ตอนที่แล้ว9.เชิญหมอมารักษา
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไป11.อย่ากลัวเลย ข้าจะอยู่เป็นเพื่อนท่านเอง

10.ขีดเส้นแบ่งเขต


ต้องบอกว่าหมอยุคโบราณมีความสามารถจริง ๆ หลิ่วเจินยืนดูอยู่ข้างๆด้วยความทึ่ง  นางมักให้ความสนใจอย่างยิ่งยวด กับอะไรที่เกี่ยวกับการรักษาโรคอยู่เสมอ

ทว่าหญิงสาวลืมไปว่า  ในสมัยโบราณนี้ ชายและหญิงแตกต่างกัน  ถึงแม้ยามนี้ทั้งสองเป็นสามีภรรยากัน  ทว่าพวกเขาต่างก็เป็นคนแปลกหน้าต่อกัน อย่างเช่นครานี้  เมื่อจู่ ๆก็มีหญิงแปลกมาหน้ามาจ้องขาอ่อนของตน กู้หรูเฟิงให้รู้สึกกระอักกระอ่วนขึ้นมานิดๆ

ส่วนหลิ่วเจินเองมิได้สนใจสิ่งใด จึงมิอาจจับสังเกตความผิดปกติของอีกฝ่าย หลังจากรอจนท่านหมอจับชีพจรตรวจอาการเสร็จแล้ว ท่านหมอได้เขียนใบสั่งยาให้  เพราะรู้ว่าอีกฝ่ายหกล้มขาหัก เขาจึงจัดเตรียมยา 2-3เทียบ ไว้ให้คนไข้ล่วงหน้า พอหญิงสาวส่งท่านหมอไปแล้ว  ตนเองจึงนำยาที่ได้ไปต้ม  พอต้มเสร็จก็ถือถ้วยยามาตรงหน้ากู้หรูเฟิง

กู้หรูเฟิงเองก็ดื่มยาด้วยความดีใจ   หลังจากดื่มยาเสร็จ หญิงสาวจึงยื่นน้ำให้ชายหนุ่มกลั้วปาก  ครั้นแล้วจึงเอาข้าวของที่กองระเกะระกะบนโต๊ะไปเก็บ จากนั้นหญิงสาวจึงไปเอายาขึ้ผึ้งที่หมอให้มา  และเตรียมถกขากางเกงของอีกฝ่าย

ชายหนุ่มหน้าแดง  รู้สึกเขินอายนิดๆ   ครั้นแล้วจึงเอ่ยอย่างค่อนข้างจริงจัง “เรื่องแบบนี้ให้ข้าทำเองเถอะ”

บุรุษผู้นี้ถึงขาหัก แต่มือหาได้บาดเจ็บไม่ ดังนั้นหลิ่วเจินจึงไม่คัดค้าน พลางพยักหน้าให้อีกฝ่าย  หญิงสาวส่งยาขี้ผึ้งให้ชายหนุ่มทาเอง  แล้วตรงไปขึ้นเตียงเพื่อนอนพัก

พอเห็นการกระทำของหลิ่วเจิน  คิ้วของกู้หรูเฟิงจึงขมวดลึกขึ้น  “ในเมื่อเราสองคน ได้พูดคุยถึงเรื่องจุดยืนของแต่ละฝ่ายกันจนกระจ่างในคราก่อนแล้ว  แล้วเหตุใดถึงไม่ขีดเส้นแบ่งเขตกันให้ชัดเจนเล่า? ระหว่างเจ้าและข้านับเป็นคนแปลกหน้าต่อกัน  ตามหลักแล้ว พวกเราควรรักษาระยะห่างต่อกันไว้”

หลังจากหลิ่วเจินเหน็ดเหนื่อยมาทั้งวัน หญิงสาวจึงรู้สึกปวดหัว นางนวดหัวคิ้วขณะทอดมองชายหนุ่ม “การขีดเส้นแบ่งเขตและรักษาระยะห่างเป็นสิ่งสมควร  ทว่าสำหรับบ้านหลังใหญ่ปานนี้น่ะ หากขีดเส้นแบ่งเขตกันแล้ว ข้าจะสามารถขยับตัวไปทางไหนได้บ้างล่ะ? ท่านมิต้องทำท่าทางราวกับกลัวข้าจะกินท่านหรอก ข้ามิได้สนใจเลย หลังปีใหม่นี้ หากขาท่านรักษาหายแล้ว เราสองคนก็ต่างคนต่างไป และมิต้องเจอะเจอกันอีกเลยตลอดชีวิต”

ถ้อยคำที่หญิงสาวกล่าวออกมาค่อนข้างรุนแรง ซ้ำยังเจือความหงุดหงิดหน่อย ๆ

กู้หรูเฟิงเงียบปากโดยพลัน  ชายหนุ่มครางฮึ่มฮั่มในลำคอ  พลางละเลงยาไปบนขาอย่างลวกๆ แล้วนอนลง

ในเตียงที่เล็กและแคบ ซึ่งทั้งสองต้องนอนด้วยกัน แต่ละคนต่างฝ่ายต่างนอนหันหลังชนกัน  และเพราะมีผ้านวมเพียงผืนเดียว ทั้งสองคนจึงจำต้องนอนชิดกัน  และในเมื่อแต่ละฝ่ายต่างมีเสื้อผ้าอยู่ครบ มิได้เปลือยกายเสียหน่อย  จึงไม่ทำให้ผู้คนขวยเขินเกินไปนัก

ยามนี้ดึกแล้ว เทียนที่จุดไว้ก็ดับลงแล้ว รอบ ๆกายมีแต่ความมืดมิด  ได้ยินเพียงเสียงลมข้างนอกที่พัดอื้ออึงไม่ขาดสาย ซึ่งมากระทบหน้าต่างจนดังปึงปัง

ถึงแม้มีเสียงหนวกหูอยู่รอบกาย แต่เพราะความเหนื่อยล้า หลิ่วเจินจึงค่อยๆปิดเปลือกตาลงช้า ๆ  ยามนอนหลับไปจนถึงกลางดึก  พลันได้ยินเสียงคนข้างตัวตะโกนขึ้นอย่างดุดัน “ฟ้าดินให้กลับชาติมาเกิดใหม่  เจ้าจะไม่มีจุดจบดีแน่!”

น้ำเสียงที่ได้ยินสุดแสนห้วนกระด้าง หลิ่วเจินลุกขึ้นนั่ง และตระหนักได้ว่า นั่นเป็นเสียงของกู้หรูเฟิงซึ่งนอนอยู่ข้างๆ คิ้วของชายหนุ่มยับย่น และที่หางตามีหยดน้ำตาคลอ

หญิงสาวรู้สึกคลับคล้ายคลับคลา ดูเหมือนว่าตระกูลเขาจะประสบเภทภัย และมีเขาเหลือรอดชีวิตอยู่ผู้เดียว ยามนี้ น่ากลัวว่าเขาคงฝันร้ายอยู่

น่าสงสารจัง ถูกรบกวน แม้แต่ในฝัน  นี่คงผ่านเรื่องทุกข์ยากแสนลำเค็ญมาสินะ?

ภายใต้แสงจันทร์ สามารถมองเห็นกู้หรูเฟิงผู้ซึ่งกำลังนิ่วหน้า บนใบหน้าชายหนุ่มปรากฏรอยแผลเป็นที่ยังคงเห็นเด่นชัด ทว่าคิ้วของเขาช่างงดงามจริง ๆ ทั้งเข้มดำยาวเลยไปถึงขมับ และดวงตาดอกท้อเป็นประกายคู่นั้น แม้ตอนนี้ยังปิดอยู่  แต่เมื่อตื่นจากนิทราคราใด จะมีรูปทรงโค้งงดงาม จมูกชายหนุ่มโด่งเป็นสัน  ส่วนริมฝีปากสีแดงสด เม้มแน่น เผยให้เห็นความวิตกกังวลซึ่งมาจากก้นบึ้งของจิตใจ

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด