ตอนที่แล้วเรื่องสยองที่ 31 : กรรมตามสนอง
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปเรื่องสยองที่ 33 : คุณเป็นใคร (Part 1)

เรื่องสยองที่ 32 : มันกลับมาแล้ว


 

ผม พี่น้ำและไอ้ปูนเดินเข้าไปแอบบริเวณด้านหน้าโกดังได้ไม่นาน ก็มีชายชุดดำสี่ห้าคนเดินออกมาจากทางด้านใน พวกมันถือปืนคนละกระบอก ทำท่าทางจะเดินไปด้านหลังของโกดัง เมื่อกี้ผมเองก็ได้ยินเสียงเหมือนเสียงอะไรดังออกมาจากทางด้านหลังของโกดังเช่นกัน น่าจะเป็นพวกไอ้คีย์ที่ทำเสียงเพื่อหักเหความสนใจพวกมัน หลังจากพวกมันเดินพ้นออกไป พวกเราก็เข้าไปด้านในกัน

ด้านในเป็นโกดังที่กว้างพอสมควร มีกล่องเก็บสิ้นค้าอะไรอยู่เป็นชั้นเต็มไปหมด ในนั้นมีร่างของมิ้งค์และสุจิตราถูกมัดมือมัดเท้าเอาไว้ ทั้งคู่ถูกเอาผ้ายัดปากไว้นั่งคู่กัน ตรงนั้นมีปกรณ์ยืนอยู่ด้วย ดูเหมือนเขาจะอารมณ์เสียอยู่ โชคดีที่ภายในโกดังมีลังเก็บของจำนวนมาก พวกเราเลยค่อย ๆ เดินเลาะไปหาที่หลบอยู่มุมหนึ่งภายในนั้นและแอบดูได้โดยง่าย โชคดีที่ยังไม่มีอะไรเกิดขึ้นกับมิ้งค์ แต่ดูเหมือนเนื้อตัวสุจิตราจะเลอะไปด้วยคราบเลือด

“นั่นมันไอ้ปกรณ์นี่ มันจับตัวสุจิตรากับมิ้งค์มาทำไม” พี่น้ำพูดออกมาเบา ๆ อย่างตกใจ มองคนที่ยืนห่างออกไประยะหนึ่ง

“ผมว่ามันต้องมีปัญหา หักหลังอะไรกันเองแน่ ไม่งั้นมันไม่จับสุจิตรากับมิ้งค์มาแบบนี้หรอก อาจจะเป็นเรื่องพินัยกรรมหรือเปล่า พี่เคยบอกว่าปกรณ์ถูกพ่อพี่รับมาเลี้ยงไม่ใช่หรอ เหมือนวันที่พวกเราเข้าไปคุยเรื่องพินัยกรรม ปกรณ์ไม่ได้อะไรเลย” ผมพูด นึกถึงวันที่สุจิตราเรียกพวกเราไปฟังเรื่องนี้

“อาจจะจริงอย่างที่อิฐว่า เลวเหมาะสมกันดี ผีเน่ากับโลงผุ สุดท้ายก็มากัดกันเอง” พี่น้ำพูด

“พวกมันมีกันอยู่แค่สามคน เข้าไปเลยไหมพี่” ไอ้ปูนถามออกมา มันนั่งอยู่ข้าง ๆ ผม

“ใจเย็นดิวะ พวกมันมีปืน มึงไม่เห็นหรอ พรวดพราดเข้าไปโดนยิงไส้ไหลทำไง” ผมบอกไอ้ปูนไป สายตามองหาของรอบ ๆ ตัวเพื่อที่จะใช้เป็นอาวุธได้บ้าง บังเอิญเห็นโครงเหล็กสี่ห้าอันวางอยู่แถวนั้นเลยหยิบมันขึ้นแล้วส่งให้พี่น้ำกับไอ้ปูน

“เอางี้นะ เดี๋ยวกูออกไปให้มันเห็นตัว ถ่วงเวลารอตำรวจ” ผมพูดออกไป

ที่คิดได้ตอนนี้ก็น่าจะถ่วงเวลาเอาไว้รอตำรวจให้นานที่สุด บางทีก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน ว่าทำไมเวลาดูหนังดูละครแล้วตำรวจชอบมาช้าทุกเรื่อง กว่าจะมา ตัวร้ายมันต้องได้ฆ่าใครสักคนไปก่อนทุกที แต่ผมคิดว่ามันคงไม่น่าเกิดขึ้นกับพวกเราหรอก เพราะตอนนี้ผมได้ยินเสียงรถตำรวจที่ดังขึ้นมา ปกรณ์ดูตกใจทันทีที่ได้ยินเสียงนั้น เขาหัวเสียมากขึ้นกว่าเดิม เข้าไปกระชากร่างของมิ้งค์ให้ลุกขึ้นมาคล้ายกับจะจับไว้เป็นตัวประกัน

“ตำรวจแห่มาได้ไง ! พวกมึงทำไมไม่ดูให้ดีว่าตอนจับตัวอีมิ้งค์มามันมีคนเห็นหรือตามมาหรือเปล่า ! เวรเอ้ย” ปกรณ์พูดออกมา มองหน้าลูกน้องของตัวเองพร้อมเข้าไปถีบจนร่างชายคนนั้นล้มไปกองที่พื้น

“เอาไงดีต่อครับนาย” ชายอีกคนที่เป็นลูกน้องเขาพูดหวาด ๆ

“หนีสิวะ มึงจะรอให้พ่อมึงมาจับเข้าตารางหรือไง มึงไปพาอีแก่นั่นมาด้วย”

“เดี๋ยว จะไปไหน” ผมพูดออกไป พร้อมเดินออกจากด้านหลังลังเก็บของตรงหน้าซึ่งเป็นที่ซ่อนตัว ทันที่ที่ปกรณ์ได้ยินเสียงผม เจ้าตัวก็หยิบปืนขึ้นมามองหาที่มาของเสียงก่อนจะเห็นผมยืนอยู่ตรงนั้น

“อีน้ำ มึงมาได้ไง” ปกรณ์พูดขึ้นมา ชี้ปลายกระบอกปืนตรงมาที่หน้าของผม มืออีกข้างล็อกคอของมิ้งค์ไว้อยู่ เจ้าตัวคงคิดว่าผมเป็นพี่น้ำ จังหวะเดียวกันกับพี่น้ำและไอ้ปูนที่โผล่พรวดเข้าไปหาลูกน้องของปกรณ์ที่มัวแต่สนใจผมด้านหลังก่อนเอาโครงเหล็กฟาดไปที่ท้ายทอยพวกมันในขณะที่ไม่ได้ระวังตัว ร่างสองร่างนั้นสลบไปที่พื้นก่อนพี่น้ำและไอ้ปูนจะหยิบปืนของพวกมันมาถือไว้

“ปกรณ์แกใจเย็น ๆ ปล่อยมิ้งค์ไปซะ ไม่ว่าแกต้องการอะไร แกไม่มีวันสมหวัง ทำแบบนี้ไปก็ไม่มีอะไรดีขึ้น ยอมมอบตัวเถอะ” ผมพูด ค่อย ๆ ขยับเข้าไปใกล้กับปกรณ์ ปกรณ์หันไปมองรอบด้านที่ตอนนี้สังเกตเห็นแล้วว่าผมไม่ได้มาเพียงคนเดียว ปลายกระบอกปืนเปลี่ยนทิศทางชี้ไปจ่อที่หัวของมิ้งค์แทน

“พวกมึงถอยไป ก้าวมาอีกก้าวเดียวหัวอีนี่กระจุยแน่”

ปูนเข้าไปช่วยแก้มัดให้กับสุจิตรา ที่ตอนนี้นอนหมดแรงอยู่ที่พื้น เจ้าตัวพยายามร้องเรียกชื่อลูกตัวเอง และบอกให้ปกรณ์ปล่อยมิ้งค์ไปและให้เอาตัวเองเป็นตัวประกันแทน

จังหวะเดียวกันกับที่ตอนนี้มีตำรวจสี่ห้านายพุ่งตัวเข้ามาภายในโกดังก่อนทุกคนจะเข้ามาล้อมตัวของปกรณ์ที่ถือปืนจ่อหัวมิ้งค์เอาไว้

“ทุกคนยกมือขึ้น วางอาวุธ ตำรวจได้ล้อมที่นี่ไว้หมดแล้ว ยอมมอบตัวซะดี ๆ”

“คุณปกรณ์ ลูกน้องด้านนอกของคุณถูกจับตัวไว้หมดแล้ว คุณหนียังไงก็ไม่รอด ยอมมอบตัวซะ โทษหนักจะได้กลายเป็นเบา”

ตอนนี้ทุกอย่างคงเป็นหน้าที่ของตำรวจ ปกรณ์ตอนนี้ไม่ต่างอะไรจากหมาจนตรอก เขาดูพร้อมจะทำทุกอย่างเพื่อให้ได้ในสิ่งที่ตัวเองต้องการ

“พวกมึงถอยออกไปให้หมด ถ้าไม่อยากให้อีนี่ตาย” ปกรณ์พูด เขามองไปรอบ ๆ ตัวอย่างหวาดระแวง ดูเหมือนมิ้งค์จะเริ่มออกแรงดิ้นสู้และกระแทกตัวคนที่ล็อกคอไว้ในจังหวะที่ปกรณ์กำลังมองไปรอบตัว นั่นทำให้เขาเสียหลักไปสักพัก มิ้งค์พยายามวิ่งหนีออกมาจากการถูกจับเป็นตัวประกัน

“อีมิ้งค์ !”

ปกรณ์ตะโกนร้องออกมาด้วยความโมโห มือหนาเข้าไปกระชากตัวมิ้งค์เอาไว้ แต่ผมที่อยู่ใกล้ตัวปกรณ์ที่สุดจับจังหวะได้ เลยเข้าไปถีบชายโครงของปกรณ์ให้ล้มหงายไปกับพื้นก่อนผลักตัวมิ้งค์ให้ออกมาในที่ปลอดภัย เพราะนี่อาจจะเป็นโอกาสเดียวที่มิ้งค์จะปลอดภัย ปกรณ์ดูเหมือนจะไหวตัวทันหลังจากล้มลงไปไม่นาน มือที่ถือปืนอยู่เล็งมาที่ผมอย่างรวดเร็วหลังจากล้มไปที่พื้น

“อิฐ ! ระวัง”

ผมได้ยินเสียงพี่น้ำร้องขึ้นมา ก่อนจะตามมาด้วยเสียงปืน

ปั่ง !

ทุกอย่างมันเร็วมาก ...

ผมรู้สึกถึงแรงผลักที่มากระทบตัวเอง ก่อนผมที่อยู่ในร่างของพี่น้ำจะล้มตัวลงไปกับพื้น โดยมีร่างของพี่น้ำคร่อมตัวเอาไว้ รู้สึกมึนหัวไปหมด เพราะเมื่อกี้ตอนล้มเหมือนหัวจะกระแทกกับพื้นอย่างแรง มือพยายามไปแตะ ๆ ที่หัวตัวเองก็รู้สึกถึงของเหลวที่ไหลออกมา เหมือนผมจะหัวแตก สายตาผมพร่าเบลอ ผมมองหน้าของตัวเองที่มีภาพของพี่น้ำซ้อนทับ ตอนนี้รู้สึกเหมือนร่างกายของตัวเองจะหนักเอาการเพราะพี่น้ำนอนทับอยู่บนตัวผมเต็ม ๆ

“พะ ... พี่น้ำ” ผมพูดออกไปเบา ๆ เหมือนสติจะหลุด

พี่น้ำในร่างผมหลับตาไปแล้ว ผมพยายามจะผลักร่างของตัวเองออก แต่มือแทบไม่มีแรง แต่รู้สึกถึงของเหลวอุ่น ๆ ที่ไหลทะลักออกมาจากบริเวณท้องของเจ้าตัว

พี่น้ำถูกยิง ...

ผมได้ยินเสียงปืนดังออกมาอีกสี่ห้านัด คงจะเป็นฝีมือของตำรวจที่ยิงไปที่ปกรณ์เพื่อเป็นการวิสามัญก่อนที่ปกรณ์จะยิงใครเพิ่มขึ้นมาอีก ผมหูอื้อไปหมดเพราะเสียงปืน ได้ยินเสียงอะไรไม่รู้รอบตัว ทั้งเสียงของเพื่อน ๆ ที่ตะโกนร้อง เสียงของตำรวจ เหมือนมีใครสักคนมาช่วยยกร่างที่ทับตัวผมออก ก่อนพาร่างของผมออกมาจากบริเวณนั้น ผมมึนหัวเหลือเกิน ไม่ช้าภาพที่เบลอ ๆ ก็ค่อย ๆ กลายเป็นสีดำ ก่อนผมจะฝืนเปลือกตาของตัวเองไว้อีกไม่ไหว

แล้วสติผมก็ดับวูบไป ...

ผมรู้สึกตัวอีกทีลืมตาขึ้นมาก็รู้สึกเจ็บที่กลางท้อง มองขึ้นไปที่เพดานห้องก็พบว่าเป็นฝ้าสีขาวเหมือนตอนนี้กำลังอยู่ที่โรงพยาบาล โรงพยาบาลอีกแล้ว ไม่รู้ว่าตั้งแต่เข้ามหาวิทยาลัยวนเข้าโรงพยาบาลกี่รอบ มันเยอะจนไม่ได้นับ เสียงร้องโวยวายอย่างดีใจดังขึ้นมาจนผมต้องหันไปมอง เห็นเป็นไอ้คีย์ ไอ้ชา ไอ้ปูน สุกี้ที่ลุกจากโซฟาขึ้นมาหาผมที่นอนเจ็บอยู่ที่เตียง

สมองเรียบเรียงสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างเร่งด่วน จำได้ว่าเข้าไปช่วยมิ้งค์แต่ตัวเองกำลังจะถูกยิงแล้วพี่น้ำเข้ามาช่วยผลักออกอีกทีจนล้มหัวฟาดพื้นหัวแตก

“พี่น้ำ ! พี่น้ำเป็นยังไงบ้างมึง” ผมร้องถามออกไปอย่างเป็นห่วง เพราะพี่น้ำเข้ามารับกระสุนแทนผม

“พี่น้ำสบายดี มึงใจเย็น ๆ พี่เขาแค่หัวแตก ตื่นก่อนมึงตั้งนานแล้ว” ไอ้ชาพูดออกมาก่อนส่งยิ้มให้ผม

“กูขอโทษนะเว้ยที่เข้าไปหามึงช้า แต่กูก็ใช้พลังชะลอความเร็วกระสุนให้แบบสุด ๆ แล้ว กูไม่สามารถสร้างบาเรียกันให้คนอื่นเห็นได้ว่ะ มันทำอะไรโจ่งแจ้งไม่ได้ ตอนนั้นคนอยู่เยอะ โชคดีที่กระสุนไม่โดนจุดสำคัญ” ไอ้คีย์พูดออกมาเหมือนจะรู้สึกผิด

ผมก็เข้าใจมัน เพราะตอนนั้นคนอยู่เยอะจริง ๆ ทั้งตำรวจและอีกหลายคนที่ยังไม่รู้เรื่องไอ้คีย์ ความลับที่เป็นยมทูตของมันก็ต้องเก็บไว้อยู่ดี ถ้าคนภายนอกรู้เรื่องเข้ามาก ๆ อาจจะกลายเป็นปัญหาได้ในอนาคต ท่านพญายมราชก็เคยพูดให้พวกผมฟังอยู่ ให้รู้กันแค่นี้พอเหยียบให้มิด

“เฮ้ย กูโอเคไอ้คีย์ กูเข้าใจมึง” ผมพูด พยักหน้าเบา ๆ ให้กับไอ้คีย์

“บาเรีย บาเรียอะไรหรอพี่ พี่คีย์หยุดกระสุนได้หรอ พี่เป็นมนุษย์ต่างดาวหรืออะไรครับ” ไอ้ปูนถามแทรกขึ้นมาแบบรัว ๆ มันเองก็ยังไม่รู้ว่าไอ้คีย์เป็นยมทูต

“อยากรู้ไหม ถ้ารู้แล้วจะได้เลิกกับน้องสาวกู มึงอยากรู้ไหม มันก็แค่พูดเล่น ๆ” ไอ้ชาพูดออกไปกอดคอไอ้ปูนแน่น

“ไม่อะครับ ไม่อยากรู้แล้ว” ไอ้ปูนรีบตอบไอ้ชาไปทันที เล่นเอาพวกเราหัวเราะขำออกมา แต่ผมหัวเราะแรงไม่ได้เพราะรู้สึกเจ็บท้อง แล้วทำไมเจ็บท้องวะเนี่ย มันควรจะเจ็บหัวเพราะล้มหัวแตกไม่ใช่หรอ

“เฮียอิฐชอบกินคิทแคทใช่ไหม เดี๋ยวกี้จะออกไปข้างนอกกับปูน เดี๋ยวลงไปซื้อมาให้นะ” กี้พูดกับผมยิ้ม ๆ

“ขอบคุณนะกี้ ยังจำได้ด้วยว่าพี่ชอบอะไร”

พูดจบกี้กับปูนก็พากันเดินออกไปด้านนอกห้อง เหลือทิ้งไว้แต่ไอ้ชากับไอ้คีย์ที่อยู่

แต่เดี๋ยว ...

พูดออกมาได้สักพักแล้ว ผมเพิ่งจะรู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงของเสียงพี่น้ำ ทำไมมันทุ้มห้าวขึ้น มือของผมรีบคลำไปที่เป้ากางเกงตัวเองทันที จะได้รู้ว่าไม่ได้ฝันไป

“ไอ้อิฐ ! ทำเชี้ยไรเนี่ย พวกกูก็อยู่ในห้อง” ไอ้ชาร้องขึ้นมา ทำหน้าทำตาเหมือนผมเป็นโรคจิต

เฮ้ย !

มันกลับมาแล้ว

มันกลับมาแล้วจริง ๆ โว้ย !

ช่วงเย็นของวันผมก็อยากออกจากห้องไปเยี่ยมพี่น้ำใจจะขาด ไม่ได้ดูสังขารของตัวเองเลย แต่ผมคิดว่าไปไหวอยู่ ไอ้ชาบอกว่าพี่น้ำนอนพักอยู่ห้องข้าง ๆ นี่เอง เพราะเหมือนเจ้าตัวเหมือนจะอ่อนเพลียมาก เลยแอดมิทต่อที่โรงพยาบาล ผมถามข่าวคราวจากไอ้คีย์ว่าเกิดอะไรขึ้นต่อ หลังจากผมถูกยิงจนสลบ ไม่รู้สึกตัวไป

ไอ้คีย์เล่าให้ฟังว่าตำรวจวิสามัญปกรณ์ที่พยายามจะยิงมาที่ผมอีกนัด ส่วนสุจิตราหลักฐานทุกอย่างมัดตัวแน่นเมื่อสาวโยงไปถึงทนายที่ทำพินัยกรรมฉบับปลอม แถมโดนข้อหาอะไรอีกหลายกระทงเพราะมีส่วนพัวพันกับปกรณ์กับเรื่องการตายของญาติพี่น้ำหลายคน น่าจะได้ติดคุกหลายปี

ส่วนมิ้งค์ที่รู้เรื่องทั้งหมดก็เสียใจมากที่ได้รู้ตัวจริงของแม่ตัวเอง มีไอ้ปูนกับกี้ช่วยปลอบให้หายเศร้ากับเรื่องนี้ ปัญหาทุกอย่างของพี่น้ำก็คลี่คลายหมดไปสักที รวมถึงปัญหาเรื่องร่างของเราที่สลับกันตอนนี้ก็กลับมาเป็นปกติแล้ว ผมก็ไม่รู้หรอกว่าวิญญาณเราสองคนกลับมาสลับกันอีกทีได้เพราะอะไร

แต่แค่ตอนนี้กลับมาอยู่ในร่างของตัวเอง ก็พอใจแล้ว ...

มันคงเหลือแค่ปัญหาหัวใจ ที่รอคำตอบจากพี่น้ำอยู่

ไอ้ชาเข็นรถเข็นผมพร้อมกับถุงน้ำเกลือที่ลากตามมาไปยังห้องของพี่น้ำ จะโดนหมอบ่นว่าแผลจะฉีกก็ไม่กลัว อยากไปเห็นหน้าพี่น้ำให้ชื่นใจก่อน ทันทีที่เปิดประตูเข้าไป ภาพที่เห็นตรงหน้าจากที่ผมอารมณ์ดี ๆ อยู่ มันทำให้ผมหงุดหงิด อารมณ์เสียขึ้นมาทันที เพราะพี่เอกนั่งอยู่ตรงนั้น ข้าง ๆ เตียงของพี่น้ำ ทั้งสองคนกำลังคุยกันอยู่อย่างออกรส หัวเราะไปขำไป พี่เอกหันมามองผมก่อนส่งยิ้มให้เมื่อเจ้าตัวสังเกตเห็นผมที่เข้ามาเยี่ยมพี่น้ำพร้อมกับไอ้ชา

“เป็นไงบ้างอิฐ หายเร็ว ๆ นะ” พี่เอกพูด

“ขอบคุณครับพี่” ผมพูดตอบพี่เขาไป

“เฮ้ย ไม่ต้องทำหน้าทำตาแบบนี้ สงบศึกกันก่อน พี่ขอบใจนายมากนะ ที่ตลอดเวลาที่ผ่านมาช่วยดูแลน้ำเป็นอย่างดี” พี่เอกพูด มองหน้าผมอย่างจริงใจ

ผมมองหน้าพี่เอกกลับ นี่เขาจะมาไม้ไหนอีกเนี่ย

“ผมยินดีครับ”

“พี่น้ำเป็นยังไงบ้างครับ” ผมถามออกไปต่อ มองไปยังพี่น้ำพร้อมกับส่งยิ้มให้เจ้าตัว

“นายเข้าไปคุยเองดีกว่า พี่ว่าจะออกไปข้างนอกพอดี” พี่เอกบอกผม ก่อนเจ้าตัวจะลุกเดินเปิดประตูออกไปด้านนอกของห้อง ไอ้ชาจึงขยับรถเข็นคนไข้ของผมเข้าไปใกล้เตียงของพี่น้ำที่เจ้าตัวหันหน้ามามองผม พี่น้ำมองผมด้วยใบหน้าแปลก ๆ ทำท่าเหมือนเราไม่เคยรู้จักกัน บนหัวของเจ้าตัวมีผ้าพันแผลโพกไว้ คงเป็นเพราะหัวแตกตอนล้มแน่ ๆ

“พี่น้ำ พี่น้ำเป็นไงบ้างครับ เจ็บมากหรือเปล่า”

.

.

.

“คุณ ... เป็นใครคะ”

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด