3.สิ่งที่ต้องทำหลังฟื้นคืน
หลิ่วเจินเฝ้าดูเหตุการณ์ด้วยความไม่สบายใจ ตอนนี้นางเป็นแค่วิญญาณ ยังจะสามารถทำอะไรได้เล่า เมื่อไม่สามารถทนมองต่อไปได้อีก หญิงสาวจึงเบือนหน้าหนี ทว่าทันใดนั้น ก็รู้สึกเหมือนมีแรงสายหนึ่งฉุดตนไว้ไม่ปล่อย และร่างทั้งร่างก็โดนดูดเข้าไป
เจ็บจัง
นางเปิดเปลือกตาด้วยความงุนงง แล้วลุกขึ้นนั่ง พลางกวาดสายตาสะเปะสะปะไปรอบ ๆ พลันเห็นกู้หรูเฟิงนอนสลบอยู่ที่เดิม จึงคิดเดินไปที่นั่น หวังช่วยคนที่กำลังนอนหมดสติอยู่
นางหาใช่คนโง่ไม่ พูดได้ว่าเป็นคนฉลาดมากคนหนึ่ง หญิงสาวพลันตระหนักบางอย่างขึ้นมาได้ จึงรีบแบกชายผู้นี้ไปนอนบนเตียงโดยไว ซ้ำยังเร่งเปิดหน้าทุกบานโดยด่วน หมอกควันหนาที่คละคลุ้ง จึงจางลงไปมาก
ยามนี้นางช่วยชีวิตได้หนึ่งคนแล้ว แต่ออกจะงุนงงสับสน เพราะยามนี้ในบ้านมีเพียงกู้หรูเฟิงคนเดียวเท่านั้น ไม่เห็นหญิงนางนั้นที่มีชื่อแซ่เดียวกับตนเองอยู่เลย และการที่สามารถแบกคนได้แทนที่จะทะลุผ่านร่างไป สามารถชี้ชัดได้ข้อหนึ่ง
เมื่อเดินไปเงียบๆตรงหน้าคันฉ่องบานเล็กหนึ่งเดียวในมุมหนึ่งของบ้าน เป็นดังที่คาด คันฉ่องทองแดงที่ค่อนข้างมัวซัว ทว่ายังพอมองเห็นภาพสะท้อน ที่ตรงกลางคันฉ่องนั้น ปรากฏใบหน้าหญิงสาวที่อ่อนหวานน่ารัก แต่เยือกเย็น ยามไม่พูด ดวงตาดูเหลือกเล็กน้อยเจือร้ายนิดๆ
ถึงแม้หลิ่วเจินผู้เป็นแพทย์ได้ตายไปแล้ว แต่ไม่เคยแม้แต่จะคิดว่า ตนเองจะกลับมามีชีวิตอีกครั้ง เนื่องจากอายุขัยที่โลกนั้นได้หมดลงแล้ว ทว่าตอนนี้นางกลับได้ชีวิตคืนมาในร่างของสตรีแสนร้ายกาจผู้นี้ ซึ่งไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดที่ไม่อาจหยั่งรู้ได้ก็ตาม ในเมื่อมาแล้ว นางก็ได้แต่ทำใจให้เยือกเย็นเพียงเท่านั้น
บ้านหลังเล็กผุพังโกโรโกโส ซึ่งตัวบ้านมีเนื้อที่น้อยกว่า 40 ตารางหมี่ ข้าวครึ่งไห และชายทุพลภาพคนหนึ่ง คือสิ่งที่หลิ่วเจินครอบครองอยู่ในขณะนี้
ภารกิจเพื่อให้มีชีวิตรอดต่อไปก็คือ การหาวิธีอยู่รอดจนผ่านพ้นเหมันต์ฤดูครานี้ เพราะความหนาวอันทารุณใกล้จะมาเยือนในไม่ช้านี้แล้ว
ยังมีเวลาเหลืออีกครึ่งเดือนก่อนจะประสบความหนาวสุดแสนหฤโหด และยังพอมีเวลาอีกเล็กน้อยสำหรับการเตรียมการ ยามนี้สิ่งที่สำคัญเร่งด่วนก็คือชายผู้นี้
หลิ่วเจินช่วยพยุงเขานอนดีๆ จากนั้นจึงห่มผ้าให้เขาด้วยผ้าห่มที่มีผืนเดียวในบ้าน เมื่อเอามืออังที่หน้าผากชายหนุ่ม ก็พบว่าร้อนเป็นไฟ ดูท่าไข้จะขึ้นสมอง
หญิงสาวรีบไปต้มน้ำโดยไว เคราะห์ดีที่พอมีฟืนเหลืออยู่บ้าง พอน้ำเดือดก็ปล่อยทิ้งไว้ให้เย็นลงจนอุ่น จึงนำมาป้อนคนไข้ หลังจากปิดประตูหน้าต่างเสร็จแล้ว หญิงสาวจึงถอดอาภรณ์ของกู้หรูเฟิงออก
แค่เห็นแวบแรก ก็รู้ว่าบุรุษผู้นี้ทำงานใช้แรงหนักๆไม่ได้ ร่างกายเขาผ่ายผอมและซีดขาวอย่างที่สุด บนร่างนอกจากรอยแผลที่เหลือไว้เพราะขาหัก ก็ไม่มีบาดแผลอื่นใดอีก เขามีช่วงไหล่ที่กว้าง มีโครงร่างกายเป็นทรงสามเหลี่ยมคว่ำ ขายาวเรียวงาม สะโพกสอบ ดูสูงเพรียว ถึงจะบาดเจ็บอยู่ ก็แทบปิดบังความงามที่มีอยู่มิได้
หลิ่วเจินเอาผ้าเช็ดหน้าชุบน้ำอุ่น เช็ดตัวอีกฝ่ายไม่หยุด ซ้ำยังเอาผ้าเช็ดหน้าอีกผืนวางซับบนหน้าผากเพื่อลดไข้อีกด้วย
เมื่อไข้ไม่สูงมากแล้ว วิธีทำให้ตัวเย็นลงดีที่สุดก็คือ การให้คนไข้ดื่มน้ำอุ่นมาก ๆ และยังต้องคอยเช็ดตัวให้เป็นระยะ ๆด้วย
กว่ากู้หรูเฟิงจะฟื้นคืนสติ ก็ปาเข้าไปเช้าวันใหม่แล้ว นอกจากผ้าห่มผืนหนาที่คลุมกายแล้ว ตัวเขามีแต่ตัวเปลือยเปล่าไร้อาภรณ์ ชายหนุ่มรู้สึกอับอายอยู่บ้าง รีบกระเสือกกะสนลุกขึ้นนั่ง จึงได้เห็นหลิ่วเจินกำลังยุ่งมือเป็นระวิงอยู่ ซึ่งไม่มีอะไรนอกจากกำลังต้มโจ๊ก
“ตื่นแล้วรึ?”
หลิ่วเจินประคองถ้วยโจ๊กส่งให้ชายหนุ่ม “กินเองไหวไหม”
กู้หรูเฟิงไม่ยื่นมือมารับ ทั้งไม่กล่าวอันใด ทว่าท้องชายหนุ่มกลับส่งเสียงร้องประท้วง
นางไม่ถือสา เหตุผลทั้งมวลก็เพราะ เจ้าของเดิมของร่างนี้ทำเรื่องร้ายกาจเกินรับได้มาก่อน หญิงสาวตักโจ๊กขึ้นมา แล้วยื่นจ่อถึงปากอีกฝ่าย “ก่อนหน้าข้าทำผิดไป ข้าไม่ควรกระทำเยี่ยงนั้นเลย โปรดยกโทษให้ข้าด้วย”
“ไม่จำเป็น เป็นข้าที่ไร้ความสามารถเอง” กู้หรูเฟิงมีสีหน้าหม่นหมอง พลางหลุบตาลงต่ำ ขนตาชายหนุ่มงอนยาวละเอียดเป็นแพมองดูคล้ายพัดอันเล็ก ๆ ชายหนุ่มรู้สึกขมขื่นใจ นิ้วมืออันเรียวยาวสั่นน้อย ๆ เขายังคงปฏิเสธโจ๊ก แล้วเอ่ยเสียงเนือย “ในบ้านมีข้าวไม่พอกิน เจ้ากินก่อนเถิด ข้าไม่หิว”