ตอนที่แล้วบทที่ 126
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 128

บทที่ 127


เปรี้ยง เปรี้ยง เปรี้ยง ปราณดาบสีแดงปลิวว่อนลงมาจากท้องฟ้า เสียงร้องคำรามจากกิเลนอัสนีที่พุ่งเข้าขย้ำหนอนทะเลทรายตัวใหญ่ ปราณมีดสีม่วงและสีฟ้าพุ่งเข้าปะทะแมงป่องยักษ์ตัวใหญ่ เปรี้ยง เปรี้ยง เปรี้ยง เศษชิ้นส่วนกระจายเกลื่อนเต็มพื้น ทั้งสามยังคงกระหน่ำฟาดฟันอาวุธในมืออย่างไม่ลดละ เกือบสองค่อยสัตว์อสูรที่อยู่บริเวณนี้ก็ถูกสังหารจนสิ้น ทั้งสามยังคงออกตระเวนสังหารสัตว์อสูรอยู่ตลอดสองวัน ก็มุ่งหน้าไปที่เมืองต่อไป เช่นเดิมกับเมืองด้านหน้าผู้คนต่างหดหาย หลายคนจึงเลือกที่จะออกไปใช้ชีวิตข้างนอกไกลจากผู้คนเพราะความปลอดภัย หรืออยู่แต่ในบ้านเรือนของตนเท่านั้นประชาชนส่วนใหญ่เน้นปลูก เผือก มัน ปาล์ม ถั่วลิสง อ้อย เลี้ยงแพะและแกะสำหรับนำมาเป็นนมและเนื้อสัตว์ ทำให้หลายบ้านไม่ลำบากมากนัก

ทั้งสามเข้าไปนั่งพักในโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่ง หยางเวยไม่ลืมที่จะสอบถามข้อมูล แต่ก็ไม่ได้สิ่งใดเพิ่มเมืองนี้ยังไม่มีใครเป็นโรคระบาด แต่คนส่วนใหญ่หวาดกลัวจึงไม่คิดออกไปไหน โรงเตี๊ยมหลายแห่งปิดตัวลงเพราะไม่มีแขกจากที่เมืองอื่นเดินทาง ทั้งสามพักที่โรงเตี๊ยมแห่งนี้พอถึงรุ่งเช้าก็ออกเดินทางต่อ ตลอดการเดินทางทั้งสามตระเวนไล่ล่าสังหารสัตว์อสูรตกตายไปเป็นจำนวนไม่น้อย

“เนี่ยฟงอีกนานหรือไม่ เราจะเจอเมืองที่เจ้าว่า”

“อีกไม่กี่ลี้ด้านหน้า”

ไม่นานทั้งสามก็พอเห็นเมืองด้านหน้า ที่นี่แปลกกว่าที่อื่นเพราะยังมีคนเดินเข้าออกเมืองโดยหาได้หวาดกลัวโรคระบาดที่เป็นเช่นข่าวลือ เช่นเดิมทันทีที่เข้ามาโรงเตี๊ยมหยางเวยก็สั่งอาหารพร้อมกับสอบถาม เสี่ยวเอ้อพาทั้งสามเข้าไปนั่งโต๊ะด้านใน ทั้งสามได้รับข่าวอันน่าแปลกใจว่า กลุ่มคนพวกนั้นพักอยู่ที่เมืองแห่งนี้ได้รับการดูแลอย่างดีจากเจ้าเมือง แต่ละคนจึงได้รับผ้ายันต์สีแดงที่มีเม็ดยาอยู่ด้านในเพื่อป้องกันโรคระบาดหลายคนนำมาทำเป็นเครื่องประดับเป็นที่น่าแปลกใจไม่น้อย

“หยางเวยเจ้าเชื่อที่เสี่ยวเอ้อกล่าวหรือไม่”

“หากเป็นเช่นนั้นปราณพิษของข้าคงไร้ความหมายเสียแล้ว หากเพียงแค่พกเม็ดยาติดตัวแล้วจะป้องกันได้เช่นนั้นรึ น่าขันยิ่งนัก เหอะ ข้าว่ามีบางสิ่งแปลกๆ”

“ข้าก็คิดเช่นเจ้าเพียงแต่ว่าเรายังไม่เจอหลักฐานเอาผิดพวกมัน เราคงต้องตรวจสอบผู้ได้รับโรคร้ายนั่น ถึงจะรู้ว่าเกิดสิ่งใดขึ้น”

เย่เตาหันมามองเนี่ยฟง

“หรือว่าเราต้องไปสืบที่เมืองอื่น”

“เรื่องนั้นข้าฝากเจ้าด้วยเย่เตา ออกไปสืบข่าวว่าคนพวกนั้นเดินทางมาจากเมืองไหน เรากลับไปตรวจสอบที่นั่นไม่แน่อาจมีเบาะแสบางอย่าง”

“ได้วางใจเถอะข้าจัดการเอง”

ในระหว่างนั้นทั้งสามยังคงนั่งทานอาหารอยู่ ชั่วน้ำเดือดก็มีชายฉกรรจ์สามคนสวมชุดสีเทาเดินเข้ามากับหญิงงามนางหนึ่งสวมชุดสีฟ้า ทั้งสี่นั่งอยู่โต๊ะด้านหน้า เกือบหนึ่งเค่อที่ทั้งสามทานอาหารจนอิ่มก็เรียกเสี่ยวเอ้อมาคิดเงินพร้อมกับสอบถามข้อมูลในแผนที่สุสานโบราณที่ได้มาจากเจ้าสำนักเทาปู้หมิง ไม่นานเนี่ยฟงก็พอจะจับเส้นทางได้ ทั้งสามกำลังจะเดินออกจากโรงเตี๊ยมก็ต้องรีบหยุดเสียก่อน เมื่อด้านหน้ามีกลุ่มชายฉกรรจ์เกือบสิบคนดักทางเข้าออกโรงเตี๊ยม

“ห้ามผู้ใดเข้าออก หากยังไม่ได้รับคำสั่งจากนายน้อยติงเหวิน”

เสียงตะโกนดังมาจากด้านหลัง ชายฉกรรจ์ทั้งหลายที่ขว้างได้หน้าแหวะทางเป็นช่องมีชายหนุ่มอายุประมาณยี่สิบปี หน้าตาหล่อเหลา ผิวขาว สวมชุดสีเขียวปักเมฆสีขาวไว้ที่ชายเสื้อ ส่วนอีกคนเป็นชายหนุ่มดูมีอายุประมาณสามสิบปี ผิวคล้ำ สวมชุดสีเทาปักเมฆสีขาวไว้ที่ชายเสื้อเช่นกัน ชายหนุ่มด้านหน้าเดินเข้ามาในโรงเตี๊ยมสายตาจับจ้องไปที่หญิงงามสวมชุดสีฟ้า

“น้องหญิงซุ่นไป๋หลิน เหตุใดเจ้าถึงหลบหนีพี่ชายติงเหวินมาเช่นนี้”

หยางเวยเห็นว่าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับพวกตนจึงติดออกไปจากโรงเตี๊ยม แต่ก็ยังถูกชายฉกรรจ์ด้านหน้าขว้างไว้พร้อมกับตะโกนออกมาเสียงดัง

“ห้ามผู้ใดเข้าออก หากยังไม่ได้รับคำสั่งจากนายน้อยติงเหวิน”

แน่นอนทำให้นายน้อยติงเหวินเกิดความไม่พอใจจึงหันไปมองพวกชายหนุ่มทั้งสาม

“บัดซบพวกเจ้าเป็นใครเห็นใดถึงฟังวาจาที่กล่าวออกมาไม่รู้เรื่อง”

หยางเวยขมวดคิ้วทั้งสองขึ้นพร้อมกับก้าวเดินออกมาด้านหน้า

“พวกข้าเข้าใจในสิ่งที่คนขอท่านกล่าวคุณชาย เพียงแต่ว่าข้าและท่านหาได้รู้จักกัน อีกอย่างท่านก็มาหาแม่นางผู้นี้หาได้มาหาพวกข้า เช่นนั้นโปรดหลีกทางให้พวกข้าได้หรือไม่ อีกอย่างพวกข้าไม่อยากขัดขวางความรักของพวกท่าน”

ติงเหวินได้ยินเช่นนั้นก็ยกยิ้ม

“เช่นนั้นพวกท่านเชิญเถอะ”

ชายฉกรรจ์ด้านหน้าได้ยินก็แหวกทางให้กับชายหนุ่มทั้งสาม แต่ว่ายังไม่ทันได้เดินออกจากโรงเตี๊ยม เรื่องไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น เมื่อหญิงสาวนางนั้นเอ่ยวาจาออกมา

“ข้าตั้งใจออกจากสำนักมาหาท่าน แต่น่าเสียดายท่านกับหลีกหนีไม่อยากพบเจอข้า”

เสียงสบถดังมาจากติงเหวิน

“บัดซบ ไอ้ลูกหมาคนไหนที่น้องหญิงซุ่นไป๋หลินแอบออกมาหา พวกเข้าขว้างพวกมันทั้งสามเอาไว้”

หยางเวยรีบหันมามองติงเหวินที่ตอนนี้สีหน้าแดงก่ำเพราะความโกรธ ส่วนหญิงสาวนางนั้นจ้องมองหยางเวยด้วยสายตาอ้อนวอน เนี่ยฟงเดินเข้าไปกระซิบข้างๆหูหยางเวย

“ดูท่าว่าเราคงต้องมีเรื่องกับคนพวกนี้เสียแล้ว คุณชายหยางเวยพ่อรูปหล่อ”

“คุณชายพวกข้าเคยมาเมืองนี้เป็นครั้งแรก หาได้รู้จักกับแม่นางท่านนี้ไม่ แม่นางท่านคงทักคนผิดเสียแล้ว”

หญิงสาวนางนั้นถอนหายใจออกมาพร้อมกับหันไปจ้องมองหยางเวย

“ท่านมีหญิงอื่นอยู่ในใจหาได้มีข้าไม่ ท่านจึงคิดหลบหนีข้าตลอด”

ติงเหวินได้ยินเช่นนั้นก็ตะโกนออกมาเสียงดังลั่น

“บัดซบ พวกเจ้าจับกุมพวกมันไว้”

หยางเวยส่ายศีรษะไปมา

“คำกล่าวที่ว่า ที่ใดมีหญิงงามที่นั่นย่อมมีเรื่องวุ่นวาย เป็นจริงดั่งคำกล่าวเสียจริง”

เมื่อกล่าวจบก็ต้องโยกตัวหลับหมัดขวาของชายฉกรรจ์ด้านหน้าที่พุ่งเข้ามา ไม่รอช้าหยางเวยพุ่งทะยานเข้าประชิดต่อยหมัดขวาไปที่ปลายคาง เปรี้ยง ชายผู้นั้นกระเด็นไปชนกับกลุ่มด้านหลัง หยางเวยพุ่งออกไปด้านนอก ผัวะ ผัวะ ผัวะ เปรี้ยง เปรี้ยง เปรี้ยง เนี่ยฟงและเย่เตาจึงพุ่งเข้าไปช่วยเหลือหยางเวย ไม่นานคนของติงเหวินก็ลงไปนอนกับพื้นสร้างความโกรธแค้นยิ่งกว่าเดิม ระเบิดพลังปราณระดับสีส้มขั้นกลางออกมา ตูม พร้อมกับพุ่งหาหยางเวย ง้างหมัดขวาต่อยออกไป หยางเวยเพียงยกมือซ้ายขึ้นต้านรับ ง้างมือขวาตบไปที่ใบหน้าของติงเหวิน เพียะ แก้มซ้ายปูดบวมเป็นรอยมือ แต่ทว่าหยางเวยก็ต้องกระเด็นออกไปหน้าโรงเตี๊ยม เพราะถูกต่อยโดยชายหนุ่มอีกคนผิวคล้ำ

“เหวินซงจัดการพวกมัน”

สิ้นเสียงกล่าวของเจ้านาย เหวินซงก็พุ่งทะยานเข้าหาหยางเวย ทั้งสองแลกหมัดกันอยู่กลางถนนใหญ่ ผู้คนมากมายต่างหยุดมองดู เปรี้ยง เปรี้ยง เปรี้ยง เปรี้ยง เสียงหมัดปะทะกันเสียงดังสนั่น ในระหว่างนั้น เนี่ยฟงและเย่เตาก็จัดการกับชายฉกรรจ์ด้านในจนหมด เย่เตาไม่ลืมที่จะปลดทรัพย์คนพวกนี้ เนี่ยฟงหันไปมองก็ได้แต่ส่ายศีรษะไปมา

“เหอะ นับวันเจ้าจะติดนิสัยหยางเวยมากขึ้นแล้ว”

เนี่ยฟงและเย่เตาเดินออกมาจากโรงเตี๊ยมพร้อมกับกลุ่มของหญิงสาว โดยเป็นเย่เตาที่หิ้วคุณชายติงเหวินออกมาด้วย หยางเวยยังคงยืนแลกหมัดกับเหวินซงอย่างไม่ลดละ ไม่นานพิษของหยางเวยก็เริ่มทำงาน หยางเวยรับรู้ได้ทันทีก็แสยะยิ้ม ระเบิดพลังปราณระดับสีส้มขั้นสูงออกมาต่อยเข้าไปที่ท้องของเหวินซง เปรี้ยง หยางเวยรีบก้าวเท้าขวาใช้มือซ้ายดึงแขนเหวินซงไว้แล้วดึงเข้าหาตัวเอง หยางเวยต่อยหมัดขวาออกไปอีกครั้งที่ปลายคาง เปรี้ยง เปรี้ยง เปรี้ยง เหวินซงถึงกับสลบลงไปนอนกับพื้น และไม่ลืมที่จะปลดทรัพย์ของเหวินซง เย่เตาโยนร่างของติงเหวินลงพื้น หยางเวยหันมามองติงเหวิน

“คุณชายหวังว่าเราทั้งสองคงจะไม่พบกันอีก ข้าของตัวก่อน”

กลุ่มของหญิงสาวยืนนิ่งค้างด้วยความหวาดกลัว ตัวหญิงสาวเองนั่งตัวสั่นสะท้าน ไม่แม้แต่จะจ้องมองชายหนุ่มทั้งสาม หยางเวยหันมามองกลุ่มของหญิงสาว

“แม่นาง ข้าคงช่วยเหลือท่านได้เพียงแค่นี้ หวังว่าเราคงจะไม่ได้พบกันอีก ข้าขอตัวก่อน”

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด