ตอนที่แล้วDual Cultivation บทที่ 509: สัตว์อัญเชิญ
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปDual Cultivation บทที่ 511: กระบี่เทพศิลาจันทร์

Dual Cultivation บทที่ 510: สังเวย (ฟรี)


Dual Cultivation บทที่ 510: สังเวย

“สัตว์อัญเชิญมีระดับเหนือกว่าเขตอัมพรวิญญาณงั้นรึ เป็นไปได้ไหมว่ามันอยู่ในระดับเดียวกับปู่ของข้า เขตราชันย์วิญญาณ” ซีซิงฟางร่างกายสั่นสะท้านไปกับความคิดที่ว่ามีสัตว์อสูรเช่นนั้นเตร็ดเตร่ไปมาบนโลกนี้

“ถ้านั่นเป็นจริง ซึ่งก็ดูเหมือนจะเป็นไปได้มากในเมื่อข้าเองก็มิสามารถเห็นพลังการฝึกปรือของมันได้ เช่นนั้นข้าเกรงว่าคงมีแต่ท่านปรมาจารย์ที่มีความสามารถที่จะฆ่าสัตว์ร้ายนี้ได้…” ผู้อาวุโสจงกล่าวพร้อมกับคิ้วมุ่นลึก

“พวกเราควรทำอะไรดี ซูหยาง”

ผู้คนที่นั่นต่างพากันมองดูเขา ในเมื่อเขามักจะดูเหมือนมีคำตอบในทุกสถานการณ์ไม่ว่ามันจะเลวร้ายมากน้อยเพียงใด

“อืมมมม…” ซูหยางลูบคางของเขาด้วยสีหน้าสงบและกล่าวว่า “สัตว์อัญเชิญนั่นมิเพียงอยู่ในเขตราชันย์วิญญาณ แต่มันก็ยังอยู่ในระดับสูงสุดของเขตราชันย์วิญญาณอีกด้วย ข้าเกรงว่ามิมีใครในหมู่พวกเจ้าที่นี่จะสามารถเอาชนะมันได้ และก็ยังเป็นเช่นนั้นถึงแม้ว่าจะเป็นผู้เฒ่านั่นที่อยู่ในเขตราชันย์วิญญาณ”

“อ-อะไรกัน เช่นนั้นพวกเราควรจะทำบ้าอะไรกันต่อไป ถึงแม้ว่าพวกเราจะมิสามารถเอาชนะมัน พวกเราก็มิสามารถเพียงแค่นั่งดูโดยมิทำอะไรทั้งสิ้น” ไป่ลี่ฮัวกล่าว

จากนั้นเธอก็ชี้ไปยังเขาแล้วกล่าวต่อว่า “แล้วทำไมเจ้าจึงผ่อนคลายบ้าอะไรในสถานการณ์เช่นนี้”

ซูหยางยักไหล่และกล่าวว่า “ทำไมข้าจักต้องกระวนกระวายด้วยเล่า แม้ว่ามิมีใครสักคนในหมู่พวกเจ้าสามารถฆ่ามัน ข้ามีวิธีมากมายที่สามารถกำจัดมันได้”

“ทำไมเจ้าจึงมิพูดออกมาเสียแต่ต้น”

หลังจากนั้นชั่วขณะ อสรพิษโลหิตปีศาจก็หยุดเคลื่อนไหวเมื่ออยู่ห่างออกไปสองสามกิโลเมตรจากนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย ราวกับว่ามันไม่ได้เร่งรีบในการทำลายทุกสิ่งในเส้นทางของมัน

“ซูหยาง เจ้ามีคำสั่งเสียอะไรก่อนที่ข้าจะเหยียบย่ำนิกายของเจ้าจมธรณีจนสิ้นซากในขณะที่เจ้าได้แต่ดูอย่างสิ้นหวัง” ฟูกวางหัวเราะเสียงดัง

สองสามอึดใจให้หลัง ซูหยางก็ใช้พลังวิญญาณของตนเองยกตัวขึ้นสู่ท้องฟ้าและลอยไปอยู่ต่อหน้าอสรพิษโลหิตปีศาจ

“ให้ข้าไปกับเจ้าด้วย ซูหยาง” ซีซิงฟางก็ติดตามเขาขึ้นสู่อากาศไปด้วยเช่นกัน

“อ-องค์หญิง”

ในเมื่อเขามีภาระต้องปกป้องซีซิงฟาง ผู้อาวุโสจงก็ติดตามพวกเขาไปด้วยเช่นกัน

“...”

ไป่ลี่ฮัวถอนหายใจ ถึงแม้ว่านี่จะไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับสำนักหงส์สวรรค์ เธอก็ยังมีภาระที่จะต้องปกป้องตระกูลซีในฐานะผู้นำสำนักระดับสูง

ส่วนสำหรับคนอื่นๆนั้น ในเมื่อพวกเขาไม่ได้อยู่ในเขตอัมพรวิญญาณ พวกเขาจึงไม่มีความสามารถที่จะทะยานสู่ท้องฟ้า บีบให้พวกเขาได้แต่มองดูจากพื้นดิน

“โชคดี ซูหยาง”

“รักษาตัวให้ปลอดภัย ทุกคน”

คนอื่นๆต่างพากันส่งเสียงให้กำลังใจพวกเขา

“ต่อให้พวกเจ้าทั้งสี่คนโจมตีพร้อมกัน เจ้าก็จักมิสามารถที่จะเอาชนะสัตว์อัญเชิญของข้าได้” ฟูกวางยืนอยู่ต่อหน้าพวกเขาด้วยสีหน้าหลงลำพอง

“...”

ซูหยางจ้องมองไปยังอสรพิษโลหิตปีศาจเป็นเวลาชั่วขณะก่อนที่จะพูดด้วยสีหน้าเคร่งเครียดว่า “ข้ามิอาจจะนึกออกว่านิกายล้านอสรพิษทรัพยากรพอที่จะอัญเชิญสัตว์ร้ายระดับนี้ได้ คนกี่คนที่เจ้าสังเวยเพื่ออัญเชิญมัน 1,000 คน 10,000 คน”

“โอ เจ้ารู้ด้วยรึ” รอยยิ้มฉีกกว้างน่าหวาดกลัวปรากฏขึ้นบนใบหน้าของฟูกวางขณะที่เขากล่าว “จริงแล้ว มิได้มากมายนัก ข้าเพียงแค่สังเวยไปประมาณ 90% ของจำนวนศิษย์ในนิกายในการที่จะอัญเชิญมัน”

“อ-อะไรกัน เจ้าสังเวยศิษย์ของเจ้าเอง และเป็นจำนวนถึง 90% ของนิกาย เพียงเพื่อที่จะแก้แค้นกับนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยนะรึ เจ้ามันบ้าไปแล้ว” ซีซิงฟางปิดปากด้วยมือที่สั่นสะท้านของเธออย่างตระหนก

นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยมีศิษย์อยู่ประมาณ 40,000 คน และถ้าฟูกวางได้สังเวย 90% ของศิษย์ของตนเอง นั่นย่อมตกประมาณ 36,000 ชีวิตที่ถูกสังเวย

“ฟูกวาง… เจ้ามันบ้า…” กระทั่งผู้อาวุโสจงก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกว่าท้องไส้ของตนเองปั่นป่วนหลังจากที่เรียนรู้ว่า มีชีวิตกว่า 36,000 ชีวิตได้ถูกสังเวยไปเพื่ออัญเชิญอสรพิษโลหิตปีศาจนี้

“ข้าคิดสงสัยว่าศิษย์เหล่านี้ยินดีที่จะสละตัวเองด้วยรึ เจ้าทำอะไรกับพวกเขา” ไป่ลี่ฮัวถามเขาด้วยสายตาเย็นเยียบ

“จริงแล้วข้ามิได้ทำอะไรมาก ข้าเพียงแค่เรียกพวกเขามารวมตัวกันในที่แห่งหนึ่งก่อนที่จะทำให้พวกเขาหลับไปด้วยยา พวกเขาทั้งหมดล้วนตายอย่างสงบและไม่รู้อะไรทั้งสิ้น ส่วนศิษย์ที่เหลืออีกประมาณ 10% นั้น ข้าจักใช้ชีวิตพวกเขาเพื่อเติมความแข็งแกร่งให้กับอสรพิษโลหิตปีศาจก่อนที่ข้าจะทำลายตระกูลซีหลังจากนี้”

“สวรรค์ย่อมมิให้อภัยแก่เจ้าเรื่องนี้แน่ ทัณฑ์สวรรค์ย่อมจักมาถึงมิช้าก็เร็วเพื่อลงโทษเจ้า” ซีซิงฟางอุทานออกมาด้วยน้ำตาคลอเบ้า ในเมื่อเธอไม่สามารถแม้กระทั่งจะเริ่มจินตนาการถึงฉากนองเลือดที่นิกายล้านอสรพิษในตอนนี้ได้

ซูหยางถอนหายใจยาวและกล่าวด้วยเสียงเชื่องช้าแต่ชัดเจนว่า “ถ้าข้ารู้ว่าสิ่งนี้จักเกิดขึ้น ข้าก็ควรทำลายนิกายล้านอสรพิษตั้งแต่วันที่เกิดเหตุการณ์นั้นขึ้น อย่างน้อยศิษย์เหล่านั้นก็จักมิต้องตายอย่างอนาถ”

“แต่เจ้ารู้ไหม ฟูกวาง...สิ่งที่เจ้าทำลงไปในตอนนี้นั้นค่อนข้างจะไร้จุดหมาย”

“ไร้จุดหมาย เจ้าพูดอย่างงั้นรึ หรือว่านี่เป็นทุกสิ่งที่เจ้าต้องการพูดในตอนนี้เมื่อข้าได้ต้อนเจ้าจนมุม ซูหยาง เจ้าช่างน่าสงสารเหลือเกิน” ฟูกวางมองดูเขาพร้อมกับขมวดคิ้ว

ซูหยางส่ายหน้าแล้วกล่าวว่า “เจ้าได้สังเวยคนนับหมื่นชีวิต ต่างล้วนเป็นศิษย์ของเจ้า ทำลายนิกายของเจ้าเองในกระบวนการนี้… ทั้งหมดนี้เพื่ออะไร เพียงเพื่อแค่ฆ่าข้างั้นรึ”

“เจ้าต้องมีความมั่นใจอยู่บ้างว่าเจ้าอาจจะสามารถฆ่าข้าได้เช่นนี้ แต่ความมั่นใจของเจ้ามาจากไหน ข้าสงสัย”

“ฮ่า หรือว่าเจ้ากลายเป็นโง่จากความหวาดกลัวไปแล้ว เจ้าอาจจะเป็นอัจฉริยะ แต่เจ้ายังคงเป็นมนุษย์ เจ้าอาจจะมีความสามารถบางอย่าง แต่พลังของเจ้านั้นมีจำกัด เจ้าเพียงแค่อยู่ในเขตอัมพรวิญญาณ แต่อสรพิษโลหิตปีศาจของข้านั้นอยู่ในระดับสูงสุดของเขตราชันย์วิญญาณ แม้แต่เซียนก็มิอาจจะเพิกเฉยกับความแตกต่างอย่างมากในระดับของพลังการฝึกปรือได้ไ

ซูหยางเพียงแค่ยักไหล่และกล่าวว่า “ข้าคงจักเพียงแค่เสียน้ำลายถ้าข้าจะพยายามอธิบายให้เจ้าฟัง ดังนั้นข้าจักแสดงให้เจ้าเห็นว่าช่างไร้จุดหมายเพียงใดกับการกระทำและความเสียสละของเจ้าด้วยการฆ่าสัตว์ร้ายที่เจ้ามั่นใจมากว่าจักสามารถฆ่าข้าได้นี้เสีย”

ในเวลาถัดไป ซูหยางก็นำเอากระบี่ที่สวยงามซึ่งตัวกระบี่นั้นกึ่งโปร่งใสทั้งยังปลดปล่อยกระแสพลังที่กดดันออกมาจากแหวนมิติของเขา จนทำให้บรรยากาศนั้นเปลี่ยนไปในทันที ราวกับว่าตัวตนอันศักดิ์สิทธิ์ได้ปรากฏกายขึ้น

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด