ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 2 : ท่านอาจารย์ ข้าจะแสดงให้ท่านเห็นว่าเหนือฟ้ายังมีฟ้า

ตอนที่ 1 : อัจฉริยะที่พบได้ในรอบร้อยปี


นครขอบนภา เมืองอู่ ตำหนักยุทธ์

ตำหนักยุทธ์คือสถานที่ในเมืองอู่ ที่ได้คัดเลือกผู้ฝึกยุทธ์จากต่างเมืองมาเป็นลูกศิษย์

ทุกฤดูใบไม้ผลิ จะมีการคัดเลือกลูกศิษย์หน้าใหม่ เพราะเหตุนั้น บุตรหลานและผู้เยาว์จากหลากหลายหมู่บ้านใกล้เคียง ต่างก็หลั่งไหลกันมาเพื่อเข้ารับการทดสอบเข้าตำหนักยุทธ์ พวกเขาต่างมาแสวงหาซึ่งกำลัง

ในปีนี้ การคัดเลือกเป็นลูกศิษย์ของตำหนักยุทธ์ ได้สิ้นสุดลงไปแล้ว

วันนี้ได้มีเด็กหนุ่มผู้หนึ่งที่แต่งตัวราวกับบัณฑิตได้ยืนอยู่ตรงหน้าประตูหลักของตำหนักยุทธ์ อ้อนวอนขออนุญาตเพื่อให้ได้เข้าไป

เด็กหนุ่มผู้นี้น่าจะมีอายุราวสิบห้าถึงสิบหกปีและมีคุณสมบัติที่ผ่านการขัดเกลามาอย่างดี เป็นเด็กหนุ่มที่มีใบหน้าที่หล่อเหลาเจิดจ้า ข้อบกพร่องคือร่างกายมีรูปร่างที่ผอมและเสื้อผ้าของเขาก็ขาดรุ่งริ่งราวกับผ่านพ้นอะไรมามากมาย ไม่ต่างกับบัณฑิตผู้ยากไร้

“เจ้าหนุ่ม ข้ากล่าวไปหลายครั้งแล้วไม่ใช่หรือ เหตุใดเจ้ายังดื้อรั้นอยู่อีก? ช่วงเวลาที่ตำหนักยุทธ์ได้คัดเลือกเหล่าลูกศิษย์ได้เสร็จสิ้นไปแล้ว ถ้าหากเจ้าอยากจะเข้าร่วมตำหนัก เจ้าจงรอฤดูใบไม้ผลิครั้งหน้าและจงกลับมาอีกครั้งหนึ่ง” ทหารยามที่ยืนเฝ้าสังเกตการณ์ข้างหน้าตำหนักได้กล่าวต่อสักคำหนึ่งกับเด็กหนุ่มราวกับใกล้จะหมดความอดทน

ทหารยามอีกคนหนึ่งเผยท่าทีดุร้ายจับจ้องประหนึ่งคมมีดไปยังเด็กหนุ่มพร้อมตะคอกใส่ “เจ้ามาที่นี่ก็สามวันแล้ว หากเจ้ายังไม่ไปให้พ้นจากตรงนี้ อย่าหาว่าพวกข้าไม่เตือนนะ” ทหารยามทั้งสองเชี่ยวชาญในการรับมือกับบุคคลที่ไร้ยางอายที่จะคิดเข้าไปให้ได้

เด็กหนุ่มเผยรอยยิ้มเจิดจ้าและหัวเราะ พูดว่า “พี่ชายทั้งสองอย่าทำเช่นนี้เลยข้า เซี่ยงเส้าหยุนเป็นอัจฉริยะที่พบเห็นได้ในรอบร้อยปี! ตราบใดที่พวกท่านอนุญาตให้ข้าเข้าไปข้างใน ข้าก็จะได้เป็นลูกศิษย์ของตำหนักยุทธ์อย่างแน่นอน ไม่เพียงเท่านั้นนะ ข้ายังจะเป็นลูกศิษย์ที่เลิศล้ำที่สุดในประวัติศาสตร์ของตำหนักยุทธ์! และเมื่อนั้นข้าจะไม่ลืมบุญคุณของท่านทั้งสองเลย”

“ไร้สาระ! เรียกตัวเองว่าอัจฉริยะในรอบร้อยปีงั้นรึ? มองดูรูปร่างผอมบางของเจ้าก่อนไหม? ข้าเดิมพันว่าเจ้ารับหมัดของข้าไม่ได้ด้วยซ้ำ!” ทหารยามเผยสายตาดุร้ายขณะที่เขาตวาดเด็กหนุ่มพร้อมปล่อยหมัดออกไป

ขณะที่หมัดกำลังเข้าใกล้ เด็กหนุ่มที่เรียกตัวเองว่าเซี่ยงเส้าหยุนตะโกนขึ้น

“หยุดนะ”

ดูเหมือนว่าเสียงร้องของเซี่ยงเส้าหยุนจะได้ผล มีพลังอำนาจบางอย่าง ราวกับว่าเขาคือบุคคลที่คนนับหมื่นจะต้องตกอยู่ภายใต้ตัวเขา ทหารยามผู้ที่มีสีหน้าดุดันเหม่อมองชั่วขณะหนึ่ง ดูเหมือนจะมีบางสิ่งที่แปลกประหลาดจากตัวเด็กหนุ่ม แรงกดดันมหาศาลที่อธิบายไม่ได้ที่ฉายผ่านดวงตาที่มองมา ถึงแม้ว่าทหารยามยังคงเย้ยหยันอย่างเย็นชา

“กลัวแล้วงั้นรึ? งั้นก็ไสหัวไปซะไม่อย่างนั้นวันนี้จะต้องได้เห็นดีกันแน่”

“นี่มันช่างน่าขัน นายน้อยผู้นี้ได้พบเห็นเหตุการณ์ทั้งหมด ใยจึงต้องหวาดกลัวด้วยเล่า?” เซี่ยงเส้าหยุนคิดกับตัวเอง แต่ทว่าท่าทียังคงชวนสงสารเวทนา

เขาเผยรอยยิ้มอีกครั้งและพูดว่า “ดูสิ่งนี้สิ!”

ในมือของเขาปรากฎชิ้นส่วนหินที่ส่องแสง หินก้อนนั้นดูบริสุทธิ์และไร้มลทิน ผู้ใดพบเห็นย่อมต้องตกตะลึง ทหารยามหวาดระแวงที่จะจ้องมองหินก้อนนั้น

เมื่อมองให้ดี สีหน้าของเขาดูเปลี่ยนไปราวกับว่ามีบางสิ่งกำลังจะเกิดขึ้น

เซี่ยงเส้าหยุน หัวเราะ “ฮี่ฮี่ อยากได้ใช่มั้ยล่ะ? ถ้าเกิดว่าให้คุณชายคนนี้ได้เข้าสู่ตำหนัก เจ้าเศษหินนี่...”

เพี๊ยะ!

ก่อนที่เซี่ยงเส้าหยุนจะพูดจบ ทหารยามได้ฟาดฝ่ามือใส่เขา หินส่องแสงโดนตบหลุดไปจากมือของเซี่ยงเส้าหยุน

“เจ้ากล้าดียังไงถึงได้ใช้หินขยะนี่มาติดสินบนข้า! ข้าคิดว่าถ้าเจ้าไม่ได้เห็นโลงศพ เจ้าก็จะไม่มีวันหลั่งน้ำตาสินะ” ทหารยามยกหมัดขวาเข้าใส่เซี่ยงเส้าหยุนและกำลังจะต่อยไปยังใบหน้าของเด็กหนุ่ม

“เวรเอ้ย ข้าจะเจอคนมีตาแต่หามีแววไม่อีกเท่าไหร่กัน” เซี่ยงเส้าหยุนก่นด่าตัวเขาเอง เขาหลับตาลงโดยที่ไม่ต้องทะเลาะเพราะรู้ว่าตัวเขาเองไม่มีทักษะที่จะต้านรับมันได้ ขณะที่กำปั้นกำลังจะเข้าไปทักทายใบหน้าของเด็กหนุ่ม ก็มีเสียงทุ้มลึกและดุดัน ดังขึ้น

“หยุดเดี๋ยวนี้!”

เสียงดังขึ้นราวกับว่ามีสัตว์ร้ายอยู่ใกล้ ๆ และทำให้หมัดของทหารยามหยุดค้างอยู่กับที่่

เซี่ยงเส้าหยุ่นลืมตาขึ้นและถอยกลับออกมาอย่างรวดเร็ว เขาจับหน้าอกของเขาแล้วพึมพำกับตัวเอง “ทำข้ากลัวแทบตายแน่ะ! ข้านี่มันช่างโชคดีเสียจริง!”

ทหารยามทั้งสองหันกลับ พวกเขาก็ได้พบกับชายหนุ่มที่รูปร่างดูดีอายุราวสามสิบปี กำลังขี่หมาป่าและเข้ามาใกล้ พวกเขาได้เห็นเช่นนั้นทหารยามทั้งสองก็กลัวจนตัวสั่นคุกเข่าด้วยความหวาดกลัวและกล่าวว่า

“คำนับท่านอาวุโสที่สิบเก้า”

ชายหนุ่มผู้นี้แท้จริงเป็นผู้อาวุโสของตำหนักยุทธ์ท่านอาวุโสจื่อฉางเหอ

จื่อฉางเหอเป็นคนที่โดดเด่นมากในตำหนักยุทธ์ ไม่มีผู้ใดทราบว่าเขาเป็นคนจากตระกูลใด หลังจากที่เข้ามายังตำหนักยุทธ์เขาก็ได้แสดงศักยภาพก้าวหน้าอย่างต่อเนื่อง ท้ายที่สุดเขาก็ได้ขึ้นไปอยู่ในระดับดวงดาวอย่างรวดเร็วที่สุดในรุ่น

จนกระทั่งได้รับตำแหน่งรองจ้าวตำหนักเขาใช้เวลาเพียงไม่นานนัก ภายใต้การปกครองของรองจ้าวตำหนัก เขาได้กลายเป็นผู้ที่ไต่เต้าไปยังระดับแห่งการแปรสภาพได้อย่างรวดเร็วที่สุด ภายหลังได้กลายมาเป็นผู้คุมแห่งตำหนักยุทธ์จนถึงตอนนี้ เขาคือผู้อาวุโสที่เยาว์วัยที่สุดในประวัติศาสตร์

ผู้ที่ฝึกยุทธ์ได้เริ่มจากระดับเริ่มพื้นฐาน มันคือระดับการฝึกฝนที่ต่ำสุดสำหรับผู้ฝึกยุทธ์ ในระดับนี้จะต้องจดจ่อกับการฝึกฝนและปรับสภาพร่างกายของพวกเขาให้มีสภาพที่ดีที่สุด หลังไปถึงจุดสุดยอดของระดับพื้นฐานขั้นที่เก้าแล้ว จึงเป็นการเริ่มดึงพลังจากดวงดาวแห่งสวรรค์ ก่อเกิดเป็นดาวดาวของตนเองขึ้นภายใต้ผังจักรราศี

ระดับนี้ทราบกันว่าคือระดับดวงดาว เมื่อก้าวถึงระดับนี้ผู้ฝึกยุทธ์จะชักนำพลังอำนาจของดวงดาวมาใช้ได้ ทำให้พวกเขาควบคุมพลังปราณและปล่อยมันออกจากร่างกายเพื่อใช้โจมตีได้

ความแข็งแกร่งของการโจมตี้นี้ไม่อาจปรามาสและไม่ใช่อะไรที่คนซึ่งอยู่ระดับพื้นฐานจะเปรียบเทียบได้

สำหรับระดับแปรสภาพนั้น เมื่อใดที่พวกเขาบีบอัดพลังงานดวงดาวให้แข็ง มันจะก่อเกิดเป็นปราการป้องกันและสามารถปกป้องร่างกายของพวกเขาได้ โดยปกติมีดและหอกธรรมดาจะไม่อาจทะลวงผ่านปราการนี้ไปได้ ด้วยเหตุนี้ผู้ฝึกฝนจะได้รับการยอมรับว่าการที่ก้าวไปถึงระดับพลังขั้นนี้คือการเป็นยอดฝีมืออย่างแท้จริงของโลกแห่งผู้ฝึกยุทธ์

สำหรับแต่ละระดับนั้นจะแบ่งออกเป็นเก้าขั้น ขั้นที่มีความสำเร็จที่สูงขึ้นก็จำเป็นจะต้องมีความแข็งแกร่งที่สูงขึ้นเช่นกัน มีผู้ที่ผ่านระดับการแปรสภาพตั้งแต่ยังเยาว์นั่นคือ จื่อฉางเหอ เป็นที่รู้จักดีในตำหนักยุทธ์ เขาคือผู้ที่มีอนาคตสดใสรอคอยอยู่

เขาไม่ได้สนใจของทหารยามทั้งสอง จื่อฉางเหอได้หยิบชิ้นส่วนหินขึ้นมาจากพื้น หลังจากที่พิจารณาอย่างถี่ถ้วน ตาของเขาก็เผยประกายและพูดขึ้นมาว่า

“นี่มันคือผลึกวิญญาณระดับสูง!”

“อะฮ่า ในที่สุดก็มีคนรู้เสียทีว่ามันเป็นของดี!” เซี่ยงเส้าหยุนตะโกนออกมาด้วยความยินดี

“นะ-นี่นะเหรอผลึกวิญญาณระดับสูง?!” ทหารยามคนที่ปัดเศษผลึกกระเด็นต้องอ้าปากค้าง

ผลึกวิญญาณก่อเกิดจากพลังงานธรรมชาติของโลก ผลึกเหล่านี้เป็นตัวช่วยแก่ผู้ฝึกยุทธ์ได้อย่างมหาศาล และมีพลังงานบริสุทธิ์อัดแน่นอยู่ ช่วยให้ผู้ฝึกยุทธ์สามารถเพิ่มพูนกำลังยามใช้มันได้

ผลึกวิญญาณ แบ่งออกเป็นสามระดับที่แตกต่างกันตามคุณภาพคือระดับ ต่ำ กลาง และสูง

ผลึกระดับสูงนั้นเป็นระดับที่สูงที่สุดและยังมีพลังงานธรรมชาติภายในเยอะที่สุดประสิทธิภาพของผลึกระดับสูงนั้น เทียบเท่าระดับกลางสิบก้อนหรือระดับต่ำถึงนับร้อยก้อนเลยทีเดียว

“ถูกต้อง พลังงานธรรมชาติภายในหินก้อนนี้มันบริสุทธิ์และไร้มลทิน ถ้าไม่ใช่ผลึกวิญญาณระดับสูงแล้ว มันจะเป็นสิ่งใดได้อีก?” จื่อฉางเหอตอบอย่างเฉยเมย

เมื่อได้ฟังเช่นนั้น ทหารยามที่ปัดผลึกตกลงกับพื้นก็รู้สึกเสียใจอย่างมาก เขาอยู่ระดับดวงดาวขั้นที่สาม ถ้าหากว่าเขาได้รับผลึกวิญญาณระดับสูงเพียงสักก้อน พลังงานของผลึกนั่นคงจะเพียงพอที่จะช่วยให้เขาผ่านบทที่สอบขั้นที่หกไปได้

เป็นที่ทราบกันว่าผลึกวิญญาณนั้นหายาก เพียงแค่ผลึกวิญญาณระดับต่ำเพียงก้อนเดียวก็มีราคาที่สูงมากแล้ว จึงเป็นเรื่องยากในการที่จะได้ครอบครองมัน

“บ้าเอ้ย ทำไมไม่พูดให้มันเร็วกว่านี้?” ทหารยามบ่นอุบกับตัวเอง

“นี่คือผลึกวิญญาณของเจ้างั้นหรือ?” จื่อฉางเหอถามกลับไปยังเซี่ยงเส้าหยุน

เขามองว่าเซี่ยงเส้าหยุน เป็นผู้ที่อยู่ที่อยู่ระดับพื้นฐานขั้นสามเท่านั้น เป็นเรื่องแปลกที่เด็กหนุ่มมีชิ้นส่วนผลึกวิญญาณระดับสูงอยู่ในครอบครอง

ผู้ฝึกยุทธ์ระดับพื้นฐานส่วนใหญ่ล้วนดาษดื่น นอกจากนี้ ระดับพื้นฐานขั้นสามนั้นก็อยู่ในระดับต่ำเตี้ยมากในโลกผู้ฝึกยุทธ์ เพราะแข็งแกร่งขึ้นมาเล็กน้อยจึงนับเป็นปุถุชนทั่วไปได้บ้าง เศษผลึกวิญญาณระดับสูงนี้ไม่เพียงแต่ทำให้ผู้ฝึกยุทธ์ระดับดวงดาวต้องเปิดศึกนองเลือดได้เลยหรือแม้แต่ผู้ที่อยู่ระดับการแปรสภาพแล้วก็ยังต้องตาร้อนผ่าว

เซี่ยงเส้าหยุนมองหน้าจื่อฉางเหอ เขาเผยรอยยิ้มและพูดว่า

“คำนับผู้อาวุโส ชิ้นส่วนผลึกวิญญาณระดับสูงนี้เป็นของข้าน้อยจริง แต่บัดนี้มันอยู่ในมือท่าน ข้าน้อยผู้นี้ขอเสนอมอบมันเป็นของกำนัลเพื่อที่จะได้แสดงความนับถือต่อท่าน”

“แสดงความนับถือต่อข้างั้นหรือ? ไม่เป็นไร เจ้าช่างเป็นคนใจกว้างนัก” จื่อฉางเหอ หัวเราะแห้งพร้อมเอ่ยถาม

“เจ้ามีจุดประสงค์อันใด?”

เซี่ยงเส้าหยุนถูมือของเขาเข้าด้วยกัน เขายิ้มและกล่าวว่า

“นายท่าน ตัวข้าน้อยมิได้มีจุดประสงค์อันใดเลย หวังเพียงให้ท่านรับข้าเป็นลูกศิษย์เพียงเท่านั้น”

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด