ตอนที่แล้วDH บทที่ 19 - จับใจหญิงงามด้วยดาบและเงิน
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปDH บทที่ 21 - อัจฉริยะและคนเขลา

DH บทที่ 20 - ทดสอบเข้าสำนัก


DH บทที่ 20 - ทดสอบเข้าสำนัก

สำนักพินิจดาบเป็นสำนักศิลปะการต่อสู้ที่ใหญ่ที่สุดในรัศมีหนึ่งพันไมล์นี้

เหล่าหนุ่มสาวจำนวนนับไม่ถ้วนต่างก็อยากเข้าร่วมเป็นศิษย์

ดังนั้นผู้มีพรสวรรค์มากมายจึงมาเข้าร่วมการทดสอบเข้าของสำนักนี้เป็นจำนวนมาก นอกจากนั้นยังมีพวกทหารจากเมืองรอบข้างร่วมป้องกันเหล่าศิษย์และสมาชิกของสำนักพินิจดาบอีกด้วย...และนั่นก็เพราะไม่มีใครรู้ว่าคนจำนวนมากที่มาที่นี่มีเจตนาร้ายดีอย่างไรบ้าง

เมื่อระฆังแห่งสำนักพินิจดาบดังขึ้นครบสิบครั้ง การทดสอบก็จะเริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการ

ติงโฮวไม่ได้รออยู่บริเวณหน้าเทือกเขา แต่กลับไปอยู่ที่บ่อน้ำดาบพิสุทธิ์ที่บริเวณตีนเขาแทน

เขาใช้เวลาสองชั่วโมงทำหน้าที่ของตัวเองในวันนี้ แล้วจึงใช้อีกหนึ่งชั่วโมงในการฝึกซ้อมกับดาบที่ข้างบ่อน้ำ หลังจากนั้นเขากระโดดลงบ่อ อาบน้ำและเปลี่ยนมาใส่เสื้อผ้าที่สะอาดเอี่ยม ติงโฮวปรับสภาพร่างกายให้อยู่ในสภาพเตรียมพร้อมก่อนออกเดินทางขึ้นเขาไปยังสำนักพินิจดาบ

เมื่อติงโฮวมาถึงจัตุรัสของสำนัก พิธีรับศิษย์ก็ได้เริ่มไปกว่าสองชั่วโมงแล้ว ที่นั่นมีฝูงชนจำนวนมหาศาลส่งเสียงดังกันอย่างต่อเนื่องเลยทีเดียว

บททดสอบเพื่อเข้าสำนักพินิจดาบนั้นเป็นระบบอย่างมาก เพราะสำนักเคยจัดการทดสอบมาแล้วกว่าพันครั้ง ดังนั้นมันจึงถูกพัฒนาและเปลี่ยนแปลงให้ดีขึ้นอยู่ตลอด มันถูกแบ่งออกเป็นหกส่วนหลักอันได้แก่ การทดสอบอายุกระดูก การทดสอบองค์ประกอบธาตุ การทดสอบระดับพลังลมปราณ การทดสอบความเข้าใจ การทดสอบสมรรถภาพร่างกาย และการทดสอบพลังใจ โดยจะมีศิษย์และผู้อาวุโสของสำนักเป็นผู้ทำการทดสอบตามจุดทดสอบทั้งหลายที่จัดตั้งไว้ และแต่ละขั้นตอนก็จะเป็นไปอย่างรวดเร็ว

คนหนุ่มสาวที่เข้ามาเพื่อการทดสอบนี้ถูกคัดออกอย่างไร้เมตตาไปแล้วนับพัน ๆ คนภายในสองชั่วโมงที่ผ่านมา

คนบางกลุ่มส่งเสียงร้องดีใจที่พวกเขาผ่านการทดสอบรอบแรกไปได้ ในขณะที่บางคนส่งเสียงโอดครวญและพยายามฆ่าตัวตายเพราะสอบตก

ในจัตุรัสเต็มไปด้วยภาพชีวิตที่มีความสุขและทุกข์ทรมานปะปนกันไปทั่ว

และแล้วติงโฮวมาถึงจุดลงทะเบียนที่หน้าจัตุรัส

จุดนี้เป็นจุดสำหรับ “การทดสอบอายุกระดูก” ซึ่งเป็นการทดสอบแรกสุดในห้าขั้นทั้งหมด ผู้เข้าทดสอบจะผ่านด่านนี้ไปได้ก็ต่อเมื่อมีผลการทดสอบอายุกระดูกน้อยกว่า 15 ปี และเพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา ผู้ทดสอบที่มีคุณสมบัติผ่านในข้อนี้เท่านั้นที่จะสามารถทำการทดสอบอย่างอื่นต่อไปได้

หญิงสูงอายุผมขาวสวมชุดยาวสีเงินนั่งอยู่เงียบ ๆ บนเก้าอี้โยกที่ทำจากไม้ไผ่ นางกำลังสังเกตการณ์บริเวณพื้นที่ลงทะเบียน

มีศิษย์รุ่นที่สามมากกว่าสิบคนอยู่ตรงนั้น พวกเขาชุดสีแดงที่มีลวดลายสีดำและสวมแหวนที่แหลมคมบนนิ้ว เหล่าศิษย์จะใช้แหวนนี้วาดลงบนผิวหนังของผู้เข้าทดสอบเพื่อให้มันวิเคราะห์และรายงานผลอายุที่แท้จริง

“13 ปี ผ่าน!”

“9 ปี ผ่าน!”

“16 ปี ไม่ผ่าน!”

“21 ปี นี่ไอ้หนุ่ม เจ้าอายุเกินแล้ว ยังจะกล้าแสร้างทำตัวเป็นเด็กมาทดสอบอีก ไม่ผ่าน!”

“15 ปีครึ่ง ไม่ผ่าน!”

ศิษย์รุ่นที่สามเป็นกรรมการที่เข้มงวดที่สุดแล้ว พวกเขาประกาศชะตาของผู้เข้าทดสอบแต่ละคนอย่างเปิดเผย

หลังจากพวกคนพยายามโกหกให้สอบผ่านนั้นถูกเปิดโปงกันไปแล้ว บางคนก็เดินคอตกกลับไป บางคนก็ร้องไห้และวิงวอนขอให้ตัวเองผ่าน แต่พวกเขาจะไม่ได้รับความเห็นใจจากสำนักพินิจดาบหรอก และถ้ายังเซ้าซี้มากนัก ศิษย์ของสำนักก็จะเป็นคนโยนพวกเขาลงจากเทือกเขาด้วยตัวเอง

ติงโฮวถอนหายใจ

เขาเข้าแถวและรอไม่นานก็ได้มายืนอยู่ข้างหน้าสุด

หลังโต๊ะไม้สีดำ มีชายรูปหล่อผู้เป็นศิษย์รุ่นที่สามยืนอยู่และเหลือบมองติงโฮว ดูเหมือนว่าเขาจะอายุประมาณ 20 ชายหนุ่มพูดขึ้นนิ่ง ๆ “ยืดแขนเจ้าออกมา ให้ถูกข้างด้วย เร็ว ๆ!”

ติงโฮวยื่นแขนซ้ายออกไปแล้วรู้สึกเหมือนโดนผึ้งต่อย มันชาเล็กน้อย

การทดสอบเกิดขึ้นเร็วมาก!

ความสามารถของศิษย์รุ่นที่สามนั้นมากเกินหยั่งถึง ติงโฮวไม่ทันสังเกตการเคลื่อนไหวของเขาด้วยซ้ำ

“14 ปีครึ่ง ผ่าน!” ศิษย์รุ่นสามรูปหล่อคนนั้นมองเฉดสีที่ปรากฏขึ้นบนแหวนของเขาและประกาศผลให้ติงโฮวผ่านการทดสอบ

ติงโฮวถอนหายใจอย่างโล่งอก ในที่สุดเขาก็ผ่านการทดสอบแรกมาได้

ท่ามกลางสายตาที่อิจฉาของคนรอบข้าง ติงโฮวรีบไปยังโต๊ะตัวถัดไปอย่างรวดเร็ว เขาหยิบเอาแผ่นไม้ที่ต้องได้รับมาจากศิษย์รุ่นที่สามของสำนักพินิจดาบอีกคนหนึ่ง

ไม้แผ่นเรียบลื่นนั้นจะเป็นเครื่องหมายให้ติงโฮวเข้าทดสอบในหัวข้อถัดไปได้ ด้านหนึ่งของไม้มีรูปดาบเล่มยาวดูยิ่งใหญ่ ส่วนอีกด้านมีหมายเลข 9989 สลักเอาไว้

นั่นหมายความว่าติงโฮวเป็นเด็กหนุ่มคนที่ 9989 ที่ผ่านการทดสอบอายุกระดูก

ในทุก ๆ ปี เด็กหนุ่มสาวจำนวนร่วมหมื่นคนจะมาที่สำนักพินิจดาบเพื่อเข้าร่วมการทดสอบ แต่ในท้ายที่สุดจะมีเพียง 2000 คนเท่านั้นที่จะผ่านการทดสอบทั้งหกขั้นและได้มีรายชื่อที่จะเข้าเป็นศิษย์ มันเป็นการแข่งขันที่ดุเดือดมากทีเดียว

ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อฝึกฝนครบสองปี ผู้อยู่ในรายชื่อทั้ง 2000 คนจะต้องเข้าร่วมการทดสอบขั้นที่สอง และผู้ที่ผ่านการทดสอบนี้เท่านั้นที่จะได้เป็นศิษย์ของสำนักพินิจดาบอย่างแท้จริง ส่วนคนที่ไม่ผ่านก็จะต้องออกจากสำนักไป

ชัดเจนทีเดียวว่า เส้นทางสู่การเป็นจอมยุทธในดินแดนนี้นั้นช่างยากเหลือเกิน

สิบนาทีต่อมา ติงโฮวนำแผ่นป้ายนั้นไปยังจุดทดสอบที่สอง

จุดนี้จะเป็นการทำการทดสอบองค์ประกอบธาตุของผู้เข้าร่วม

ในดินแดนไร้ขอบเขต จอมยุทธจะถูกฝึกพลังลมปราณอันประกอบด้วยธาตุ 5 ชนิดด้วยกัน

ตั้งแต่โบราณมา จอมยุทธของดินแดนจะต้องครอบครองธาตุพื้นฐานอย่างโลหะ ไม้ น้ำ ไฟ และดิน นอกเหนือจากนั้นยังมีธาตุอื่น ๆ ที่หายาก เช่น สุญญากาศ ความมืด และแสงสว่าง ซึ่งธาตุของแต่ละคนจะแตกต่างกันออกไป

จุดมุ่งหมายของการทดสอบองค์ประกอบธาตุก็เพื่อให้แต่ละคนได้รับการสอนวิชา รวมถึงได้รับทักษะ ตำราลับ และยาที่เหมาะสมต่างกันในอนาคตต่อไป การทำแบบนี้จะเป็นประโยชน์แก่สำนักให้สามารถจัดเตรียมการฝึกสำหรับศิษย์แต่ละคนได้

แน่นอนว่าจะต้องมีการทดสอบพรสวรรค์ในการฝึกฝนด้วยเช่นกัน

ผู้ใดครอบครองธาตุที่บริสุทธิ์มากกว่าก็จะได้เปรียบเพราะจะทำให้เส้นทางในการฝึกในอนาคตของพวกเขากว้างขึ้น ส่วนคนที่ครอบครองธาตุที่หลากหลายนั้นอาจไม่แข็งแกร่งเท่าและจะต้องพบความยากลำบากมากกว่าในระหว่างการฝึก

ที่จุดทดสอบองค์ประกอบธาตุมีผู้คนอยู่เนืองแน่น บริเวณตรงกลางมีแท่นทำจากหินสีเขียววางไว้กว่าสิบแท่น บนแท่นเหล่านั้นมีโต๊ะหินสีเขียวกว้างราวสองเมตรและยาวกว่ายี่สิบเมตร บนโต๊ะมีหินทรงรีคล้ายไข่ขนาดสูงประมาณหนึ่งเมตรวางอยู่หกก้อนด้วยกัน แต่ละก้อนถูกจัดให้เป็นตัวแทนของธาตุทอง ไม้ น้ำ ไฟ ดิน และธาตุที่หายากเพื่อใช้ในการทดสอบ ผิวของหิวเหล่านั้นนั้นเรียบลื่นและแต่ละก้อนมีสีที่ต่างกัน

ด้านหลังโต๊ะหินขนาดใหญ่มีศิษย์อาวุโสของสำนักหกคน ทั้งหมดสวมชุดสีเงิน

ศิษย์อาวุโสส่วนมากแก่หง่อมดูปวกเปียกเหมือนจะปลิวไปกับสายลม แต่พวกเขากลับเปล่งรังสีที่น่าเกรงขามดูทำให้ดูแข็งแกร่งราวกับเทือกเขาอายุนับพันปี ผู้เข้าทดสอบทุกคนต่างรู้สึกประหม่า พวกเขายืนเรียงแถวกันอย่างเป็นระเบียบและไม่กล้าขยับตัวกันเลย

รังสีของศิษย์รุ่นที่สามที่สวมใส่ชุดสีแดงลายดำเหล่านั้นก็ไม่น้อยหน้าไปกว่ากันเลย เหล่าศิษย์กำลังวุ่นวายอยู่กับการทดสอบและประกาศผล

คนหนุ่มสาวที่ผ่านการทดสอบอายุกระดูกต่างก็มายืนเข้าแถวหน้าโต๊ะหินขนาดใหญ่ พวกเขาจะต้องแสดงหมายเลขของตัวเองก่อนที่จะเดินต่อไปตามโต๊ะนั้นแล้ววางมือลงบนหินรูปไข่ทั้งหกก้อน หากพวกเขาทำให้หินเกิดแสงประกายขึ้นมาได้ก็จะเป็นการพิสูจน์ว่าคนคนนั้นครอบครองธาตุนั้น ๆ และความสุกสว่างของประกายที่เกิดขึ้นนั้นก็จะแสดงถึงความบริสุทธิ์ของธาตุในตัวผู้เข้าทดสอบ

“หมายเลข 765 จางฟ่าน ธาตุโลหะ ระดับ ต่ำ”

“หมายเลข 894 ลี่เฟย ธาตุดิน ระดับ กลาง”

“หมายเลข 1467 หวูมู่โชว ธาตุไฟ ระดับ ต่ำ”

“หมายเลข 2250 เฉาหยาน ธาตุน้ำ ระดับ สูง!”

ลำแสงจำนวนมากพุ่งออกจากหินรูปไข่ ศิษย์รุ่นที่สามยืนอยู่ข้าง ๆ เพื่อดูและบันทึกผล เขาส่งเสียงตะโกนดังก้องเพื่อประกาศชะตาของผู้เข้าทดสอบ และเช่นเคย บางคนก็พอใจในผลลัพธ์ในขณะที่บางคนต้องหมดหวัง

โดยเฉพาะหมายเลข 2250 เฉาหยาน เด็กหนุ่มอายุ 13 ที่แต่งตัวดีคนนั้น เมื่อได้ยินผลประกาศ เขาส่งเสียงดีใจด้วยความตื่นเต้นและโผเข้ากอดพ่อแม่ทันที การมีธาตุน้ำระดับสูงในตัวนั้นถือได้ว่าเขาเป็นอัจฉริยะเลยทีเดียว

ส่วนจางฟ่านที่ผลการทดสอบปรากฏว่ามีธาตุโลหะระดับต่ำ เขาอายุ 14 ปีครึ่งดูเป็นเด็กชายทั่ว ๆ ไปที่สวมใส่ชุดเกราะเก่า ๆ ของครอบครัวนักล่าสัตว์ แสดงให้เห็นว่าภูมิหลังครอบครัวของเขาไม่ได้ดีมากนัก วันนี้เขามาเข้าร่วมพร้อมกับกลุ่มนักล่าท่าทางน่ากลัว

เมื่อพวกเขาได้ยินผลการทดสอบ จางฟ่านและพวกนักล่าดูเศร้าลงในทันที

ผู้มีพรสวรรค์แบบนี้จะถูกจัดอยู่ในกลุ่มชั้นต่ำลงมา

ถ้าจางฟ่านทำได้ไม่ดีในการทดสอบที่เหลือ เขาคงเหลือแทบไม่เหลือที่จะได้เข้าเป็นศิษย์สำนักพินิจดาบจริง ๆ และคงไม่ได้ฝึกวิทยายุทธอีกแล้ว

ในตอนนั้นเอง —

“อ้าว เจ้าก็มาด้วยงั้นเหรอ” เสียงที่เต็มไปด้วยความประหลาดใจดังขึ้นข้างหูติงโฮว “เจ้ามาเพื่อทดสอบก็แปลว่าเจ้าไม่ใช่ศิษย์สำนักพินิจดาบน่ะสิ”

ติงโฮวหันหน้าขึ้นมอง

ตรงหน้าเขาคือชายหนุ่มร่างกำยำ ซาวเฉิงซวนจากชิงหยางที่เขาเคยพบข้างบ่อน้ำแห่งดาบบริสุทธิ์เมื่อสามวันก่อน ซาวเฉิงซวนเดินตรงเข้ามาหาแล้วมองเขาด้วยความสีหน้าตกใจ

ติงโฮวยิ้มเล็กน้อยแต่ไม่ได้พูดอะไร

“ฮ่าฮ่า วันนั้นข้าคงโดนเจ้าหลอกสินะ แสบจริง ๆ” ซาวเฉิงซวนหัวเราะเสียงดัง ชายหนุ่มจากชิงหยางคนนี้มีคิ้วที่คมราวกับใบมีด แต่เขาเป็นคนอัธยาศัยดีและไม่ได้โกรธติงโฮวเลย

ขณะที่กำลังพูดคุย ซาวเฉิงซวนก็มาอยู่ตรงหน้าโต๊ะหินพอดี

จอมยุทธหนุ่มจากชิงหยางแสดงแผ่นไม้ของตนแล้วเดินไปยังหินก้อนแรกอย่างมั่นใจ ทันทีที่เขาวางมือลงบนหิน ลำแสงสว่างจ้าก็พวยพุ่งสู่ท้องฟ้าอย่างรวดเร็ว มันพุ่งสูงขึ้นไปเป็นสิบ ๆ เมตรและสว่างจ้าจนทำให้แสบตา เป็นภาพที่ทำให้ผู้คนต่างพากันอึ้งไปตาม ๆ กัน