ตอนที่แล้วตอนที่ 9 ข้อมูลต้องมาก่อน (Information First) (2)
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 11 ทั้งหมดหรือไม่มีเลย ( All or nothing )

ตอนที่ 10 ความจริงมักใกล้ตัวเราเสมอ (Truth is always close to us)


ความจริงมักใกล้ตัวเราเสมอ

(Truth is always close with us.)

' บ้าจริง! ถ้างั้นโลกนี้ก็ไม่ได้เป็นช่วงยุคล่าอาณานิคมหรอกหรอไม่สิเราผิดเองที่มีข้อมูลไม่เพียงพอ อูวาา ชักจะยุ่งยากซะแล้วสิ! ' เหงื่อผุดขึ้นมาบนใบหน้างาม แม้ว่าจะไม่ได้กระทบกับความเป็นอยู่ของเขาแต่มันกลับบ่งบอกถึงความแตกต่างของวัฒนธรรมของทั้งสอง มันอาจจะนักกว่าระบบขุนนางเลยด้วยซ้ำ เหมือนเป็นการเหยียดยํ่าอยู่กับที่เสียมากกว่า แต่จะให้ทำอย่างไรได้ ก็ในเมื่อเราไม่มีอํานาจจะไปเปลี่ยนแปลงอะไรเสียหน่อย..

ระหว่างที่ลาสกําลังครุ่นคิดอยู่นั้นเอง ก็ได้มีเสียงคนมากมายที่มุงรุมล้อมดังจ้อกแจ้ก ณ จุดจุดหนึ่งใกล้ๆลานกว้าง เสียงผู้คนคุยกันเสียงดังกันจนเรียกความสนใจของทั้งสอง ด้วยความสนอกสนใจพวกเธอทั้งสองจึงได้เดินเข้าไปใกล้ๆด้วยความอยากรู้อยากเห็น ว่าเหล่าชาวเมืองกําลังมุงรุมรอบอะไรกัน จนกระทั่งเสียงของเด็กชายคนหนึ่งได้ป่าวประกาศให้ทุกคนเงียบก่อนจะหยิบซองจดหมายขึ้นมาอ่าน แต่เป็นคําพูดสั้นๆ

[ ประกาศ!!! หลังการประชุมที่หัวเมืองบอสตันมีการลงมติ 28 ต่อ 22 เสียง เป็นเอกฉันท์ว่าให้เปิดการเกณฑ์ทหารอาสาเพิ่ม! ]

เสียงโห้ร้องของเหล่าชายหนุ่มดังขึ้น แสดงความดีใจอย่างล้นหลาม หมวกถูกโยนขึ้นเพื่อแสดงควายินดี แม้จะมีสายตาบางกลุ่มที่ไม่ค่อยเห็นด้วย โดยเฉพาะพวกชนชั้นปกครองที่มองการณ์ไกล ลาสที่ยืนงงเป็นไก่ตาแตกก็รู้สึกตกใจกําเหตการณ์ตรงหน้าจนต้องถามไวส์ว่าทำไมทุกคนจึงดูดีใจที่จะได้สมัครออกไปรบ ไวส์ทำหน้าครุ่นคิดก่อนจะเอ่ยตอบลาสไป

" อยากจะบอกสวัสดิการที่ดีมักเชิญชวนผู้คนที่อดอยากได้มากโขง แต่เอาจริงๆแล้วช่วงนี้หลายพื้นที่ปัญหาเรื่องการเกษตรและภาษีที่มาก เป็นใครก็อยากได้ความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นกว่าเดิมทั้งนั้น "

แม้จะดูงง แต่เจ้าตัวกลับจ้องมองไปยังภาพข้างหน้าของเขา เพราะหลังจากนี้มันอนาคตภาพเหล่านี้จะเกิดขึ้นอีกครั้ง แต่มันก็เป็นเรื่องของอนาคตใครก็ไม่สามารถลิขิตมันได้ สุดท้ายก็ขอให้ปล่อยเป็นไปตามโชคชะตาของตัวมันเอง

เหล่าชายฉกรรจ์หลายหน้าหลายตาเดินต่อแถวกันเพื่อลงสมัครเข้ากองทหารทหารอาสา เสียงคาบศิลากระทบกันพร้อมกลิ่นควันของมันดังพร้อมกันทันที เสียงพูดคุยกันในหลายๆเรื่อง หลายคนที่คุยกันเสียงดังนั้น ร่างบางได้ยิน หลานคนพูดประมาณว่าถ้าจบศึก เจ้าตัวก็อยากจะเป็นทหารประจําการเพราะด้วยความที่เจ้าตัวไม่มีงานหรือว่างงาน ไม่สามารถหาเงินมาเลี้ยงครอบครัวได้ เป็นปัญหาหลักของชาวอาณานิคม ส่วนใหญ่แล้วทหารอาสาหลังจบศึกสงครามแล้ว ก็จะกลับบ้านกลับช่องหรือเก็บสิ่งของจากสนามรบกลับไปขายเพื่อหากําไรอีกด้วย แค่ลาสมองกลุ่มคนเหล่านี้ก็รู้ได้เลยว่า ที่แห่งนี้ยังไม่มีความว่ารัฐชาติหรือเป็นก็คงต้องงบอกว่าเป็นรัฐชาติที่แย่ที่สุดเลยก็เป็นได้ รัฐชาติคือเหล่าประชาชนในเมืองที่มีความภาคภูมิใจ และจงรักภักดีต่อดินแดนที่ตนอยู่ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า รัฐชาติต้องมีแค่ประชาชน แต่รัฐชาติเอกภาพทางการเมือง อํานาจอธิปไตย มีอาณาเขตที่ชัดเจน

แต่ตรงหน้าของทั้งสองทำให้ตัวของลาสเข้าใจถึงสถานการณ์ของอาณานิคมแห่งนี้เป็นแน่ชัดแล้ว หางตาของชายหนุ่มหน้าหวานคนนี้หันไปมองอีกทางฝั่งโพ้นทะเลตรงข้ามนั้น ทะเลอันกว้างใหญ่และห่างไกลจากที่ที่เขายื่นอยู่ มันคือโลกที่ทันสมัยใหม่กว่าที่นี้อยู่แน่แท้ แล้วทำไมกันล่ะ ทำไมพวกเขาถึงได้ครองเทคโนโลยีไว้ที่ตัวเองผู้เดียว ทำไมพวกเขาถึงไม่ดูรากฐานที่แท้จริง ทำไมกันล่ะ หรือเป็นเพราะค่านิยมที่คิดขึ้นมาเองหรอ หรือเป็นเพราะความกลัวที่จะถูกแย่งสิ่งที่ท่านสร้างมากับมือต้องไปเป็นของผู้อื่น คําถาม คําตอบสุดท้ายเราก็ต้องเป็นคนหามันมาเอง สังคม ค่านิยม สํานึก อุดมการณ์ ของเหล่านั้นช่างแตกต่าง ถ้าอย่างนั้น

' ก็เปลี่ยนแปลงมันสิ...หึ! ความไม่เท่าเทียมหรอ ความแตกต่างงั้นหรอจะที่ไหนก็เหมือนกันทั้งนั้นแหละ ' ความโกรธความแค้นและความน้อยใจแต่สิ่งท่เคยได้ศึกษาและเจอมาจากโลกก่อน มันค่อยๆทำให้ความคิดในจิตใจลาสเริ่มก่อตัวขึ้นมาอย่างรวดเร็ว แม้ตัวเขาเองจะไม่ได้ยุ่งเกี่ยวหรือมีความผูกพันกับที่นี้มากหนัก แต่บ้านเกิดเขาก็หาได้แตกต่างจากที่นี่ไม่ ความแตกต่างทำให้เราลำบากอย่างมาก ถ้าทำอะไรแล้วมันสวนทางหรือแย้งกับค่านิยมสายหลักของสังคม ก็จะถูกหมายหัวอยู่แทบไม่ได้ ยกเว้นบางส่วนที่เปิดอกเปิดใจยอมรับในความแตกต่างของผู้อื่นซึ่งก็ดีกันไป

บรรยากาศรอบๆตัวของเด็กหนุ่มเริ่มมืดมัวขึ้นเรื่อยๆ ขนาดที่ว่าเจ้าตัวเป็นพวกเก็บสีหน้าว่าเก่งแล้ว ตอนนี้กลับแสดงถึงความเกรี้ยวโกรธและอิจฉาริษยาอย่างที่สุด แม้ว่ามันจะดูไม่ค่อยออกแต่สําหรับผู้ที่อยู่ข้างๆเด็กหนุ่ม ผู้ที่เดินทางด้วยกันมาเป็นเดือนก็สามารถรับรู้ได้ว่าเจ้าตัวข้างๆกําลังไม่สบอารมณ์อย่างแรง " กลับกันเถอะ... " สุดท้ายจิ้งจอกขาวก็ต้องเรียกด้วยการชวนกลับบ้าน แม่จะดูงงกับอารมณ์ของรางเล็กข้างๆเธอ ระหว่างที่ทั้งสองกําลังเดินกลับก็มีคนทัก ตัวของเขาค่อนข้างสูง แต่ใบหน้าประดับไปด้วยรอยยิ้ม ออกไปทางคนยุโรปค่อนข้างแก่ชรา แต่ใบหน้าคุณเหลือเกิน เหมือนเจอกันที่ไหนแต่คิดเท่าไรก็ไม่ออก

" โอ้ว! นั้นไวส์กับเจ้าหนุ่มหน้าสวยนี่นา พอดีเลยๆช่างโชคดียิ่งนัก " ชายแก่ในชุดนักเวทย์ขาวซึ่งก็ไม่ใช่ใครที่ไหนแต่เป็นคนเดียวกับคนที่รักษาลาสตอนแรกที่บ้านพักในหมู่บ้านตอนที่ลาสฟื้นตื่นขึ้นมานั้นเอง

" ท่านลุง! ไม่ใช่ว่าท่านลุงมีธุระที่นิวนอร์ฟอล์กหรอกหรอ อ่ะ! ลาสท่านผู้นี้คืออาจารย์ของฉันเอง ที่ช่วยนายตอนที่ถูก ฮันเตอร์ วูล์ฟ เล่นงานไง ฉันลืมแนะนําท่านลุงขอโทษทีนะ " ไวส์ดูตื่นเต้นที่ได้เจอกับนักเวทย์ตรงหน้า เป็นใครก็คงคิดว่าเป็นญาติกันแน่ๆ ยกเว้นแต่คนตรงหน้าไวส์เป็นอาจารย์ของไวส์หรือก็คือนักเวทย์แห่งแสงที่เคยได้ยินแว่วๆจากตอนที่เจอคุรหนูเฟลิเซีย

" โห้ๆ ทีแท้ เจ้ามีนามว่าลาสสินะ คราวหลังดูแลตัวเองให้ดีหน่อยละกัน ไม่มีผู้ใดกล้าเข้าไปลึกมากในดินแดนอาริกาเซีย ยังมีพื้นทีหลายส่วนที่ยังไม่ได้สํารวจ เจ้าควรจะระวังตัวให้มาก โห้ๆ ว่าแต่ว่าไวส์ไอสมชายมันอยู่ไหนหรอ พอดีมีธุระกับเจ้าบ้านั้นพอดี "

" กําลังกลับพอดีเลยค่ะ! ถะ ถ้าไม่รังเกียจเชิญท่านลุงเดินกลับไปพร้อมกับพวกเราด้วยค่ะ "

หางและหูจิ้งจอกสีขาวหิมะที่น่าเอาหน้าไปฟัดให้รู้แล้วรู้รอดไปเลยเริ่มที่จะส่ายไปมาอย่างน่ารักเหมือนลูกหมาน้อย(?)ที่เห็นเจ้าของกลับบ้าน มันช่างผิดกับบุคลิกที่ชอบเงียบๆครึ้มๆแล้วดูอวดดีจนน่าหมั่นไส้ มันกลับกลายเป็นเหมือนเด็กน้อยซะงั้น? แต่ว่านะ...ไวส์นี่ ถ้าทำตัวเหมือนเด็กก็น่ารักดีเหมาะกับส่วนสูงเจ้าตัวอะนะ แม้ว่าอายุจะมากกว่าก็เถอะ แน่นอนว่าลาสที่มองก็รู้สึกตกใจกับอาการของพี่สาวข้างหน้าของตนที่เปลี่ยนไปอย่างมาก จากที่ดูทำตัวไม่สมอายุกลับกลายเป็นว่ากลายเป็นเด็กน้อยไปซะงั้น ถ้าเอามือที่ลูบหัวคงจะรู้สึกดีไม่น้อย

" ว่าแต่ว่าท่านลุงมีธุระอะไรกับตาแก่บ้ากล้ามนั้นหรือคะ? " ไวส์ถามเรื่องธุระระหว่างอาจารย์ของเธอและลุงสมชาย

" คือว่านะ ข้าคงบอกอะไรเจ้ามากไม่ได้หรอกนะ มันเป็นเพราะเรื่องนี้มันเกี่ยวข้องกับพวกสมาพันธ์ "

สมาพันธ์? สมาพันธ์การค้า? คําถามผุดขึ้นมากบนใบหน้านวลของลาส สมาพันธ์มีความเกี่ยวข้องอะไรกับคุณลุงสมชาย ลาสทำหน้าครุ่นคิด ระหว่างที่คิดไปเรื่อยนั้นลาสก็นึกเรื่องที่ยูทาก้า ซึ่งก็เริ่มที่จะปะติดปะต่อกันเป็นเรื่องราว คร่าวๆได้แล้ว ' ลุงสมชายคคงเกี่ยวข้องอะไรกับสมาพันธ์สักอย่างนี่ละ เอ๋ถ้าเป็นไปได้...." ลาสหยุดเดินพร้อมกลับมาทำหน้าเรียบเฉยเหมือนคนที่เข้าใจอะไรสักอย้างแล้ว ทั้งสองที่กําลังเดินอยู่ข้างหน้าหันไปมองคนด้านหลังด้วยความมึนงงต่อการกระทำของเขา

" เป็นอะไรของนายกันลาสทำไมถึงหยุดเดินกัน? " ไวส์ถาม

" อืม... ป่าวหรอกไปกันต่อเถอะ แค่คิดว่าผมควรที่จะรู้จักคนตรงข้ามให้ดีก่อนที่จะเชื่อใจ เหมือนหลักสวอต ซึ่งมันเหมาะจะใช้คําของคนคนหนึ่งน่ะ " ลาสกล่าวกับไวส์พร้อมรอยยิ้มบนใบหน้า สร้างความสงสัยแก่เจ้าตัวคนถามอย่างยิ่ง

" คําว่าอะไรหรอ? "

" รบร้อยครั้ง ชนะร้อยครั้ง "

.

.

.

.

.

.

.

.

ชาวบ้านและผู้คนมากมายที่เดินไปมาเต็มถนนหนทาง เด็กเล็กวิ่งเล่นกันอย่างสนุกสนาน ภาพข้างหน้าของทั้งสามคนชวนให้รู้สึกผ่อนคลายเล็กน้อย แม้ว่าจะมีแค่สองคนที่ดูมีสนุกสนาน ยกเว้นคนด้านหลังไว้คนหนึ่งที่เหม่อลอยไปมา ทั้งสามได้เดินมาถึงหน้าบ้านของลุงสมชาย ลาสสังเกตุเห็นกลุ่มคนในชุดคลุมประมาณสี่ห้าคนเดินเข้าไปในบ้านของลุงสมชาย ถ้าเป็นใครก็คงแปลกใจและตื่นตัวเพราะยังไงมันก็แปลกตาอย่างมากที่เห็นคนแปลกหน้าเข้าเดินบ้านตัวเอง ถ้าใครจะคิดว่าไม่ใช่โจรก็คงแปลกไม่ก็ชิวเกินไปแล้วละ

ลาสที่กําลังจะทักเรียกไวส์ แต่เจ้าตัวดันเดินไปเปิดประตูแถมยังตะโกนเสียงดังอีกต่างหาก

" กลับมาแล้วตาแก่! " เสียงของหญิงสาวดังเรียกความสนใจของผู้คนที่อยู่ในบ้านอย่างมาก แม้ในใจอยากจะห้ามแต่มันก็ไม่ทันซะแล้วสิ ก็เสียงดันขนาดนั้นถ้าใครไม่ได้ยินก็คงหูอื้อแล้วกะมั้ง น่าอายมาก! หูของลาสแดงเล็กน้อยเมื่อถูกจ้องมองจากชาวบ้านรอบๆ ที่ตกใจกับเสียงตะโกนของไวส์

" นั้นมันท่าน กิเดียน มิธรันเดียร์ นี่นา พักนี้ไม่ค่อยได้เห็นท่านเลยนะ ฮ่าๆ มาสิๆมานั่งกันก่อนสิ ข้ามีแขกจะแนะนําให้ท่านรู้จักด้วย ส่วนไวส์ไปชงชาหน่อยสิ แต่ไม่ต้องเรียกคนอื่นมานะ " ลุงสมชายเปิดประตูออกมาก่อนจะเดินมาทักทายใกล้ๆพร้อมยืนมือออกมาทักทายอาจารย์ของไวส์ที่สึ่งดูเหมือนจะรู้จักกันมานานแล้ว นามของนักเวทผู้นี้คือ กิเดียน นักเวทย์ชั้นสูงที่โด่งดัง แน่นอนว่าทั้งสองคนคงรู้จักกันอยู่แล้ว สังเกตจากสีหน้าของลุงสมชายที่ยิ้มเหมือนเจอคนในวงเหล้าก็ไม่ผิดก็พอเดาได้อยู่หรอก เจ้าตัวเรียกทั้งสามให้มานั่งคุยกันซึ่งตรงข้ามของลุงสมชายมีชายในชุดคลุมสองคนที่นั่งอยู่ ส่วนคนรอบๆไม่ได้เข้าไปนั่งแต่กําลังเดินไปตรงประตูแทนซึ่งอาจจะเป็นเพราะพวกเขาเป็นคนคุ้มกันแทนผู้ที่จะคุย

" อ๊ะ ท่าน กิเดียน ไม่ได้พบกันนานเลยนะครับ เป็นเกียรติที่ได้พบท่านจริงๆ" ชายในชุดคลุมที่นั่งอยู่ได้เปิดผ้าคลุ่มหัวออก ผมสีบลอนด์ทอง ใบหน้าที่หล่อสมกับขุนนางในยุโรป ซึ่งชุดที่ใส่เป็นชุดทหารที่ต่างจากทหารทั่วไปพอสมควร พร้อมกับเจ้าตัวที่ทักทายผู้ที่เข้ามาใหม่ด้วยความสุภาพ แต่ที่น่าแปลกใจคือคนที่ถูกทักดันทำสีหน้าเหมือนคนรู้จักซะงั้น

" กาย ดิ ดับลินท์ งั้นหรอ?? โอ้ว!! เจ้าดูโตขึ้นเยอะจนข้าแทบจําไม่ได้เลยละ ถ้าตัวข้าจําไม่ผิดพวกเราพบกันครั้งสุดท้ายที่ เวสตันสโตน สินะ ฮ่าๆตอนนั้นเจ้ายังเป็นนักเรียนอยู่เลย ดูเจ้าตอนนี้สิคงจะใกล้ได้รับตําแหน่งเจ้าเมืองต่อจากบิดาเจ้าแล้วกะมั้ง " กิเดียนกล่าวพูดอย่างกับตาลุงที่ไม่ได้เจอหลานมาเป็นแรมปี

" ขอบคุณครับ ผมรับพึ่งรับตําแหน่งเจ้าเมืองต่อจากท่านพ่อเมื่อไม่นานมานี้เองครับ ยังไงก็ยังขอฝากเนื้อฝากตัวด้วยครับอีกรอบด้วยครับเพราะยังไงท่านก็เป็นถึงวีรบุรุษของมาตุภูมิที่ผมนับถืออยู่ " ลาสที่ยืนมองก็ได้ทำสีหน้ามึนงงแต่ชายหนุ่มตรงหน้าเขา ดูตกใจที่เห็นลาส แต่ก็กลับมาทำสีหน้าปกติ ทั้งสองคนพูดคุยกันอีกเล็กน้อยก่อนที่ลุงสมชายจะเรียกทุกคนให้มานั่งคุยกัน ถ้าให้ยืนคุยมันก็คงจะดูไม่ค่อยจะเหมาะสมสําหรับเจ้าบ้านเท่าไร มารยาทเพื่อเจริญสัมพันธไมตรีเป็นสิ่งสำคัญ

" ว่าแต่จริงๆแล้วธุระของพวกท่านทั้งสองคงเป็นเป้าหมายเดียวกันสินะ " ทั้งหมดในห้องเริ่มเปลี่ยนสีหน้าของตน สังเกตดูได้จากรอยยิ้มที่หุบลงของ เซอร์กาย ขณะเดียวกันลุงสมชายกลับทำตัวไม่ขี้เล่นเหมือนตอนแรกที่เจอกัน  แต่ก่อนทุกคนจะเอ่ยคุย

" จะให้คนที่ไหนก็ไม่รู้มานั่งฟังคนเขาคุยกัน...มันจะไม่เสียมารยาทไปหน่อยหรอ? " เซอร์กายเหล่ตามองไปที่ลาสพร้อมพูดด้วยเสียงที่ไม่สบอารมณ์เล็กหน่อย " เขาเป็นคนของฉันเอง " ยังดีที่ลุงสมชายพูดดักไว้ก่อนแม้ว่าจะดูเหมือนช่วยให้ลาสเข้ามาอยู่ในวงสนทนา แต่มันก็ทำให้ร่างบางไม่ชอบเอาเสียเลย การอ้างให้เขาไปอยู่ในตําแหน่งของใครก็ไม่ได้รู้มันทำให้รู้สึกเหมือนถูกโยกย้ายที่ทำงานโดยที่ไม่ได้ทำอะไรผิดเลยชัดๆ ยกเว้นแต่เขาคิดว่าคงไม่เป็นอะไรหรือคิดว่ามันดีแล้ว แต่ยังไงมันก็ต้องเคืองนิดๆละนะ แต่สิ่งที่ทำให้ร่างบางตรงเก้าอี้ไม่ชอบเลยคือ คําพูดที่ออกจากปากคนคนที่นั่งตรงข้ามเขาโดยเฉพาะเสียงที่ดูจองหองยิ่งนัก มันน่าเดินไปทุบหลังยิ่งนัก แต่มันก็คงเป็นได้แค่ความคิดละนะ ใครมันจะไปกล้ากัน!

" ถ้าท่านว่างั้น ความจริงแล้วเรากําลังประสบปัญหาเศรษฐกิจสงคราม หลายคนเริ่มกังวลกับภาวะเศรษฐกิจถดถอยหลังจบสงคราม ยิ่งทหารถูกปลดประจํามากเท่าไร โอกาศที่พวกเขาจะเข้าไปมีส่วนร่วมกับภาคอุตสาหกรรมหรือเกษตรกรรม ก็จะมากขึ้น แบบนั้นเราจะแย่กันหมด การพวกนายทุนส่วนใหญ่กําลังอยากเข้ามาลงทุนในอาริกาเซียเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว พวกนายทุนคงอยากจะเปิดโรงงานหรือหาพื้นที่เกษตรใหม่ให้แรงงานหน้าใหม่ๆ ท่านรู้ใช่ไหมว่าจะเกิดอะไรขึ้น? " เซอร์กายพูดเว้นให้เล็กน้อย

" เบื้องบนคงห้ามมิให้เข้าไปลงทุนในเขตรัฐอธิราชอยู่แล้ว แต่คงทนแรงกดดันไม่ไหวแถมต้องรักษาสถียรภาพคงเลยไม่มีทางเลือกนอกจากเข้ามาในเขตปกครองพิเศษของสมาพันธ์เรา...สินะ " ลุงสมชายพยักหน้าเบาๆ แม้จะทำสีหน้าเข้าใจ แต่สายตาที่มองไปตรงคนหน้ากลับไม่ใช่ ลุงสมชายเอ่ยต่อ

" แล้ว?เบื้องบนไม่ส่งทูตลงมาคุยสักหน่อยเลยหรือข้าเห็นแต่ทหารทั้งนั้น เอะอะ ใช้แต่กําลังจริงๆ หึ! ทางนี่ก็ขอแลกเปลี่ยนบ้าง คงไม่ยอมให้ห่านทองไปทำใครก็ไม่รู้ง่ายๆหรอกนะ ปกครองอาณานิคมโดยตรงไม่ดีกว่าหรอ "

" ผมเข้าใจ ท่านประธาน ดีครับ แต่เบื้องบนแค่บอกว่าจะให้ลงทุน อสังหาริมทรัพย์ ในอาริกาเซียโดยไม่ต้องผ่านผู้ว่าราชการ ใน...ราคาที่ถูกอย่างมาก เพิ่มอาณาเขตให้เขตปกครองของสมาพันธ์ท่าน จะได้ไม่ต้องกังวลเรื่องพื้นที่ของท่านไม่พอใช้ เพราะต้องแบ่งกับนายทุยของสหจักรวรรดิ จะได้ไม่ต้องมาแย่งธุระกิจค้าทาศอีก เป็นไงบ้าง? " เจ้าตัวคนพูดดูไม่ได้เดือดร้อนอะไรเลยกับคําพูดของลุงสมชาย ซึ่งมันก็ทำให้คนตรงข้ามหงุดหงิดเล็กน้อย แต่ระหว่างที่ลุงสมชายกําลังคิดไปมาอยู่นั้น ก็ได้มีเสียงขัดขึ้นมาระหว่างการเจรจาของทั้งสองฝ่าย

ลดการนำเข้าและเร่งการส่งออก ขยายขนาดของเศรษฐกิจไปยังอีกทวีปคิดว่ายังไงหรอครับ?

---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด