมาตั้งหลายเดือนแล้วยังจะต้องมาพบเจอเธออีก สงสัยแผ่นดินในแคว้นนี้จะเล็กเกินไปเสียแล้ว ดีที่รูปลักษณ์ของเขาเปลี่ยนไปมากทำให้เธอจำเขาไม่ได้
ยังไม่ทันที่เหนือภพจะได้คำตอบคำถามของเธอ เทียน หัวหน้าแผนกการต่อสู้ก็เดินเข้ามาทักเขาด้วยท่าทางร้อนใจเสียก่อน
“ภพ เจ้ามาอยู่ที่นี่เอง”
“มีอะไรหรือครับ”
“จะอะไรอีกล่ะ หัวหน้าบงกตเรียกหาเจ้า แต่เขาหาไม่เจอเลยให้ข้าช่วยหานะสิ รีบไปเลย เห็นว่ามีภารกิจด่วนมากให้เจ้าไปทำ”
“ครับ อ้อ ไว้เจอกันนะ”
เหนือภพรับคำหัวหน้าเทียนแล้วก็หันมาคุยกับลินดาพร้อมกับยิ้มน้อย ๆ ให้เธอ เหมือนกับให้ความหวัง ก่อนจะก้าวเดินออกไปอย่างรวดเร็ว
ลินดาตกตะลึงในท่าทางของเขา เธอคว้าแขนของเทียนเอาไว้ทันที
“นี่ท่านอาเทียน เขาอยู่แผนกไหนหรอคะ”
“เจ้าภพงั้นเหรอ”
“ค่ะ”
ลินดาพยักหน้ารัว ๆ อย่างใคร่รู้ เธออยากรู้จักสุดหล่อคนนั้นให้มากขึ้น
“แผนกเฉพาะกิจน่ะ”
เทียนดูไม่ค่อยพอใจกับสายตาของลินดาเท่าไหร่นัก ไม่ว่าจะสั่งสอนอย่างไร เธอก็ไม่เคยวางท่ากุลสตรีชั้นสูงได้เลย เขาจึงได้แต่ตอบอย่างขอไปทีก่อนจะก้าวเดินตามเหนือภพไป
“เดี๋ยวสิท่านอา ท่านจะไปไหน ไม่ใช่ว่าแผนกนั้นถูกยุบไปเมื่อหลายเดือนก่อนแล้วหรอคะ แล้วทำไมถึงก่อตั้งขึ้นมาอีกล่ะ”
“มันก็ใช่ แต่แผนกนั้นถูกพ่อของเจ้าจัดตั้งขึ้นมาใหม่ เจ้าไม่รู้หรือไง เอาล่ะ ๆ อย่าเซ้าซี้ข้า ข้าจะรีบไปทำงาน แล้วทีหลังเจ้าก็หัดแต่งตัวให้ดี ๆ หน่อย เป็นสาวเป็นนางไม่ต้องรีบหาสามีมากก็ได้ หากพ่อเจ้ารู้เข้าจะมาตำหนิพวกข้าอีก”
เทียนผู้มีศักดิ์เป็นอาของลินดาไม่ค่อยพอใจเท่าไหร่นัก ที่เธอมักดัดแปลงชุดฝึกของสำนักงานฮันเตอร์ให้เป็นชุดรัดรูป เอาไว้อวดรูปร่างและหน้าอกเต่งตึงเพื่อล่อลวงผู้ชาย
ลินดาไม่ตอบรับคำ เธอเพียงแค่ทำท่ากระฟัดกระเฟียดแล้วก็เดินกลับไปหากลุ่มสหายฮันเตอร์ของเธอ เธอคิดว่าเธอโตแล้ว และมีความคิดเป็นของตัวเองมากพอที่จะไม่ต้องรับฟังคำสั่งสอนของพวกญาติผู้ใหญ่น่าเบื่ออีกต่อไป
เหนือภพมาถึงห้องแผนกเฉพาะกิจที่ดูใหม่เอี่ยมอ่อง เพราะเป็นห้องที่เพิ่งสร้างเสร็จใหม่ ๆ ห้องนี้ถูกสร้างและตกแต่งด้วยไม้หลากหลายเฉดสี พื้น ผนัง ฝ้าเพดานล้วนกรุไม้อย่างเรียบร้อยสวยงาม ตรงกลางห้องมีโต๊ะกลมไม้หนาหนักสำหรับเก้าอี้ 8 ที่นั่ง และด้านข้างก็มีตู้เก็บของส่วนตัวขนาดใหญ่ที่มีแม่กุญแจคล้องอยู่จำนวน 8 ตู้
เหนือภพเลือกนั่งเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามกับบงกต ผู้ซึ่งดำรงตำแหน่งหน้าที่หัวหน้าแผนกเฉพาะกิจชั่วคราว บงกตดันกองเอกสารตรงหน้ามาให้เหนือภพอย่างไม่อ้อมค้อม
“มีภารกิจพิเศษทางตะวันออกเฉียงใต้ของเมืองหลวง มีคนพบสัตว์อสูรที่มีระดับสูงกว่าแรงค์ C ออกอาละวาดอยู่ที่นั่น มีผู้เสียชีวิตและหายสาบสูญไปไม่ต่ำกว่าห้าสิบรายในระยะเวลาเพียง 7 วัน”
“สัตว์อสูรพวกไหนครับ”
เหนือภพถามพลางเปิดดูเอกสารภารกิจที่มีรายละเอียดเกี่ยวกับสัตว์อสูรตัวนั้น
“คร่าว ๆ คือมันเป็นหมาป่า เคลื่อนที่ได้เร็วมาก แถมมันยังใช้ปราณอสูรได้ด้วย ดังนั้นหน้าที่นี้ข้าเลยอยากให้เจ้าไปจัดการ”
“ข้าคนเดียวงั้นเหรอ”
เหนือภพเอียงคอถาม เพราะเท่าที่เขารู้สัตว์อสูรที่สามารถใช้ปราณอสูรได้ล้วนเป็นพวกแรงค์ C ขึ้นไปทั้งนั้น และพญานาคก็รวมอยู่ในประเภทที่ใช้ปราณอสูรได้ ถ้าเป็นแบบนี้ต่อให้เป็นเขาไปเองก็ใช่ว่าจะจัดการมันได้
“ไม่ นอกจากเจ้า ยังมีทีมเฉพาะกิจคนอื่น ๆ ล่วงหน้าไปจุดที่เกิดเหตุแล้วบางส่วน”
“ให้จับเป็น หรือจับตายครับ”
เหนือภพพลิกดูหน้ากระดาษแล้วทุกหน้า แต่ไม่มีข้อความระบุเอาไว้เลยว่าจะให้จัดการกับมันอย่างไร ทว่าข้อมูลเกี่ยวกับรูปร่าง สรีระ ทักษะความสามารถและปราณอสูรกลับมีละเอียดลออ มันเป็นข้อมูลที่ละเอียดเกินกว่าจะเป็นข้อมูลที่ได้จากสัตว์อสูรตามป่าเขาทั่วไป เขารับทำภารกิจมาเยอะพอควรจึงรู้ว่า ภารกิจสังหารสัตว์อสูรเพื่อสร้างความสงบสุขทั่ว ๆ ไปจะไม่มีข้อมูลอะไรพวกนี้เลย แตกต่างจากสัตว์อสูรที่มีเจ้าของ ไม่ว่าจะให้ตามหาหรือตามจับ มันจะมีรายละเอียดมากกว่าอย่างเห็นได้ชัด
บงกตรู้สึกอึดอัดใจ แต่สุดท้ายเขาก็ถอนใจก่อนจะพูดอย่างตัดใจ
“ถ้าจับได้ก็จับ แต่ถ้าจับไม่ไหวจริง ๆ ก็แล้วแต่เจ้าจะเห็นสมควร”
“จะให้ข้าฆ่าหรอ มันคงไม่ใช่สัตว์อสูรตามป่าเขาหรอกมั้ง”
เหนือภพเอ่ยลอย ๆ ขณะจ้องหน้าบงกตที่ดูมีความกระอักกระอ่วนเล็กน้อย
“เป็นอย่างที่เจ้าคิดนั่นล่ะ สัตว์อสูรตัวนี้เป็นสัตว์พิทักษ์ของตระกูลหนึ่ง”
“แล้วทำไมพวกเขาถึงไม่เข้ามาจัดการอะไรเลย จริง ๆ แล้วถ้าสัตว์อสูรระดับนี้ออกมาก่อปัญหาควรจะถูกประกาศเป็นภารกิจที่มีรางวัลมูลค่าสูงไม่ใช่หรือครับ”
เมื่อเหนือภพย้อนคิดถึงตอนที่เขาต้องสู้กับพญานาค เขาก็รู้สึกขนลุกเกรียว หากไม่ได้ฮันเตอร์มากฝีมือหลาย ๆ คนช่วยกัน เขาก็คงเอาชีวิตไม่รอดด้วยซ้ำ อย่าว่าแต่จะคิดไปจับเป็นหรือจับตายเลย
“เรื่องนี้เจ้าอย่าสนใจเลย เจ้าทำตามภารกิจให้ได้ก็พอ ตั้งเป้าหมายจับเป็นไว้ก่อน ไปเถอะ รีบไป”
บงกตตัดบท แม้เขาจะเป็นถึงเจ้าหน้าที่ระดับ 2 แต่เขาก็ไม่มีสิทธิ์มีเสียงขนาดนั้น เขาไม่อาจแพร่งพรายยความลับใด ๆ ที่เกินกว่าที่กำหนดเอาไว้ได้
เหนือภพมองบงกตอย่างสงสัย ดูท่าสัตว์อสูรตัวนี้คงไม่ใช่สัตว์อสูรของชนชั้นธรรมดา และนี่ก็เป็นอีกครั้งที่เขารู้สึกว่าสำนักงานฮันเตอร์ที่ว่ามีอำนาจที่สุด กลับดูเหมือนจะไม่เป็นความจริงซะแล้ว
ณ แผนกอุปกรณ์ภาคสนาม
“หวัดดีครับ พี่ษาคนสวย ทานข้าวเที่ยงหรือยังครับ”
เหนือภพกล่าวทักทายเจ้าหน้าที่หญิงวัยเลขสามที่ยืนอยู่ข้างหลังบานกระจก ด้วยท่าทางอารมณ์ดี
“แหม ปากหวานจริงนะ พี่ทานแล้วจ้า ไหนเอาใบภารกิจมาให้พี่ดูหน่อย”
ษาตอบและก็ทำหน้าที่ของตัวเองไปอย่างคล่องแคล่ว เธอรับใบภารกิจมาตรวจดูก่อนส่งใบภารกิจไปให้เจ้าหน้าที่อีกคนให้จัดเตรียมสัมภาระและอุปกรณ์
“ดูท่าภารกิจครั้งนี้ คงยุ่งยากหน่อย ยังไงก็สู้ ๆ นะจ๊ะ พี่เป็นกำลังใจให้”
ษายิ้มน้อย ๆ ให้กำลังเหนือภพด้วยท่าทางสดใสอ่อนโยน จึงไม่น่าแปลกที่เธอจะได้รับหน้าที่นี้ เมื่อเจ้าหน้าที่ชายที่จะต้องออกไปทำภารกิจได้รับกำลังใจนี้ พวกเขาก็จะมีแรงใจที่จะเอาชีวิตรอดกลับมาอ้อนเธออีกครั้ง