ตอนที่แล้วเรื่องสยองที่ 34 : คุณเป็นใคร (Part 2)
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทส่งท้าย

เรื่องสยองพิเศษ


 

สองสัปดาห์หลังจากผมกับพี่น้ำได้คบกัน

อาทิตย์ถัดมาก็เป็นอาทิตย์สอบไฟนอลของปีสองเทอมหนึ่ง แน่นอนว่าช่วงนั้นแทบจะไม่ได้หลับไม่ได้นอนกัน เพราะเทอมนี้ทั้งเทอมเหมือนผมจะได้เข้าไปเรียนแค่สองอาทิตย์เอง แต่ยังดีที่ก่อนหน้านั้นตอนเป็นวิญญาณก็เข้าไปนั่งฟังเลกเชอร์พร้อมกับพี่น้ำด้วย พี่น้ำมาช่วยผมติวเป็นกรณีพิเศษติดต่อกันหลายวัน จนในที่สุดการสอบก็เสร็จสิ้นไปสักที คิดว่าน่าจะรอดแหละ เหมือนว่าเกรดเทอมนี้จะดีกว่าเทอมก่อนด้วยมั้ง เพราะตอนมิดเทอมผมทำคะแนนได้เยอะพอสมควร

สอบเสร็จผมและเพื่อนก็วางแผนจะไปเที่ยวกันต่อ มันเป็นเหมือนเดิมตลอดอยู่แล้วครับ ชีวิตคนเรามันต้องการการพักผ่อน ผม ไอ้คีย์ และไอ้ชาหลังพักผ่อนจากการสอบวันสองวันก็เปิดดูพันทิปหาที่ที่เที่ยวที่คนอื่นเขารีวิวมาว่าเด็ด ก็กะว่าจะตามเขาไปเก็บ หลังจากตกลงกันได้คราวนี้ สถานที่ที่พวกเราจะเดินทางไปเที่ยวคือที่สังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรีกันครับ

การเดินทางครั้งนี้แตกต่างออกไปจากทุกครั้ง เพราะพวกเราไม่ได้เดินทางไปกันเองด้วยรถยนต์หรือเครื่องบิน แต่พวกเราเดินทางด้วยรถไฟ ทริปนี้คนที่ไปก็มีทั้งหมดหกคน มีผม ไอ้ชา ไอ้อิฐ พี่น้ำ ใยไหม และพี่ฟอง รู้สึกดีขึ้นมาทันที เพราะทริปนี้

ผมไม่ได้โสดแล้ว ...

พวกเรานัดกันออกเดินทางประมาณแปดโมงเช้าที่สถานีรถไฟ แวะทานโจ๊กลองท้องก่อนออกเดินทาง การเดินทางด้วยรถไฟมีทั้งข้อดีและข้อเสีย สำหรับข้อดีคือเราได้นั่งเล่นกินลม ชมวิวกันแบบสโลว์ไลฟ์กับบรรยากาศระหว่างทาง แต่ข้อเสียก็คือกินเวลาค่อนข้างจะเยอะ แต่พวกผมก็โอเคกับมัน เพราะพวกเรามีเวลาอยู่แล้ว ตอนอยู่บนรถไฟพวกเราก็นั่งคุยกันไปเรื่อย พี่น้ำสนิทกับพี่ฟองและใยไหมอย่างรวดเร็ว จนกลายเป็นว่าทิ้งผมไปคุยกับกับแก๊งสาว ๆ โดยไม่สนใจผมเลย ส่วนสามหนุ่มอย่างพวกเราเลยได้มานั่งคุยกันเอง

“พวกมึง สาว ๆ เขาคุยกันเองไม่สนใจพวกเราเลย พวกมึงก็เหมือนกัน จะติสท์ไปไหนวะ สนใจกูบ้าง กูนั่งไม่มีไรทำอยู่คนเดียวเนี่ย” ไอ้ชาพูดบ่นออกมาเหมือนเด็กเรียกร้องความสนใจ ซึ่งตอนนี้ไอ้คีย์นั่งอยู่ตรงข้ามกับผมเอาหูฟังเสียบหู ฟังเพลงตามสไตล์ของมันพร้อมมองข้างทาง ส่วนผมก็ซึมซับบรรยากาศพร้อมกับถ่ายรูปข้างทางไปเรื่อย สงสัยการนั่งรถไฟหรือทำอะไรนาน ๆ จะไม่เหมาะกับไอ้ชา

“บ่นไรของแกชา เหงาหรอคะ”

เสียงของไหมดังขึ้นมาจากที่นั่งตรงข้ามของฝั่งพวกเรา คือพวกผมนั่งอยู่ที่ที่นั่งริมหน้าต่างรถไฟฝั่งหนึ่ง ส่วนสาว ๆ ก็นั่งอยู่ที่ริมหน้าต่างของอีกฝั่ง

“หูดีจังตัวเอง มานั่งคุยกับเขาสิ เขาไม่มีเพื่อนคุย ไอ้เพื่อนสองตัวมันติสท์แตก”

นั่น ... มีแขวะผมกับไอ้คีย์

“นั่งเงียบ ๆ ไปคนเดียวเลยย่ะ อยู่เงียบ ๆ บ้าง” ใยไหมตอบไอ้ชากลับมา

ตามมาด้วยเสียงหัวเราะของผมกับไอ้คีย์อย่างสมน้ำหน้าไอ้ชามัน

รถไฟวิ่งมาจนถึงเส้นทางสายมรณะ ซึ่งมีประวัติว่าถูกสร้างช่วงสงครามโลกครั้งที่สองโดยใช้เชลยศึกในการสร้าง ซึ่งเป็นเส้นทางที่แลกมาด้วยความโหดร้ายและทารุณ บริเวณนั้นรถไฟชะลอให้พวกเรามีเวลาถ่ายรูปเล็กน้อย นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่มาเที่ยวแบบพวกเราก็ออกไปดูวิวตรงประตูระหว่างทางขึ้นรถไฟเยอะเหมือนกัน ผมเองก็เก็บภาพมาได้หลายรูปเลย

เวลาล่วงเลยมาจนเกือบเที่ยง พวกเราก็ซื้อข้าวเหนียวบนรถไฟกินกัน ให้บรรยากาศที่ไม่เคยลองไปอีกแบบ บางทีการออกจากสิ่งที่เราคุ้นชินมันก็ทำให้ชีวิตมีสีสันบ้างเหมือนกัน พวกเรามาถึงสถานีน้ำตกตอนเกือบเที่ยงครึ่ง ซึ่งเป็นสถานที่ที่พวกเราต้องรอรถประจำทางเพื่อไปต่อตามรีวิวที่บอกไว้ในพันทิป เนื่องจากยังพอมีเวลาเหลือหลังจากไปถามเวลาเรื่องรถประจำทางที่จะไปสังขละบุรี พวกเราเลยเข้าไปเดินเล่นในน้ำตกไทรโยคน้อย

ผมถ่ายรูปให้กับเพื่อนที่นั่นได้อีกหลายรูป ก่อนพี่น้ำจะเรียกให้ผมไปถ่ายรูปเซลฟีกับเจ้าตัวที่แถวน้ำตก พวกเราแวะหาอะไรทานแถวน้ำตกอีกรอบ ที่ทานบนรถไฟเหมือนจะยังไม่พอ ทานเสร็จก็ได้ชาไข่มุกของโปรดพี่น้ำมากันคนละแก้วจากร้านแถวนั้น ยืนดูดกันรอรถประจำทางที่พวกเราจะไปที่สังขละบุรีสักพัก รถก็มาถึง

การเดินทางด้วยรถประจำทางคนเยอะมาก โชคดีที่พวกเราได้ที่นั่งพอดี คราวนี้พวกเราแยกกันไปนั่งเป็นคู่ ๆ เนื่องจากไอ้ชามันรีบเข้าไปนั่งข้างใยไหมทันทีที่เจ้าตัวไปนั่งลงไปที่เบาะ ผมเลยแยกไปนั่งกับพี่น้ำ ส่วนไอ้คีย์ก็ไปนั่งกับพี่ฟอง อากาศตอนบ่ายค่อนข้างร้อนเลยทีเดียว มีแต่พัดลมเก่า ๆ บนตัวรถประจำทางที่หมุนไปมา

นั่งไปสักพักก็รู้สึกเหมือนมีน้ำหนักกดลงมาที่หัวไหล่ เป็นพี่น้ำเองที่เอียงตัวมาซบกับผม เจ้าตัวหลับไปแล้ว ...

สงสัยคงเพลีย เพราะเห็นว่าช่วงนี้เข้าไปคุยกับอาจารย์เรื่องงานธีสิสของปริญญาโทด้วย

ผมหันมองหน้าพี่น้ำที่หลับตาพริ้มแล้วก็ยิ้มตามกับภาพตรงหน้า ก่อนหยิบกล้องตัวเองมาถ่ายภาพใบหน้าของเจ้าตัวขณะกำลังหลับแบบใกล้ ๆ

น่ารักดี ...

แต่ภาพจากกล้อง มันก็ไม่สวยเท่ากับภาพที่เห็นด้วยตาหรอก ...

กว่ารถประจำทางมาถึงสังขละบุรีได้ก็เกือบช่วงเย็นของวัน เป็นการเดินทางที่นานจริง ๆ

สังขละบุรีเป็นเมืองเล็ก ๆ ที่มีเสน่ห์อยู่ในตัว ผมชอบนะ บรรยากาศที่นี่เงียบดี พวกเราเลือกที่จะเดินไปที่พักเพราะดูจากกูเกิลแมพแล้วไม่ได้ไกลเท่าไร แต่ละคนก็ไม่ได้เอาของมาเยอะด้วย ถือโอกาสนี้ในการเดินชมพื้นที่รอบ ๆ ดีกว่า เดินกันเกือบสิบนาทีพวกเราก็ถึงที่พัก

เรียกได้ว่าถึงแม้จะนั่งรถตลอดเวลาเกือบทั้งวัน แต่มันก็เพลียจริง ๆ ที่พักของพวกเราผมจองเป็นห้องรวม มีเตียงใหญ่ให้สาว ๆ นอนกันสามคนด้านบน ส่วนผู้ชายอย่างพวกเราก็มีเบาะนอนด้านล่างกัน ประหยัดค่าที่พักได้เยอะ หลังจากแต่ละคนพักผ่อนล้างหน้าล้างตากันเรียบร้อย พวกเราก็เดินออกมาจากที่พักเพื่อไปยังตลาดนัดของสังขละบุรี

ผมบอกเลยว่าของกินเยอะมาก มีอะไรแปลก ๆ ที่ไม่เคยกินเต็มไปหมด รู้ตัวอีกทีของกินก็เต็มไม้เต็มมือแต่ละคน บางอย่างผมก็ไม่รู้ว่ามันเรียกว่าอะไร แต่ก็กินหมด ได้รูปถ่ายไปรีวิวลงบล็อกของตัวเองเยอะเลย โดยให้พี่น้ำเป็นคนถือแล้วผมก็ถ่ายรูปไป

“พี่น้ำ ป้อนผมหน่อย” ผมบอกพี่น้ำ เห็นเครปชาโคลที่อยู่ในมือเจ้าตัวแล้วก็อยากกิน พี่น้ำยิ้มให้ผมก่อนยื่นเครปมาให้ผมกัด

อร่อย ...

“มีคนอ้อนแฟนว่ะ ตัวเองทำให้เค้าบ้างดิ” ไอ้ชาพูดแซวผม พร้อมหันไปมองใยไหม ใยไหมยิ้มออกมาก่อนจิ้มขนมตาลยัดใส่ปากไอ้ชาเต็มปากจนมันพูดไม่ได้อีก

สมน้ำหน้า ... ฮ่าฮ่าฮ่า

ส่วนไอ้คีย์กับพี่ฟอง ผมเห็นเดินนำพวกเราไปนู่นแล้ว สองคนนั้นก็ดูน่ารักดี ผมเห็นเดินจูงมือกันไปจนผมอดไม่ได้ที่จะแอบถ่ายด้านหลังของทั้งคู่ เดี๋ยวจะแอบเอาภาพไปล้อหลังกลับจากทริปนี้ บางทีมันก็แปลกที่โลกโคจรพวกเรามาพบกันได้

จากคนที่ไม่เคยรู้จักกัน ... กลายมาเป็นคนรักกัน มาเป็นเพื่อน มาเป็นแฟน

พวกเรามาหยุดที่หมูจุ่มพม่า มันเป็นครั้งแรกเลยที่ผมเคยกิน มีหลายร้านเลยที่ตลาดนัด พวกเราตัดสินว่าจะลองทานกันที่ร้านร้านหนึ่ง ซึ่งราคาไม้ละบาท ตรงนั้นเป็นเก้าอี้พลาสติกให้เรานั่ง มีจานและน้ำจิ้มให้ ด้านหน้าจะเป็นหม้อที่มีหมูเสียบไม้ให้เราหยิบขึ้นมาทาน รสชาติมันก็แปลกไปอีกแบบ คล้าย ๆ หมูสะเต๊ะ แต่หมูจุ่มพม่าไม่ได้มีแค่เนื้อหมูอย่างเดียว จะมีเครื่องในอื่น ๆ ด้วย แต่ผมเป็นคนไม่ชอบกินเครื่องในเลยขอบาย มีแต่ไอ้ชาที่กินเอา กินเอาเหมือนจะติดใจ

เดินเล่นที่ตลาดนัดพร้อมกินมื้อเย็นจนอิ่ม พวกเรากะว่าจะเดินไปต่อที่สะพานมอญ สะพานมอญเป็นสะพานไม้ที่ยาวที่สุดในประเทศไทยตัดแบ่งเมืองสังขละบุรีออกเป็นสองฝาก ซึ่งตอนกลางคืนแบบนี้ไม่ค่อยมีนักท่องเที่ยวเท่าไร รอบจะ ๆ เป็นตัวโฮมสเตย์และแพที่อยู่ด้านล่างให้นักท่องเที่ยวพัก

พวกเราเดินถอดน่องไปเรื่อยชิว ๆ ให้อาหารย่อย ก่อนถ่ายรูปกับสะพานมอญ ถ่ายแค่วิวเพราะตอนนี้มืดแล้วถ่ายคนคงไม่เหมาะ มันก็ได้บรรยากาศที่สวยดี เพราะสองข้างทางบนสะพานมีแสงไฟสีส้มอ่อนตัดกับความมืด แล้วผมก็นึกอะไรสนุก ๆ ออก ให้เพื่อน ๆ ไปนั่งหยิบมือถือออกมาส่องแสงพร้อมวาดภาพบนอากาศ ปรับรูรับแสงและความเร็วชัตเตอร์ให้พอเหมาะ ภาพที่ได้จะเห็นเป็นแสงที่เราวาดทิ้งบนอากาศ

ทุกคนดูสนุกกับการถ่ายรูปแบบนี้มาก สุดท้ายผมเลยอยากไปเล่นเองบ้างเลยให้พี่น้ำถือกล้องให้ แล้วผมไปนั่งวาดรูปแทน

ผมเดินไปนั่งที่กลางสะพานไม้ก่อนเอามือถือส่องแสงเป็นไฟฉายวาดภาพบนอากาศอย่างรวดเร็ว ให้ทันกล้องที่ถ่ายภาพออกมา

ทันทีที่ถ่ายเสร็จ ทุกคนก็ไปดูที่หน้าจอกล้องว่าผมวาดรูปอะไร ตามมาด้วยเสียงแซวจากเพื่อน ๆ

แสงไฟสีขาวถูกลากขึ้นเด่นชัดท่ามกลางความมืดในภาพ

มันเป็นรูปหัวใจ ...

เช้าวันต่อมา พวกเราตื่นเช้าเป็นพิเศษ

อากาศที่นี่ตอนเช้าค่อนข้างเย็นสบายเลยทีเดียว การเดินทางมาพักผ่อนที่สังขละบุรีมีจุดเด่นอยู่ที่สะพานมอญ ซึ่งมีการใส่บาตรตอนเช้า บรรยากาศที่นี่แสดงถึงวิถีชาวบ้านของชาวมอญในแบบที่พวกเราไม่เคยเห็น บางคนก็เอาของเทินไว้บนหัวสูง ๆ ผมว่ามันน่ารักดี มีโชว์กระโดดจากสะพานลงไปที่แม่น้ำด้วย เด็ก ๆ หลายคนที่เอาแป้งทานาคามามาปะลงบนใบหน้า บางคนก็ทำให้นักท่องเที่ยว ดูมีสีสันให้กับบริเวณรอบ ๆ ซึ่งเด็ก ๆ เหล่านั้นก็จะมีไม้ไผ่อะไรสักอย่างคล้าย ๆ แผ่นพิมพ์ จิ้มลงไปที่แป้งแล้วปะลงมาที่ใบหน้าของนักท่องเที่ยว ไอ้ชาก็เข้าไปทำพร้อมกับให้เงินเล็ก ๆ น้อยกับเด็กพวกนั้น ผมก็เข้าไปถ่ายรูปให้มัน ก่อนพวกเราจะเดินไปซื้อของใส่บาตรกันต่อ

เสร็จจากการใส่บาตรพวกเราก็แวะทานข้าวเช้าให้อิ่ม เติมพลังเต็มที่ ก่อนจะเดินทางไปเที่ยวรอบ ๆ เมืองกันต่อ ที่สังขละบุรีมีที่เที่ยวเด่น ๆ หลายที่เลยไม่ว่าจะเป็นวัดที่มีสถาปัตยกรรมที่สวยงามในแบบที่เราไม่เคยเห็น เจดีย์พุทธคยาซึ่งเป็นเจดีย์สูงสีทองอร่าม รวดถึงวัดจมน้ำที่พวกเรานั่งเรือไปกัน วันนั้นทั้งวันก็ได้เที่ยวรอบเมือง

เป็นการเดินทางที่สนุกจริง ๆ สำหรับรอบนี้

รู้ตัวอีกทีก็หมดวันซะแล้ว วันต่อมาพวกผมก็ตื่นสายขึ้นมาหน่อย เพราะแต่ละคนเมื่อวานเพลียกันเหลือเกิน พวกเราเดินข้ามสะพานมอญไปอีกฝั่งเพื่อซื้อของฝากในตอนเช้า ไม่ลืมที่จะแวะถ่ายรูปรวมอีกสามสี่รูปก่อนกลับ

เป็นอีกหนึ่งทริปที่พวกเราจะไม่ลืมเลย

ผมมองภาพในกล้องแล้วก็ยิ้ม ... เมื่อเห็นใบหน้าแต่ละคนที่ส่งยิ้มกลับมา

ตลอดเวลาเกือบสองปีที่ผ่านมา มีเรื่องราวมายมายเกิดขึ้นกับพวกเราเยอะเหลือเกิน ทั้งไอ้คีย์ ไอ้ชาและผม แปลกใจเหมือนกันที่พวกเราก็ผ่านกันมาได้ในที่สุด เมื่อมองย้อนกลับไปถึงเรื่องราวเหล่านั้น มันทำให้พวกเราได้ประสบการณ์ที่ล้ำค่ามากเหลือเกิน

พวกเราได้เจอกับเรื่องร้าย ๆ

พวกเราได้เจอกับเรื่องดี ๆ

พวกเราได้เจอกับคนที่รักเรา และเรารักเขา ...

ขอบคุณที่อยู่ด้วยกัน เคียงข้างกันมาตลอด ...

ไม่ว่าสิ่งนั้นมันจะเป็นอะไรก็ตามแต่ ขอบคุณนะ ... 

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด