11.อย่ากลัวเลย ข้าจะอยู่เป็นเพื่อนท่านเอง
หลิ่วเจินโอบกอดคนผู้นั้นจากด้านหลัง รู้สึกเพียงว่าคนผู้นี้ตัวช่างเย็นจัด ทั้ง ๆที่ห่มผ้านวมผืนหนาแล้ว ทว่าตัวก็ยังคงเย็นอยู่ดี นางจงใจเอ่ยเสียงนุ่มนวลอ่อนโยน “อย่ากลัวเลย ข้าจะอยู่เป็นเพื่อนท่านเอง จะไม่มีใครรังแกท่านได้”
เป็นเพราะถ้อยคำนี้ ทั่วทั้งร่างของกู้หรูเฟิงดูคล้ายว่าจะสงบระงับ ชายหนุ่มถูกอีกฝ่ายโอบกอดแนบแน่นตลอดทั้งคืน เขารู้สึกถึงความอบอุ่นทางเบื้องหลัง แม้กระทั่งฝันร้ายที่คอยตามหลอกหลอนเขา ก็มลายหายไปสิ้น
คืนนี้คนทั้งสองต่างนอนหลับสนิทเป็นพิเศษ
ยามตื่นขึ้นมาด้วยความงัวเงีย กู้หรูเฟิงพบว่าตนเองอยู่ในอ้อมกอดของหลิ่วเจิน คนทั้งสองต่างไม่เคยแนบชิดสนิทใกล้กันขนาดนี้มาก่อน ใบหน้าชายหนุ่มพลันแดงก่ำราวกับจะคั้นออกมาเป็นโลหิต ทว่ากลับไม่กล้าโวยวาย เพราะตระหนักว่าตนเองก็กอดอีกฝ่ายเช่นกัน อีกทั้งยามผล็อยหลับไปนั้น มือตนอาจจะเคลื่อนไปกอดอีกฝ่ายโดยไม่รู้ตัวก็เป็นได้ ครั้นแล้วชายหนุ่มจึงค่อย ๆบรรจงเลื่อนมือของหลี่วเจินออกจากร่างตนอย่างแผ่วเบาที่สุด จากนั้นจึงนอนลงแล้วแสร้งทำเป็นหลับ เหนืออื่นใด เมื่อเจอสถานการณ์อันน่ากระอักกระอ่วนเช่นนี้ การไม่ทำตัวกระโตกกระตากถือเป็นทางออกที่ดีที่สุด
อีกอย่าง เขารู้สึกแปลกๆในใจ ชัดเจนว่า หากคนทั้งสองพัวพันใกล้ชิดกันมากกว่านี้อีกนิด พวกเขาคงต่างมีแต่ความเบื่อหน่ายจนไม่อยากสนทนากันเป็นแน่
แต่เหตุใดความรู้สึกในยามนี้ ถึงมีแต่ความขัดเขินเล่า?
ชายหนุ่มเพิ่งค้นพบประเด็นนี้ แต่ก็ไม่กล้าขุดลึกลงไป จึงรีบปัดมันทิ้งไปเสีย
ทางฟากหลิ่วเจิน นางตื่นก่อนชายหนุ่มเสียอีก สาเหตุที่นางแกล้งทำเป็นหลับ ก็เพราะตนเองก็รู้สึกขัดเขินเหมือนกัน และเมื่อเห็นผู้อื่นเขินอายยิ่งกว่าตน จึงนึกสนุก และบังเกิดความคิดอยากเย้าแหย่อีกฝ่ายเล่นดูสักหน่อย
นางจึงจงใจยกขาพาดเอวอีกฝ่าย และให้รู้สึกฉงนในใจ เดิมทีเจ้าของร่างเดิมกับกู้หรูเฟิงต่างป็นสามีภรรยากัน อย่าบอกนะว่าสองคนนี้ไม่เคยพัวพันใกล้ชิดกันมาก่อน ดังนั้นพอนางแสดงท่าทีเช่นนั้นออกมา จึงทำให้เขารู้สึกขัดเขินใช่หรือไม่?
พอเกิดความสงสัยนี้ ก็นอนต่อไม่ลงแล้ว หญิงสาวจึงยกขาตนเองออกจากตัวชายหนุ่ม รอเวลาผ่านไปสักพัก นางจึงค่อย ๆลืมตาตื่นขึ้น พลางเหลือบตามองกู้หรูเฟิง จึงเห็นว่าอีกฝ่ายยังคงแสร้งทำเป็นหลับตามเดิม
หญิงสาวล้างหน้า สีฟัน ทำธุระส่วนตัวเสร็จ ครั้นแล้วจึงไปทำอาหารมื้อเช้าต่อ
ผ่านไปไม่นาน กู้หรูเฟิงจึงลืมตาตื่นขึ้นอีกคน ขาทั้งสองข้างของเขายังเจ็บอยู่ พอลุกขึ้นขยับขา ความปวดร้าวก็เสียดแทงขึ้นมา ทว่ายังโชคดี ที่พอเขาใช้ไม้เท้ามาช่วยพยุง ก็ทำให้สามารถลุกขึ้นยืนได้ ดังนั้นปัญหาเร่งด่วนข้อที่สาม นับว่าคลี่คลายลงได้แล้ว
วันนี้หลังจากชายหนุ่มสามารถลุกขึ้นยืนได้ ต่อมาเขาก็ลองก้าวเดินไปสองก้าว จึงพบว่าไม่รู้สึกเจ็บมากอีกแล้ว การให้หมอมารักษานับว่าได้ผลดีจริง ๆ ชายหนุ่มลังเลอยู่ชั่วขณะ ในที่สุดก็หันไปเอ่ยกับหลิ่วเจินผู้ซึ่งกำลังประกอบอาหารอยู่ “ขอบคุณนะ”
หลิ่วเจินอดยกยิ้มไม่ได้ ในที่สุดสิ่งที่ตนได้กระทำลงไป นับว่าไม่สูญเปล่า กระทั่งมือของหญิงสาวที่กำลังผัดชิ้นมันฝรั่งก็ดูว่องไวกระฉับกระเฉงขึ้นมาก เมื่อหญิงสาวยกอาหารมาวางบนโต๊ะเสร็จ จึงพูดขึ้น “ไม่จำเป็นต้องขอบคุณข้าหรอก มันเป็นสิ่งที่ข้าสมควรทำ”
กู้หรูเฟิงรู้สึกสับสนกับตัวตนของหญิงสาวตรงหน้า คราหนึ่งก็ร้ายเหลือ เปี่ยมไปด้วยเขี้ยวเล็บแหลมคนประดุจนางมาร ส่วนอีกครากลับดูเฉยเมยสงบนิ่ง ประหนึ่งน้ำนิ่งในสระ ยามนี้เขาได้เห็นภาพพจน์ทั้งสองแบบ สลับสับเปลี่ยนไปมาไม่หยุดต่อหน้าต่อตา ทำให้ผู้คนแยกแยะไม่ออกไปชั่วขณะ
ชัดเจนว่าร่างก็มีอยู่ร่างเดียว แล้วไฉนถึงได้มีสองบุคลิกเล่า?
ชาวหนุ่มพลันนึกได้ว่าเขาเคยอ่านพบในหนังสือโบราณ ซึ่งอยู่ในห้องหนังสือของตระกูล ซึ่งกล่าวว่าคนบางคนเกิดมาพร้อมกับสองบุคลิก ซึ่งถือกันว่าเป็นความเจ็บป่วยประเภทหนึ่ง บุคลิกหนึ่งนั้นจะอ่อนโยนนุ่มนวลดังสายน้ำ ส่วนอีกหนึ่งสามารถฆ่าคนได้ดั่งผักปลา ทั้งสองบุคลิกย่อมเปลี่ยนสลับกันไปมาได้ ซึ่งก็อาจเปลี่ยนคนดีให้กลายเป็นคนบ้าได้ในที่สุด
“เจ้า...บิดามารดาเจ้าเคยพาเจ้าไปให้หมอรักษาหรือไม่?”
หลิ่วเจินค่อนข้างละอายใจ รู้ดีว่าพฤติกรรมต่าง ๆที่แสดงออกมานี้ หาได้สืบทอดมาจากความทรงจำของเจ้าของร่างเดิมมากนัก ดังนั้น หญิงสาวจึงปรับสีหน้าให้นิ่งเฉย และตั้งคำถามกับอีกฝ่าย “ไฉนท่านถึงได้ถามเรื่องนี้ขึ้นมาเล่า?”
กู้หรูเฟิงเงียบไปชั่วอึดใจ และเอ่ยด้วยความใคร่รู้ “เพราะพิษพวกนั้น ซึ่งก็คือของที่เรากินกันเป็นปกติ แล้วเจ้ารู้ได้อย่างไรว่าพวกมันไม่มีพิษ? ข้าสงสัยว่าเจ้าเคยกินพวกมันมาก่อนหรือไม่ หรือเพราะบิดามารดาเจ้าพาเจ้าไปหาหมอ ดังนั้นเจ้าจึงไม่เป็นไร เจ้าถึงได้รู้ว่าของพวกนี้สามารถกินได้ใช่หรือไม่ ?”