ตอนที่แล้วตอนที่ 2 ฟังนะ ข้ามีแผน
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 4 ความในใจที่ซ่อนอยู่

ตอนที่ 3 จะสอนศิษย์ให้ได้ดีโดยไม่ใช้กำลังมันคือความเกียจคร้านของอาจารย์!


ตอนที่ 3 จะสอนศิษย์ให้ได้ดีโดยไม่ใช้กำลังมันคือความเกียจคร้านของอาจารย์!

ติดตามแฟนเพจอัพเดทข่าวสารอ่านนิยายก่อนใครได้ที่ FB: ND Translate นิยายแปลไทย 

เสียงสะท้อนอันทรงพลังดังขึ้น เสียงนี้เองช่วยเพิ่มกำลังใจให้กับเหล่ายอดฝีมือที่มากันในวันนี้ ในขณะเดียวกันนั้นเองเหล่าผู้ยอดฝีมือทั้งสิบของดินแดนภัยพิบัติศักดิ์สิทธิ์โฉมใหม่ได้นั่งอยู่ที่รถม้าของตัวเองเป็นที่เรียบร้อย พวกเขาทั้งหมดกำลังหลับตาลงเพื่อที่จะรอให้การป้องกันของภูเขาทองนั้นแตกสลายไป

"ไอแก่ชั่วร้ายนั้นอยู่ที่นี่แล้ว!"

"ระวังเอาไว้พวกเรา!"

ทันใดนั้นเองท่าทีที่ผู้ฝึกยุทธ์ทั้งหมดแสดงออกมานั้นก็เปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน พวกเขาทั้งหมดรีบบินไปที่ด้านหลังของภูเขาอย่างรวดเร็ว ทันทีที่พวกเขามาถึงพวกเขาทั้งหมดก็ลอยลงสู่พื้นเพื่อดูท่าทีต่อไป

ในตอนนั้นเองเหล่าผู้ยอดฝีมือทั้งสิบก็ลืมตาตื่นขึ้น ส่วนโจวจี้เฟิงที่มาจากสำนักดาบศักดิ์สิทธิ์นั้นกล้าหาญกว่ามาก เขาเป็นเพียงคนเดียวเท่านั้นที่กำลังลอยอยู่บนท้องฟ้า ตอนนี้ตัวเขาจะเป็นผู้เปิดฉากการโจมตีนั่นเอง

สายตาของเหล่าผู้ฝึกยุทธ์ต่างก็จับจ้องไปที่ทางเข้าของภูเขาทอง ทางเข้าของภูเขาทองลูกนี้เป็นทางแคบ ดังนั้นจะมีเพียงคนกลุ่มเล็กเท่านั้นที่จะสามารถเดินทางเข้าไปได้ ในขณะเดียวกันนั้นลู่โจวก็กำลังเดินนำศิษย์ทั้งสี่คนของเขา พวกเขาทั้งหมดไม่กล้าที่แม้แต่จะใช้พลังความสามารถที่มีในการเคลื่อนย้าย พวกเขาทุกคนกลับใช้วิธีการเดินแบบคนธรรมดาทั่วไป แต่ถึงพวกเขาจะเดินอยู่ก็ไม่มีใครเลยที่จะกล้าส่งเสียงเดินหรือส่งเสียงหายใจออกมา

ชายชราผมขาวที่กำลังเดินนำหน้าศิษย์ทั้งสี่อยู่ไม่ใช่ใครที่ไหน เขาเป็นปรมาจารย์จอมวายร้ายผู้ทีเป็นที่รู้จักกันดีว่าเป็นอาจารย์ของมหาวายร้ายทั้งเก้า ในขณะที่พวกเขาทั้งหมดเดินมาใกล้กับม่านพลังป้องกัน ลู่โจวก็หยุดเดินอย่างกะทันหัน ศิษย์ทั้งสี่คนที่เดินตามเขามาติดๆ ได้หยุดเดินเช่นกัน หมิงชี่หยินเองได้หยุดเดินอย่างประหลาดใจ "ทำไมพวกเราไม่เดินกันไปต่อล่ะ?"

ลู่โจวที่เดินนำมานั้นยังคงสงบและนิ่งเงียบ เขารู้ดีว่าถ้าหากทำแบบนี้แล้วเหล่าศิษย์ทั้งหลายของเขาจะต้องรู้สึกสงสัยมากยิ่งขึ้น แต่นั้นไม่สำคัญ ทางเดียวที่จะทำให้ศัตรูทั้งหมดกลับไปได้ นั่นก็คือการให้พวกเขายอมกลับไปเองตามชะตากรรม

หัวหน้าสำนักดาบสวรรค์อย่างลู่ฉางเฟิงเป็นคนที่เริ่มต้นพูดคนแรก "เป็นเวลานานแรมเดือนแล้วสินะที่ตาแก่นั้นได้ใช้ชีวิตไปอย่างเปล่าประโยชน์"

เสียงของผู้นำสำนักคนนี้เองทำให้หลายคนที่มาชุมนุมรู้สึกขำขัน

แต่ถึงจะเป็นแบบนั้นลู่โจวก็ไม่ได้สนใจคำถากถางเลย "ดูเหมือนว่าเจ้าหนูนี่เป็นคนกล้าหาญใช้ได้นะ ลู่ฉางเฟิง" ลู่โจวได้กล่าวชมเชยออกไปอย่างไม่สนใจอะไร

"หยุดเสแสร้งได้แล้ว! เจ้าอาจจะคิดว่าสามารถหลอกลูกศิษย์มหาวายร้ายของเจ้าเองได้ แต่เจ้าน่ะหลอกพวกเราไม่ได้หรอก การอวดรู้ของเจ้ามันช่างไร้ความหมายเมื่ออยู่ต่อหน้าพวกเรา ยอมแพ้ซะตั้งแต่ตอนนี้ ถ้าหากยอมแพ้ซะตั้งแต่ตอนนี้พวกเราก็อาจจะยอมปราณีไม่ทำลายร่างกายตามชีวิตของเจ้าไปก็ได้นะ!" ลู่ฉางเฟิงได้พูดขึ้นมาอย่างไร้ความเกรงกลัว

ในตอนนั้นเองโจวจี้เฟิงที่กำลังลอยอยู่บนอากาศก็ได้ตะโกนขึ้นมาอย่างเสียงดัง "ศิษย์สี่คนสุดท้ายนั้นคือศิษย์กลุ่มสุดท้ายของเจ้าแล้วใช่ไหมเจ้าเฒ่า?"

ศิษย์คนที่เก้าหยวนเอ๋อได้กลอกตาไปและพูดขึ้น "แล้วพวกเราจะเป็นใครไปได้อีกล่ะ? เจ้าโง่!"

"..."

โจวจี้เฟิงเหลือบมองไปเห็นเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ คนหนึ่ง ถึงแบบนั้นเขาก็ไม่ได้รู้สึกโกรธอะไรแถมยังพูดต่อ "ตอนนี้ตาเฒ่านั่นได้รับบาดเจ็บสาหัสไปแล้ว นี้คงไม่ง่ายสำหรับเขาหรอกนะที่จะเสแสร้งแกล้งทำเป็นแข็งแรงอยู่แบบนี้ได้ นี่จะเป็นโอกาสสุดท้ายแล้ว จงยอมแพ้ซะเจ้าพวกปีศาจ ให้พวกเราได้สังหารพวกเจ้าเพื่อที่จะกลับไปยังเส้นทางแห่งความดีเถอะ"

"ฆ่ามัน!"

"ฆ่ามัน!"

"ฆ่ามัน!!"

ผู้ฝึกยุทธฺหลายหมื่นคนคำรามขึ้นมาอย่างบ้าคลั่ง เสียงของพวกเขาทั้งหมดสามารถสั่นสะเทือนท้องฟ้าได้เลย เสียงทั้งหมดนั้นดังกึกก้องไปทั่วภูเขาทองลูกนี้

"ไอพวกกระจอกพวกนี้...ท่านอาจารย์ได้โปรดให้ข้าไปจัดการพวกมันด้วย! ข้าจะถลกหนักพวกมันออกมาให้เห็นกระดูกอันจองหองของพวกมันเอง" หมิงซี่หยินโค้งคำนับก่อนจะพูดขึ้น

หมิงชี่หยินเป็นอัจฉริยะอย่างแท้จริงในการฝึกยุทธ์แบบเต๋า แน่นอนว่าเขาเป็นผู้ที่แข็งแกร่งเหนือกว่าผู้อื่นในชาวสำนักเต๋าด้วยกัน ส่วนโจวจี้เฟิงนั้นแตกต่างกับตัวเขาอย่างสิ้นเชิง เขาคนนี้ทำได้เพียงใช้น้ำลายของตัวเองเพื่อโจมตีขู่ขวัญรวมไปถึงกวัดแกว่งดาบไปมาได้เท่านั้น

เขาคนนี้จะต้องเหนื่อยกับการที่จะต้องทำตัวเป็นแนวหน้าในการโจมตีภูเขาทองคำอย่างแน่นอน

ลู่โจวยกมือของเขาขึ้นอย่างน่าเกรงขามก่อนจะพูดว่า "ไม่จำเป็นหรอก เหล่าลูกศิษย์ของสำนักออร์โธดอกซ์ อย่าบอกนะว่าพวกเจ้าไม่กล้าที่จะสู้หนึ่งต่อหนึ่งกันน่ะ?"

"ท่านอาจารย์พูดถูกแล้ว!" หมิงซี่หยินได้พยักหน้าก่อนจะพูดขึ้น

ในตอนนั้นเองศิษย์คนที่ห้าอย่างจ้าวยู่ก็ได้เผยรอยยิ้มออกมาก่อนที่จะพูดอย่างประชดประชันขึ้น "เจ้าหนุ่มที่บินอยู่นั่นน่ะ เจ้าเองก็ดูพอจะมีฝีมืออยู่บ้าง ถ้าหากเจ้าสามารถรับฝ่ามือของข้าเพียงฝ่ามือเดียวได้ ข้าจะยอมให้เจ้าฆ่าข้าทิ้ง ว่ายังไงกันล่ะหะ?"

"เจ้า..."

"จี้เฟิง ถอยกลับไปก่อน!"

"ได้ครับ"

ลู่ฉางเฟิงได้พูดต่อไป "พวกเจ้าคิดว่าจะไม่มีใครรู้เลยอย่างงั้นหรอ? ว่าพวกเจ้าเหล่าลูกศิษย์มหาวายร้ายทั้งเก้าจากภูเขาทองล้วนแต่เป็นยอดฝีมือของดินแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้น่ะ? ข้าไม่ได้คิดมาก่อนเลยว่าพวกเจ้า ที่เป็นถึงมหาวายร้ายจะกลัวคนรุ่นหลังได้ถึงเพียงนี้?"

ลู่โจวที่ได้ฟังไม่ได้พูดอะไรออกไปแม้แต่น้อย ตัวเขายังคงจ้องมองไปที่ศัตรูอย่างเงียบสงบ

ในตอนนั้นเองฉางเจียนจากสำนักย่อยต้วนหลินก็ได้พูดขึ้นอีกว่า "วันนี้เหล่ายอดฝีมือของสำนักออร์โธดอกซ์ได้มาผนึกกำลังกันเพื่อที่จะจัดการกับพวกเจ้าทั้งหมดแล้ว พวกเจ้าหาวายร้ายทั้งหลาย พวกเจ้าคงจะโทษพวกเราไม่ได้หรอกนะ พวกปีศาจร้ายน่ะยังไงก็ต้องถูกความยุติธรรมเข้าจัดการเข้าในท้ายที่สุดอยู่แล้ว หยุดการต่อต้านที่ไร้ความหมายพวกนี้ซะ!"

"ข้าคิดเองได้หน่าว่าอะไรคือผิดชอบชั่วดี ดีชั่วหรือถูกผิด แม้ว่าเหล่าสาวกของข้าจะเคยทำอะไรผิดพลาดมา แต่คนที่จะลงโทษพวกมันได้ก็มีแค่ข้าคนเดียวเท่านั้น! ไม่ว่าเหล่าเด็กๆ ของข้าจะทำอะไร พวกแกก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะตัดสินอะไรหรอกนะ" ลู่โจวได้พูดออกมาอย่างแผ่วเบา

เมื่อได้ยินเช่นนั้นลู่ฉางเฟิงที่ได้ฟังและคนอื่นๆ ก็หัวเราะออกมาอย่างพร้อมเพรียงกัน

"เจ้าแก่นี้มันเสแสร้งเก่งจริงๆ! มันถึงเวลาแล้วที่พวกเราจะได้ลงโทษพวกมัน แน่นอนว่าพวกมันนั่นรวมไปถึงทีเจ้าน่ะจะต้องตายลงที่ตรงนี้ ยู่เฉิงไห่แห่งสำนักใต้หล้าลูกศิษย์เจ้าได้บุกสำนักอื่นไปทั่วทุกหนแห่ง แต่เจ้ากับนิ่งเฉยไม่ทำอะไรมัน? และยังมียู่ฉางตง เจ้านั่นปล้นของมีค่ามานับหมื่นชิ้นจากเมืองหยาน เจ้าจะลงโทษพวกลูกศิษย์ของตัวเองยังไงกัน หะ?"

"ก่อนอื่นข้าขอถามอะไรอีกครั้ง ยู่ฉางตงเป็นคนที่ลักพาตัวเจ้าหญิงแห่งดินแดนตะวันตกไปเพื่อที่จะไปแต่งงานกับเธอที่เมืองหยานใช่ไหม?"

"ใช่"

"และการที่สีวู่หยาสร้างความร้าวฉานให้กับพวกผู้ฝึกยุทธ์กว่าสามหมื่นคนจนพวกเขาจะต้องฆ่ากันเองในหลงเป่ยเป็นเรื่องจริงใช่ไหม?"

“ใช่แล้ว”

"เจ้าแก่ แกนี้มันยอมรับง่ายซะจริงนะ นี้เป็นเพราะความเกียจคร้านของแกยังไงล่ะ การจะสอนศิษย์ให้ได้ดีโดยไม่ใช้กำลังมันคือความเกียจคร้านของผู้เป็นอาจารย์! เจ้าน่ะจะยังมีหน้ามาแก้ตัวอีกงั้นหรอ?"

ในช่วงหลายปีมานี้เหล่าลูกศิษย์มหาวายร้ายของเขาสร้างเรื่องชั่วร้ายมามากมาย แต่ในตอนนั้นเองเหล่าผู้ฝึกยุทธ์ของสำนักออโธดอกซ์นั้นคิดต่างออกไป

ลู่โจวเหลือบมองไปที่ลู่ฉางเฟิงก่อนที่จะตอบกลับไปอย่างเยือกเย็น "แล้วมันยังไงกันล่ะ?"

"เจ้าน่ะไม่คิดยังงั้นหรอว่าเหล่าลูกศิษย์ผู้ชั่วร้ายของเจ้าทำให้ทั้งมนุษย์และสวรรค์จะต้องเกลียดชังพวกเจ้ามากแค่ไหน?" ลู่ฉางเฟิงส่ายหัวอย่างเอือมระอา

"คนเราน่ะถ้าหากไม่ใช่ญาติกันก็ไม่มีทางที่จะมีจิตใจที่เหมือนกันได้หรอกนะ คนที่มาจากดินแดนตะวันตกพวกนั้นไม่ใช่ญาติของพวกเรา และคนที่มาจากหลงเป่ยเองก็ไม่ใช่ญาติของพวกเราเช่นกัน แต่ถึงจะเป็นแบบนั้นเจ้าก็มัวมาสงสารพวกมัน ข้ออ้างของพวกเจ้ามันช่างอ่อนแอไร้น้ำหนักซะจริง"

"เจ้า!" ลู่ฉางเฟิงรู้สึกโกรธแค้นกับสิ่งที่ลู่โจวพูด เหล่ายอดฝีมืออีกเก้าคนเองก็ได้แต่ส่ายหัวอย่างสิ้นหวังให้กับความชั่วช้าของปรมาจารย์คนนี้

ในขณะเดียวกันศิษย์ทั้งสี่ที่อยู่ด้านหลังของลู่โจวก็ได้แต่ประหลาดใจอะไรเล็กน้อย พวกเขาไม่เคยเห็นอาจารย์ของเขาต่อปากต่อคำกับพวกศัตรูเลย อาจารย์ของพวกเขาในอดีตจะสังหารศัตรูทิ้งในทันทีเมื่อพวกเขาเหล่านั้นมีความเห็นไม่ลงลอยกับเขา แต่ในตอนนี้อาจารย์ของพวกเขากับพูดให้เหตุผลกับเหล่าศัตรูอย่างใจเย็น และเพราะเหตุนี้เองจึงทำให้พวกเขารู้สึกแปลกใจ

หมิงซี่หยินได้แต่จ้องมองไปยังผู้ที่เป็นอาจารย์ ลู่โจวในตอนนี้กำลังยืนอยู่หลังม่านพลังป้องกัน แต่ถึงแบบนั้นพลังออร่าของเขารวมไปถึงทัศนคติจากท่านอาจารย์ก็ไม่ต่างจากเดิมเลย แต่อย่างไรก็ตามหมิงซี่หยินก็ยังรู้สึกแปลกอยู่ดี ทำไมความรู้สึกที่มีต่อท่านอาจารย์ได้เปลี่ยนไป แม้แต่ตัวเขาเองก็ยังไม่สามารถเข้าใจความแปลกประหลาดนี้ได้

"ตาเฒ่า เจ้าน่ะออกมาจากม่านพลังป้องกันมาดีกว่านะถ้าหากเจ้ายังคงมีความกล้าหลงเหลืออยู่ ไม่มีเหตุผลที่จะมัวเล่นลิ้นอีกต่อไป..." ฉางเจียนพูดขึ้น

"ถ้าอย่างงั้นข้าจะเป็นคู่ต่อสู้ให้กับพวกแกทั้งสิบคนเอง"

เหล่าผู้ยอดฝีมือทั้งสิบต่างก็ตกตะลึงไปชั่วขณะ หลังจากนั้นพวกเขาก็ระเบิดหัวเราะออกมา

จีเทียนเด๋าคนนั้นบาดเจ็บได้ยังไงกัน ทั้งๆ ที่การต่อสู้กับเหล่ายอดฝีมือทั้งสิบนั้นก็ผ่านมาเป็นเดือนแล้ว?

ลู่ฉางเฟิงพูดออกมาอย่างเสียงดัง "ตาเฒ่า เจ้าน่ะไม่ต้องแกล้งทำเป็นไหวหรอกนะ รีบออกมาสู้กับข้าได้แล้ว!"

ลู่โจวมองไปที่ลู่ฉางเฟิงด้วยสีหน้าที่เงียบสงบ แต่ในตอนนั้นเองคิ้วที่ขมวดเข้มของหมิงชี่หยินเองก็ได้คลายออก

"ถ้าหากเป็นท่านอาจารย์ในสมัยก่อน เขาจะต้องไม่ทำแบบนี้แน่ ถ้าหากเขาสามารถสู้กับเหล่ายอดฝีมือทั้งสิบได้จริง ตอนนี้เขาก็คงไม่ต้องมานั่งเสียเวลาเพื่อที่จะพูดคุยกับพวกนั้นหรอก ถ้าหากเรื่องราวทั้งหมดมันเป็นแบบนี้เท่ากับว่าท่านอาจารย์นั้นบาดเจ็บจริงๆ"

หลังจากที่ได้คำใบ้มารอยยิ้มมุมปากก็ได้ปรากฎขึ้นจากปากของหมิงชี่หยิน

ภายใต้สายตาของคนนับหมื่น ลู่โจวได้เดินออกจากม่านพลังป้องกันไป ตัวเขาจะเป็นคนยืนหยัดเพียงคนเดียวที่จะต่อกรกับเหล่าผู้ฝึกยุทธ์นับหมื่นคน ลู่โจวนั้นไม่เคยเจออะไรที่ยิ่งใหญ่ขนาดนี้ในตลอดชีวิตที่เขามี ถ้าหากจะบอกว่าเขาไม่ประหม่าเลยก็คงจะเป็นคำโกหก แต่อย่างไรก็ตามลู่โจวก็จะต้องพยายามสงบสติอารมณ์ให้ได้

"แสดงให้ข้าเห็นทีสิว่าพวกเจ้าสามารถทำอะไรกันได้" ลู่โจวพูดขึ้นอย่างอาจหาญ

พึบ!

ลู่ฉางเฟิงได้กระโดดขึ้นไปในกลางอากาศ ในตอนนั้นเองดาบของเขาที่อยู่ในฝักก็ลอยขึ้นก่อนที่จะหมุนตัวอย่างรวดเร็ว

"นี่เป็นเคล็ดวิชาเฉพาะของสำนักดาบสวรรค์ วิชานี้มีชื่อว่าดาบประกายแสงสวรรค์นั่นเอง ด้วยการใช้เคล็ดวิชานี้จะทำให้ผู้ใช้สามารถโจมตีได้อย่างรวดเร็วเป็นร้อยครั้งภายในพริบตา แม้แต่ยอดฝีมือจากดินแดนแห่งภัยพิบัติศักดิ์สิทธิ์โฉมใหม่ก็ยังไม่กล้าแม้แต่ที่จะเผชิญหน้ากับเคล็ดวิชานี้" ผู้ฝึกยุทธ์จากสำนักดาบสวรรค์คนหนึ่งได้อธิบายออกมาอย่างตื่นเต้น

"ก็เพราะว่านี้คือเจ้าสำนักดาบสวรรค์ยังไงล่ะ!"

"การโจมตีครั้งนี้จะต้องทำให้ตาเฒ่านั่นเผยธาตุแท้ออกมาได้อย่างแน่นอน แม้ว่าตาแก่นั่นจะสามารถรับการโจมตีได้ มันก็คงไม่อาจเปลี่ยนแปลงอะไรได้หรอก"

"วันนี้เป็นวันตายของตาแก่นั่นแล้ว!"

ติดตามแฟนเพจอัพเดทข่าวสารอ่านนิยายก่อนใครได้ที่ FB: ND Translate นิยายแปลไทย 

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด