ตอนที่แล้วตอนที่ 211 ผู้ดูแลธงทั้ง 4 คน
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 213 การทำลายและสร้างขึ้นมาใหม่

ตอนที่ 212 ความไม่รู้


ตอนที่ 212 ความไม่รู้

มู่อี้ย่อมเข้าใจ ‘ความปรารถนาดี’ ของเหลิงหยู่เป็นอย่างดี แต่เรื่องนี้ก็ไม่ได้ส่งผลต่อการร่วมมือของเขากับนาง เพราะนางเองก็มีสิ่งที่เขาต้องการและเขาเองก็ถือว่ามีประโยชน์มากพอสำหรับเหลิงหยู่

เพราะเมื่อมู่อี้เข้ารับตำแหน่งก็ถือว่าเขาอยู่ในระดับเดียวกันกับนางแล้ว แม้ว่าในตอนนี้พลังของมู่อี้จะถือว่าต่ำเกินไป แต่ใครจะบอกได้กันว่าในอนาคตมันจะเกิดอะไรขึ้น? ยิ่งไปกว่านั้นด้วยคุณสมบัติของมู่อี้และการที่เขาเป็นลูกศิษย์ของผู้ดูแลธงวิหคเพลิงคนก่อน เหลิงหยู่เชื่อว่ามู่อี้จะไม่ทำให้นางผิดหวังแน่นอน

"แล้วใครที่เป็นผู้ทำลายกลุ่มทูตแห่งซวนหมิงในปีนั้น?" มู่อี้ถามขึ้นมาทันที นี่คือคำถามที่เขารู้สึกสนใจด้วยเช่นกันเพราะถ้าหากรู้ได้ว่าศัตรูเป็นใครบางทีมันอาจจะเกี่ยวข้องกับผู้ที่ทำให้ท่านปู่ของเขาได้รับบาดเจ็บ แม้ว่าผู้อาวุโสโม่จะไม่ยอมบอกเรื่องนี้กับเขาแต่ก็ไม่ได้หมายความว่ามู่อี้ไม่อยากจะรู้

กลับกันยิ่งผู้อาวุโสโม่ไม่บอกเขาก็ยิ่งอยากจะรู้ว่าศัตรูเป็นใคร

"พูดยากนะ มันไม่ใช่แค่พลังของคนกลุ่มเดียวที่โจมตีกลุ่มทูตแห่งซวนหมิงจนแตกพ่าย แต่เป็นเพราะว่าในตอนนั้นประมุขของกลุ่มทูตแห่งซวนหมิงได้หายตัวไปอย่างกะทันหันและนั่นคือสัญญาณการล่มสลายของกลุ่มทูตแห่งซวนหมิง ส่วนกองกำลังที่อยู่ภายในกลุ่มทูตแห่งซวนหมิงนั้นก็ไร้ซึ่งความสามัคคีกันตั้งแต่แรกอยู่แล้ว แม้ว่าสุดท้ายจุดจบคือการล่มสลายของกลุ่มทูตแห่งซวนหมิงแต่จากสิ่งที่ข้าได้เห็นบางทีการล่มสลายครั้งนี้อาจจะเป็นเรื่องที่ดี กลุ่มทูตแห่งซวนหมิงเริ่มกลายเป็นเสี้ยนหนามที่สำคัญในสายตาของผู้คนมากมาย ไม่ว่าอย่างไรมันก็ต้องถูกกำจัดแน่นอนขึ้นอยู่กับเวลาเท่านั้นว่าจะช้าหรือเร็ว" เหลิงหยู่พูดเบาๆน้ำเสียงของนางไม่ได้มีความเสียใจแม้แต่น้อย ดูเหมือนว่าการที่กลุ่มทูตแห่งซวนหมิงล่มสลายไปนั้นก็เป็นสิ่งที่นางคิดเอาไว้แล้ว

"เช่นนั้นแล้วใครกันที่ทำให้ท่านอาจารย์ของข้าต้องบาดเจ็บ?" เมื่อเห็นว่าเหลิงหยู่ไม่ได้ตอบว่าใครคือศัตรู มู่อี้ก็ถามเขาไปตรงๆ

"แม้ว่าข้าอยากจะบอกเรื่องนี้กับเจ้า แต่ผู้อาวุโสโม่ก็ได้เตือนข้าเอาไว้ก่อนหน้านี้แล้ว อย่างน้อยจนกว่าเจ้าจะไปถึงจุดสูงสุดของระดับความยากขั้นที่ 2 ของการฝึกฝนจิตใจและสามารถควบคุมตะเกียงทองแดงได้อย่างสมบูรณ์แบบ ข้าจะบอกเรื่องนี้กับเจ้าไม่ได้ แต่ถ้าหากเจ้ายอมตกลงรับเงื่อนไขของข้า ข้าจะบอกเจ้าให้ทราบตอนนี้ทันที" เหลิงหยู่มองมาที่มู่อี้และพูดขึ้นมา

"เงื่อนไขอะไร?" มู่อี้ถามต่อ

"เงื่อนไขนั้นก็ง่ายมาก พาตัวเด็กสาวคนนี้ไปด้วยแล้วข้าจะให้คำตอบเจ้า" เหลิงหยู่พูดพร้อมกับชี้ไปที่เด็กสาวที่ยืนอยู่ข้างๆเขา

เมื่อฉีหยูได้ยินคำพูดของเหลิงหยู่ใบหน้าของนางก็เปลี่ยนเป็นสีแดงทันที นางไม่กล้าแม้แต่จะหันไปมองมู่อี้ ได้แต่ก้มศีรษะมองนิ้วเท้าตัวเองเท่านั้น

"ข้าคงต้องปฏิเสธ" มู่อี้ส่ายศีรษะและปฏิเสธข้อเสนอของเหลิงหยู่ทันที

"อะไรกัน? นางงดงามไม่พอสำหรับเจ้าหรือยังไง?" เหลิงหยู่พูดพร้อมกับเชิดหน้าขึ้น

"นางย่อมงดงามอยู่แล้ว" มู่อี้ตอบตามความจริง

"แล้วทำไมเจ้าถึงไม่ชอบหญิงสาวที่งดงาม? วางใจเถอะข้าไม่ได้คิดจะใช้นางเป็นเครื่องมือแม้แต่น้อย เด็กสาวผู้นี้ถือได้ว่าเป็นคนที่ข้าเลี้ยงดูมาตั้งแต่เด็กจนนางเติบโต ข้าเพียงคิดว่าถึงเวลาแล้วที่นางจะมีครอบครัวเป็นของตนเอง" น้ำเสียงของเหลิงหยู่ผ่อนคลายลงไปเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่าคำพูดทุกๆอย่างออกมาจากจิตใจของนาง

"หนทางข้างหน้าของข้าเต็มไปด้วยอันตรายมากมาย ข้าไม่มีเวลามาสนใจสิ่งที่เรียกว่าความรักหรอก" มู่อี้พูดพร้อมกับส่ายศีรษะ

ฉีหยูเหลือบมองมาที่มู่อี้ด้วยสายตาสงสาร แล้วจากนั้นนางก็ปิดตาลงไปทันที

"เจ้าช่างเป็นคนที่แปลกประหลาดจริงๆ" เหลิงหยู่หัวเราะ

มู่อี้เพียงแค่ยิ้มแต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธคำพูดของอีกฝ่าย สิ่งที่เขาพูดไปนั้นย่อมมาจากใจเพราะในตอนนี้เขาไม่เคยคิดถึงเรื่องความรักเลย สิ่งเดียวที่เขาคิดก็คือตามหาศพของท่านปู่จากนั้นก็กลับไปอาศัยอยู่ที่ภูเขาฟุเนียว ไม่ข้องเกี่ยวกับยุทธภพอีกต่อไป

"หยูเอ้อร์อยากอยู่เคียงข้างรับใช้นายหญิงเท่านั้นเจ้าค่ะ ไม่เคยคิดอยากจะไปไหน" ฉีหยูพูดเบาๆขึ้นมาทันทีดูเหมือนว่าเป็นเพราะการปฏิเสธของมู่อี้ก่อนหน้านี้ แม้ว่าอยู่ที่นี่นางจะเป็นเพียงแค่คนรับใช้คนหนึ่งแต่ตัวตนที่แท้จริงของนางนั้นเป็นถึงหนึ่งในหัวหน้ากลุ่มย่อยทั้ง 12 คน ไม่ได้ถือว่าต้อยต่ำเลย

"เด็กโง่" เหลิงหยู่ส่ายศีรษะ จากนั้นก็มองมาที่มู่อี้แล้วพูดว่า "ในเมื่อเจ้าไม่ต้องการเช่นนั้นข้าก็ไม่อาจบอกเรื่องที่เจ้าอยากรู้ได้ เจ้าเองก็น่าจะรู้ดีว่าข้าไม่อยากกลายเป็นคนไม่รักษาคำพูดหรอก"

เมื่อได้ยินคำพูดของเหลิงหยู่ มู่อี้ก็รู้สึกพูดไม่ออกทันที อีกฝ่ายตกลงกับผู้อาวุโสโม่ไว้แล้วว่าจะไม่บอกเขา  แต่ถ้าหากเขายอมทำตามเงื่อนไขของนาง นางก็จะยอมบอกเรื่องนี้กับเขา นี่เรียกว่ารักษาคำพูดหรือ? มันก็แค่เขาไม่ยอมทำตามเงื่อนไขที่นางต้องการเท่านั้น

มู่อี้ย่อมอยากรู้ว่าศัตรูของท่านปู่เป็นใคร แต่จากที่ผู้อาวุโสโม่เคยพูดเอาไว้ด้วยความแข็งแกร่งของเขาในตอนนี้การได้รู้เรื่องนี้ไม่ใช่สิ่งที่ดีสำหรับเขา ดังนั้นเขาจึงไม่ได้ไขว่คว้าหาคำตอบมากนักและปล่อยให้มันเป็นไปตามปกติ เขาเชื่อว่าสักวันหนึ่งเขาจะได้รู้เรื่องนี้แน่นอน

"เช่นนั้นแล้วเรามาพูดถึงเรื่องต่อไปกันเถอะ" เหลิงหยู่พูดต่อ "เจ้าอยากจะรู้ว่าตราหยกชิ้นนั้นมันคืออะไรใช่ไหม?"

"ข้าก็พอรู้มาบ้าง มันเป็นตราหยกของฮ่องเต้หลิวเต๋อและเป็นกุญแจที่ใช้เปิดสุสานของเขา ตามตำนานกล่าวไว้ว่าเขาได้รวบรวมหนังสือมากมายในโลกใบนี้เอาไว้ หนึ่งในนั้นก็คือหนังสือที่มีชื่อว่าพระสูตรเจ็ดสัญลักษณ์ของยันต์หยิน ซึ่งเป็นหนังสือที่แปลกประหลาดและมีความเกี่ยวข้องกับทัณฑ์สวรรค์สาป" มู่อี้พูดทุกอย่างที่เขาได้รู้มาจากประมุขเฉียน

"มีทั้งเรื่องจริงและก็เรื่องไม่จริง" เหลิงหยู่ตอบกลับมา

"เช่นนั้นก็โปรดบอกข้าด้วย" มู่อี้พูดต่อ

"หนังสือพระสูตรเจ็ดสัญลักษณ์ของยันต์หยินบรรยายถึงเต๋าแห่งจิตใจและจิตวิญญาณในยุคสมัยนั้น ก่อนหน้านั้นก็มีผู้คนที่บ่มเพาะพลังชี่ในร่างกายเพียงแต่ไม่ได้มีการบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษร หนังสือเล่มนี้มีผลไม่มากนัก ส่วนความลับของทัณฑ์สวรรค์สาปถ้าหากจะพูดตามตรงมันก็ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับเรื่องนี้เลย" เหลิงหยู่ตอบกลับมา

"อะไรกัน? ไม่เกี่ยวข้องหรือ?" มู่อี้ตกตะลึง ที่เขารู้สึกสนใจก็เพราะมันมีความลับของทัณฑ์สวรรค์สาปซ่อนอยู่แต่คำพูดของเหลิงหยู่กลับบอกว่ามันไม่เกี่ยวข้องกัน หรือว่าประมุขเฉียนจะโกหกเขาเรื่องนี้?

จากนั้นมู่อี้ก็นึกถึงคำพูดของเหลิงหยู่ในตอนแรกที่นางพูดว่ามีทั้งเรื่องจริงและก็เรื่องไม่จริง ดังนั้นมู่อี้จึงไม่ได้เร่งรัดเอาคำตอบของเรื่องนี้และตั้งใจฟังเหลิงหยู่พูดต่อไปเงียบๆ

เหลิงหยู่เหลือบมองมาที่มู่อี้และดูเหมือนว่านางจะประหลาดใจเล็กน้อยที่มู่อี้สามารถเข้าใจได้อย่างรวดเร็ว นางไม่ได้กลั่นแกล้งมู่อี้และพูดต่อไปว่า "สิ่งที่เรียกว่าทัณฑ์สวรรค์สาปนั้นแท้จริงแล้วมันคือหายนะที่ร่วงหล่นลงมาจากสวรรค์ มันถึงได้ชื่อว่าทัณฑ์สวรรค์สาป ทุกๆคนเกิดมาพร้อมกับทัณฑ์สวรรค์สาปในร่างกาย ทุกๆคนต่างก็มี 6 ความปรารถนา 7 อารมณ์ ความทุกข์ทั้ง 8 ประการ สิ่งเหล่านี้ต่างก็เป็นทัณฑ์สวรรค์สาปที่แสดงให้เห็นอย่างชัดเจน แม้แต่สวรรค์และโลกก็ยังมีสิ่งที่เรียกว่าการล่มสลาย 5 ครั้งใหญ่ นับประสาอะไรกับมนุษย์"

เหลิงหยู่หยุดพูดไปครู่หนึ่งจากนั้นก็เหลือบมองไปที่เนี่ยนหนิวเอ้อร์ที่ยังคงอยู่เคียงข้างมู่อี้แล้วพูดต่อไปว่า "มนุษย์และดวงวิญญาณทุกๆดวงต่างก็มีทัณฑ์สวรรค์สาปอยู่ภายในจิตใจ แต่ส่วนใหญ่แล้วทัณฑ์สวรรค์สาปจะเป็นเพียงแค่ส่วนเล็กๆเท่านั้น มีบางคนเท่านั้นที่สวรรค์รักมากเป็นพิเศษ มนุษย์ก็จะมีจิตใจแห่งเต๋ามาตั้งแต่กำเนิด วิญญาณก็จะมีสติปัญญามาตั้งแต่กำเนิด ปีศาจก็จะมีการวิวัฒนาการตั้งแต่กำเนิด สิ่งเหล่านี้ล้วนแต่เป็นตัวบ่งบอกว่าคนเหล่านั้นได้รับความรักจากสวรรค์ แต่ความรักจากสวรรค์บางครั้งมันก็ไม่ใช่เรื่องที่ดี เพราะมันจะทำให้คนเหล่านั้นต้องเผชิญหน้ากับเรื่องราวที่ยากลำบากมากมายในชีวิตโดยที่ไม่อาจปฏิเสธได้เลย เมื่อพวกเขาได้รับความรักจากสวรรค์แล้วสิ่งที่พวกเขาต้องแบกรับต่อไปคือสิ่งที่เรียกว่า ความไม่รู้"

แม้ว่าเนี่ยนหนิวเอ้อร์จะรู้สึกไม่พอใจเหลิงหยู่แต่นางก็ตั้งใจฟังเป็นอย่างดี เมื่อนางได้ยินเหลิงหยู่พูดขึ้นมาเช่นนี้ใบหน้าของนางก็ซีดขาวไปอย่างเห็นได้ชัด นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่นางได้ยินเรื่องราวเช่นนี้ มันทำให้นางนึกถึงคำพูดของเจี่ยเหรินในตอนนั้น ช่วงเวลานั้นมู่อี้ต้องใช้เวลาปลอบโยนนางอย่างยาวนานและทำให้จิตใจของนางฟื้นฟูกลับมาเป็นปกติในช้าๆ

น่าเสียดายที่ในวันนี้เหลิงหยู่พูดเรื่องนี้ขึ้นมาอีกครั้ง ครั้งนี้แม้ว่ามู่อี้อยากจะให้อีกฝ่ายหยุดพูดแต่มันก็สายเกินไปแล้ว และถ้าหากมู่อี้ทำแบบนั้นมันคงทำให้เนี่ยนหนิวเอ้อร์ยิ่งคิดมากแน่นอน

"ความไม่รู้งั้นหรือ? ข้าไม่เคยเชื่อเรื่องพวกนี้มาก่อนเลย" มู่อี้ตอบกลับมาอย่างหนักแน่น คำพูดของเขาถือเป็นการตอบทั้งเหลิงหยู่และเนี่ยนหนิวเอ้อร์ เพื่อย้ำเตือนให้นางไม่ต้องคิดมาก

"ฮ่าๆๆ เด็กน้อยเจ้าคิดอย่างไรล่ะ? อยากจะมาอยู่กับข้าหรือไม่? ข้าไม่กลัวสิ่งที่เรียกว่าความไม่รู้หรอกนะ" เหลิงหยู่มองไปที่เนี่ยนหนิวเอ้อร์

"หนิวเอ้อร์จะอยู่กับพี่ชายคนเดียว" เนี่ยนหนิวเอ้อร์ปฏิเสธทันที

"เหตุใดท่านผู้ดูแลธงแห่งซวนหมิงถึงกลั่นแกล้งเด็กสาวเช่นนี้? " มู่อี้พูดขึ้นมาทันที ในเมื่อเขาหยุดไม่ให้เหลิงหยู่พูดไม่ได้ เขาย่อมรู้ดีว่าสิ่งที่เรียกว่าความไม่รู้นั้นไม่ใช่สิ่งที่จะจัดการได้ง่ายๆ แต่เด็กสาวยังต้องเผชิญหน้ากับผู้ที่ผ่านเข้ามาในชีวิตอีกมากมาย เหมือนกันก่อนหน้านี้ที่เหลิงหยู่ก็พูดจาหยอกล้อเนี่ยนหนิวเอ้อร์จนทำให้นางรู้สึกสับสนและคิดไปไกล เนี่ยนหนิวเอ้อร์จะรู้สึกหวาดกลัวกับสิ่งที่เรียกว่าความไม่รู้หรือไม่นะ?

"เอาล่ะ เจ้าช่างน่าเบื่อพอๆกับเจ้านายของเจ้าเลย" เหลิงหยู่ส่ายศีรษะและพูดต่อไปว่า "ทุกๆสิ่งล้วนมีสองด้านทั้งหยินและหยาง มันเหมือนกับขาวกับดำ ความผิดและความถูกต้อง ความจริงแล้วเรื่องนี้ก็มีประโยชน์อยู่บ้างมันคืออันตรายที่มาพร้อมกับโอกาส ตราบใดที่เจ้าสามารถเผชิญหน้ากับสิ่งที่เรียกว่าความไม่รู้นั้นได้เจ้าก็จะได้รับประสบการณ์และผลประโยชน์มากมาย ถ้าหากเจ้าและเด็กสาวผู้นี้เติบโตขึ้นไปได้เรื่อยๆในอนาคต บางทีพวกเจ้าทั้งสองคนอาจจะฝ่าฟันไปได้จนถึงระดับความยากขั้นที่ 3 ของการฝึกฝนจิตใจ"

"ระดับความยากขั้นที่ 3 ของการฝึกฝนจิตใจ?" มู่อี้จ้องมองมาที่เหลิงหยู่ ดูจากคำพูดของอีกฝ่ายแล้วเขาก็รู้สึกได้อย่างคลุมเครือว่าผู้หญิงคนนี้อยากจะก้าวเข้าสู่ระดับความยากขั้นที่ 3 ของการฝึกฝนจิตใจเหมือนกัน แม้แต่ท่านปู่ที่เป็นอาจารย์ของเขาก็ยังติดอยู่ในขั้นนี้ มู่อี้ไม่รู้ว่าเขาจะผ่านพ้นมันไปได้หรือไม่

แม้ว่าเหลิงหยู่จะไม่ได้พูดทั้งหมด แต่จากที่นางเปิดเผยมานั้นผู้ที่นางรู้จักและผ่านเข้าไปยังระดับความยากขั้นที่ 3 ของการฝึกฝนจิตใจได้มีเพียงแค่ประมุขของกลุ่มทูตแห่งซวนหมิงเท่านั้น ในขณะเดียวกันเขาก็เข้าใจแล้วว่าทำไมผู้คนที่รู้ว่าเขามีดวงวิญญาณที่มีสติปัญญาตั้งแต่กำเนิดในครอบครองต่างก็รู้สึกตกตะลึง เพราะมันเหมือนกับว่าพวกเขาได้เห็นหนทางในการก้าวเข้าสู่ระดับความยากขั้นที่ 3 ของการฝึกฝนจิตใจ ไม่ว่ามันจะยากลำบากมากเพียงใดแต่ก็ยังดีกว่าบ่มเพาะมาทั้งชีวิตแต่ก็ยังมองไม่เห็นความหวังใดๆใช่ไหม?

"เจ้าเคยได้ยินเรื่องพวกนี้มาก่อนไหม? ไม่ต้องคิดเรื่องนี้ให้มากนักหรอกแต่ข้าก็หวังว่าเจ้าจะทำให้ข้าก้าวไปยังระดับความยากขั้นที่ 3 ของการฝึกฝนจิตใจได้สำเร็จ" เมื่อเห็นโอกาสที่ดีเช่นนี้มู่อี้ก็หันมาปลอบโยนเนี่ยนหนิวเอ้อร์

หลังจากได้ยินคำพูดของมู่อี้ เนี่ยนหนิวเอ้อร์ก็พยักหน้าอย่างหนักแน่น แม้ว่านางจะไม่เข้าใจสิ่งที่เขาพูดแต่อย่างน้อยนางจะทำให้สำเร็จให้ได้

เมื่อเห็นเช่นนี้มู่อี้ก็รู้สึกโล่งใจขึ้นมาด้วยเช่นกัน ตราบใดที่เนี่ยนหนิวเอ้อร์สบายใจ ความไม่รู้หรืออะไรนั่นจะทำอะไรนางได้? ใช่ว่าตลอดเส้นทางแห่งการบ่มเพาะที่เขาเดินทางมาจะไม่มีอุปสรรคใดๆเลย?

"แล้วพระสูตรเจ็ดสัญลักษณ์ของยันต์หยินสามารถทำให้ผู้คนเข้าถึงระดับความยากขั้นที่ 3 ของการฝึกฝนจิตใจได้หรือไม่?" จากนั้นมู่อี้ก็มองมาที่เหลิงหยู่และถามขึ้นมาทันที ตามที่นางพูดเอาไว้ก่อนหน้านี้ดูเหมือนว่าหนังสือเล่มนี้จะไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องทัณฑ์สวรรค์สาปแต่นางก็ยังต้องการมัน ถ้าหากทัณฑ์สวรรค์สาปเป็นหนทางที่จะก้าวไปสู่ระดับความยากขั้นที่ 3 ของการฝึกฝนจิตใจ ได้ เช่นนั้นก็หมายความว่าพระสูตรเจ็ดสัญลักษณ์ของยันต์หยินก็ย่อมมีประโยชน์ในการก้าวเข้าสู่ระดับความยากขั้นที่ 3 ของการฝึกฝนจิตใจ

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด