ตอนที่แล้วบทที่ 13 - เส้นลมปราณทั้งสิบสอง
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปDH บทที่ 15 - เด็กหนุ่มปริศนา

บทที่ 14 - หญิงงามในชุดขาว


บทที่ 14 - หญิงงามในชุดขาว

ภายใต้แสงจันทร์สีเงินสุกสว่าง กลุ่มดาบส่องแสงสีแดงเป็นประกายวิบวับ พวกมันพุ่งไปมาอย่างเป็นอิสระ ส่งเสียงหวีดหวิวดังต่อเนื่อง ดาบของติงโฮวเคลื่อนที่เร็วขึ้นเรื่อย ๆ แล้วลดความเร็วลงอย่างรวดเร็วสลับกันไป และตัวติงโฮวเองก็กำลังดื่มด่ำกับช่วงเวลาที่แสนพิศวงนี้

ดวงจันทร์เคลื่อนไปอยู่กลางท้องฟ้าแล้วในเวลานี้ สี่ชั่วโมงผ่านไปในชั่วพริบตาเท่านั้น

การเคลื่อนไหวของติงโฮวในตอนนี้เชื่องช้าราวกับภาพสโลวโมชั่นในภาพยนตร์ ทว่ามันกลับมีเสน่ห์อย่างประหลาด และใครก็ตามที่ได้มองวิถีของดาบเปื้อมสนิม จะต้องเกิดอาการอ่อนเพลียเวียนหัวและหมดสติไปภายในช่วงเวลาไม่กี่นาที

พลังของดาบเล่มนั้นไม่ธรรมดาเลยจริง ๆ

แต่สิ่งที่แปลกยิ่งกว่าคือติงโฮวไม่ได้มีเหงื่อออกท่วมร่างเหมือนอย่างก่อนหน้านี้แล้ว มีเพียงเม็ดเหงื่อสองสามเม็ดใสสะอาดผุดขึ้นบนใบหน้าเล็กน้อยเท่านั้น

“พรึ่บ!”

ติงโฮวเก็บดาบเปื้อนสนิมแล้วพยักหน้าอย่างพอใจ

“ข้าเคยรู้สึกเหนื่อยเวลาที่ซ้อมกระบวนท่าดาบมากกว่าสิบครั้งและเหงื่อก็ไหลท่วมจนร่างเปียกโชก การทำแบบนี้มันเป็นการเสียพลังงานร่างกายมากผิดปกติด้วยซ้ำ แต่ตอนนี้ข้ากลับเก็บพลังพวกนั้นเอาไว้ได้และออกเหงื่อเพียงเล็กน้อยถึงแม้ว่าจะซ้อมมากว่าหกชั่วโมงแล้ว ยิ่งกว่านั้น...ข้าไม่รู้สึกเหนื่อยเลย...นี่มันเป็นเพราะการใช้เมล็ดพันธุ์แห่งลมปราณงั้นเหรอ”

ติงโฮวเริ่มเข้าใจความลึกลับของพลังลมปราณแล้ว

ตามบันทึกใน “ทฤษฎีเรียกลมปราณ” ติงโฮวสามารถเคลื่อนพลังลมปราณไปยัง “เส้นลมปราณแรกเริ่มของการฝึกยุทธ์” หรือที่เรียกว่า “เส้นมือหยินที่หนึ่ง” สำเร็จ นั่นแปลว่าเขาเข้าสู่การฝึกขั้นก่อเกิดยุทธ์ได้แล้ว

แต่ติงโฮวยังไม่ทำการฝึกต่อ

ยังไง “ทฤษฎีเรียกลมปราณ” ก็เป็นเพียงตำราทั่วไปและไม่ได้ลึกลับซับซ้อนอะไร ถ้าติงโฮวตั้งใจที่จะเป็นเข้าถึงแหล่งเกิดของพลังที่แท้จริงแล้วละก็ เขาจะต้องฝึกฝนทักษะอื่น ๆ ให้ดีกว่านี้ การเข้าร่วมสำนักพินิจดาบ และการฝึกฝนในหัวข้อระดับกลางที่เรียกว่า “ไท่ซวนเรียกดาบและลมปราณ” คงเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด

เพราะในที่สุดแล้ว การมีวิชาอาคมที่ดีจะช่วยให้ติงโฮวมีรากฐานที่ดีในการฝึกวิทยายุทธต่อไปในอนาคต และยิ่งไปกว่านั้น การจะผ่านการทดสอบเข้าสำนักพินิจดาบคงไม่ใช่ปัญหาสำหรับติงโฮวอีกต่อไป เพราะตอนนี้เขาสามารถเข้าสู่ขั้นก่อนเกิดยุทธ์ได้แล้วนั่นเอง

แม้ตอนนี้ติงโฮวจะเรียนรู้ทักษะการใช้ดาบได้ถึงสองกระบวนท่าแล้ว แต่เขายังคงขาดประสบการณ์ในการรบและการหลบหลีกอยู่ดี

เด็กชายหยิบเอาตำราลับเกี่ยวกับการเคลื่อนเท้าออกมา มันเป็นหนังสือตำราเกี่ยวกับทักษะระดับล่าง ๆ และทักษะที่เขาเปิดอ่านและเริ่มฝึกซ้อมนั้นมีชื่อว่า “ก้าวย่างสะกดใจ”

ชื่อ “ก้าวย่างสะกดใจ” มีที่มาจากการเคลื่อนไหวที่รวดเร็วของหงส์ ในตำราบอกไว้ว่า ผู้ที่ฝึกการเคลื่อนไหวนี้ได้เป็นอย่างดีแล้ว จะสามารถเคลื่อนไหวได้เร็วราวกับหงส์เลยทีเดียว และเมื่อทักษะมาใช้ร่วมกับกระบวนท่าดาบ จะทำให้พลังเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณ หากสามารถใช้การเคลื่อนไหวนี้ได้อย่างเชี่ยวชาญแล้ว ผู้นั้นจะสามารถเคลื่อนไหวได้ถึง 10 ครั้งภายในหนึ่งวินาที ทักษะนี้จึงนับเป็นทักษะเสริมที่ดีที่สุดในทักษะระดับล่าง

เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว

ติงโฮวกำลังสนุกอยู่กับการฝึกจนดูเหมือนเขาเป็นผู้แสวงบุญที่เต็มไปด้วยความหลงใหลในธรรม เขาอุทิศหัวใจและจิตวิญญาณให้กับการฝึกไปแล้ว ติงโฮวรู้สึกมีความสุขอย่างที่เขาไม่เคยมีมาก่อนเลย

ในวันต่อ ๆ มา ทุกอย่างเป็นไปอย่างราบรื่น

หลังจากทำความสะอาดบริเวณโดยรอบของบ่อน้ำดาบพิสุทธิ์เสร็จในทุก ๆ วัน ติงโฮวจะใช้เวลาที่เหลือในการฝึกฝนทักษะ และในตอนนี้เขาสามารถใช้กระบวนท่า “ดาบผกผัน” ได้อย่างเชี่ยวชาญและคุ้นเคยกับทักษะ “ก้าวย่างสะกดใจ” แล้ว

ติงโฮวยังพบว่า การใช้กระบวนท่าดาบของเขานั้นรวดเร็วว่องไวมากแล้ว แต่การเคลื่อนเท้าของเขานั้นยังช้ากว่าอยู่เล็กน้อย แม้ว่ามันจะอยู่ในระดับที่เรียกได้ว่าอัจฉริยะแล้วก็ตาม

ส่วนตำราการใช้ดาบที่ขาดรุ่งริ่งอีกเล่มที่เขาได้มา ติงโฮวยังคงไม่แตะมันเลย เพราะเขาตั้งใจไว้ว่าจะฝึกวิธีในตำราเล่มนั้นหลังจากได้เข้าสำนักพินิจดาบอย่างเป็นทางการแล้ว

เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็วอีกตามเคย ไม่ทันไรติงโฮวก็เหลือเวลาอีกเพียงสามวันก่อนจะสำนักพินิจดาบจะเปิดประตูรับผู้ทดสอบอย่างเป็นทางการ

ในสองสามวันที่ผ่านมานั้น คนหนุ่มสาวจำนวนมากเริ่มมาปรากฏกายภายใต้การป้องกันของครอบครัวและทหารของพวกเขา คนเหล่านั้นพากันปีนขึ้นเขาและต่างก็เตรียมพร้อมสำหรับการทดสอบ

ด้วยความที่สำนักพินิจดาบเป็นสำนักที่ใหญ่ที่สุดในรัศมีหนึ่งพันไมล์ มันจึงเป็นที่ดึงดูดของเหล่าวัยรุ่น และการทดสอบของสำนักเองก็จัดขึ้นในทุก ๆ ปี นี่จึงมักเป็นงานนัดพบที่ยิ่งใหญ่เสมอมา และแน่นอนว่ามันเป็นเรื่องยากสำหรับเด็กธรรมดา ๆ จากครอบครัวที่ยากจนที่จะมาที่นี่ เพราะพวกเขาต้องเดินทางผ่านป่ามากมายเพื่อมาที่นี่ และนั่นก็แปลว่าระหว่างทางนั้นเต็มไปด้วยอันตรายที่ยากจะคาดการณ์

ในป่าพวกนั้นเต็มไปด้วยสัตว์ร้ายที่พร้อมจะกลืนผู้คนที่ผ่านไปมาพวกนั้นได้ทุกเมื่อ พวกเด็ก ๆ ที่มาจากครอบครัวขุนนางหรือพวกลูกหลานของคนมีเงินก็มักจะเดินทางผ่านป่านั้นมาพร้อมกับการป้องกันจากทหารของพวกเขา นี่จึงทำให้พวกเขาเป็นกลุ่มคนเพียงกลุ่มเดียวที่จะรอดออกมาจากป่าของสัตว์ร้ายเหล่านั้นและไปถึงยังเทือกเขาสำนักพินิจดาบได้อย่างปลอดภัย

แต่ถึงกระนั้นก็ยังมีข้อยกเว้น คนอย่างติงโฮวที่มาจากครอบครัวยากจน แต่ได้อาศัยอยู่หน้าประตูของสำนักพินิจดาบก็กลายเป็นคนที่ได้เปรียบในเรื่องการเดินทางทันที

วันนี้อากาศดีและพระอาทิตย์ส่องแสงสว่างสดใส

ที่ริมเทือกเขาข้างบ่อน้ำแห่งดาบบริสุทธิ์ ติงโฮวเพิ่งจะฝึกกระบวนท่าดาบเสร็จสิ้นไป และในตอนนั้นเองได้มีเสียงม้าจำนวนมากกำลังควบอย่างดุดัน มันดังขึ้นจากเส้นทางบนภูเขาที่ไกลออกไป ทำให้เกิดฝุ่นฟุ้งขึ้นที่บริเวณต้นเสียง

ไม่นานนัก กลุ่มคนกว่าสามสิบคนที่สวมชุดเกราะและมีร่างกายกำยำพากันควบม้าอย่างรวดเร็วดุดันออกมาจากป่า พวกเขามุ่งหน้ามาทางติงโฮวด้วยความรวดเร็วและมาถึงยังบ่อน้ำแห่งดาบบริสุทธิ์ในชั่วพริบตาเดียว

“หยุด-!”

เด็กหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาอายุราว 13 ปียืนอยู่ข้างหน้าสุด เขายืนแขนออกไปด้านหน้าแล้วโบกมือ

“นี่สหาย ที่นี่คือสำนักพินิจดาบใช่ไหม” เด็กหนุ่มผู้นั้นมองมาที่ติงโฮว เขาเหวี่ยงแส้ม้าในมือพร้อมกับส่งเสียงถามขึ้นอย่างวางท่า

“ใช่แล้ว” ติงโฮวพยักหน้า

ช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมานั้นมีผู้คนจำนวนนับไม่ถ้วนเดินทางมาที่เทือกเขาแห่งนี้ มีอีกหลายคนทีเดียวที่มีท่าทางหยิ่งผยองมากกว่าเด็กหนุ่มตรงหน้าติงโฮว นอกจากนั้นพวกทหารที่ขี่ม้าต่างก็ดูดุดันและแข็งแรง เป็นกลุ่มคนที่เคยพบเห็นทั้งการนองเลือดและการเสียชีวิตมาแล้ว ไม่ว่าใครก็ต้องเกรงกลัวเขาเหล่านี้ แม้แต่ติงโฮวเองก็ไม่อยากจะมีปัญหากับพวกเขา

“เอ้า พวกเราเดินทางกันมาทั้งบ่ายแล้ว พักที่นี่ก่อนเถอะและค่อยขึ้นเขากัน”

เด็กหนุ่มรูปหล่อลงจากหลังม้าแล้วโยนบังเหียนให้กับนักรบที่อยู่ด้านหลัง เขาเดินตรงมาที่บ่อน้ำแห่งดาบบริสุทธิ์และตักน้ำขึ้นล้างหน้า เด็กหนุ่มหัวเราะเสียงดังแล้วหันกลับมาพูดว่า “นี่คือดินแดนแห่งสำนักพินิจดาบและที่นี่ไม่มีสัตว์ร้ายพวกนั้นแล้ว ในที่สุดพวกเราก็จะได้พักกันซักที นี่เฉินหวู ตั้งเตนท์ตรงนี้สิ แล้วก็ยี่โหรว เจ้าไปพักและล้างดินที่เปื้อนตัวเจ้าออกเสีย”

ชายร่างกำยำไว้หนวดนามว่า เฉินหวู ตอบรับด้วยเสียงดังฟังชัด จากนั้นจึงออกคำสั่งแก่เหล่าทหารให้ลงมือตั้งเต็นท์สำหรับพักผ่อน

เด็กสาวในชุดยาวสีขาวค่อย ๆ ปรากฏขึ้นในกลุ่มคนพวกนั้น พลันทำให้สีของสรรพสิ่งโดยรอบจืดจางลงทันที นางอายุประมาณ 14 หรือ 15 ปีเท่านั้น

ดวงตาของนางดูราวกับภาพวาด สัดส่วนของใบหน้านั้นไร้ที่ติ จมูกเล็ก ๆ นั้นดูประณีตและริมฝีปากนั้นอมชมพูดูยั่วยวน ผิวของนางมีสีขาวซีดดูเหมือนหยกขาวที่เปราะบางและอาจแตกได้แค่เพียงสัมผัสเบา ๆ ผมยาวสลวยสีดำราวกับน้ำหมึกตัดกับชุดสีขาวทำให้นางดูมีเสน่ห์อย่างบอกไม่ถูก เด็กสาวเปล่งประกายความงามที่หมดจดนั้นทำให้นางดูราวกับภาพจำลองก็ไม่ปาน