ตอนที่แล้วตอนที่ 7 : ศัตรูตามธรรมชาติของข้าคือผู้กล้า
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 9 พวกที่อยู่เบื้องหลัง

ตอนที่ 8 อัศวินที่แข็งแกร่งที่สุดกับนักผจญภัยที่แข็งแกร่งที่สุด  


ไม่กี่วันหลังจากที่เขากลับมาถึงเมืองหลวงของจักรวรรดิ

วันแห่งโชคชะตาก็มาถึงในขณะที่หลายๆคนกำลังยุ่งอยู่กับการเตรียมเทศกาล

“คิดว่าใครจะมา?”

“ต้องเป็นหน่วยระดับสูงแน่นอนครับ”

เขากำลังรอตัวแทนในห้องของเขาที่ปราสาท

วันนี้คือวันที่ลูกของจักรพรรดิจะได้รู้ว่าอัศวินหน่วยไหนที่จะเข้าร่วมเทศกาลกับพวกเขา ซึ่งพิธีการก็ง่ายๆ หัวหน้าอัศวินของแต่ละหน่วยจะไปเยี่ยมที่ห้องของเจ้าชายกับเจ้าหญิง

ภาคีอัศวินหลวงแต่ละหน่วยนั้นจะมีตัวเลขของตัวเอง ยิ่งตัวเล็กน้อยเท่าไหร่ก็ยิ่งแสดงความเก่งกาจของหน่วยนั้น โดยเฉพาะหัวหน้าของสามหน่วยแรก, พวกเขาคือคนที่แข็งแกร่งที่สุดในแง่ของความสามารถที่แท้จริง ดังนั้นเพื่อให้ศักยภาพของกองทัพมีความสมดุลย์, พวกเขาจึงถูกจัดสรรให้มีทหารปลายแถวอยู่ในหน่วยของพวกเขาด้วย

“เอาจริงๆข้าขอใครก็ได้ที่ไม่ใช่เอลน่า......”

“พูดแบบนี้อีกแล้วนะครับ.....เธอเป็นถึงเด็กอัจฉริยะจากบ้านผู้กล้าหาญแอมส์เบิร์กที่ได้เข้าร่วมภาคีอัศวินตั้งแต่อายุ 11 และกลายเป็นหัวหน้าตอนอายุเพียง 14 ปี ท่านเองก็รู้นี่ครับ? ถ้าพวกเราได้เธอมาอยู่ฝ่ายเดียวกันมันน่าจะยอดเยี่ยมไปเลยไม่ใช่หรอครับ?”

“เธอก็มีดีแค่ความสามารถนั่นแหล่ะ ข้ารับมือกับคนอย่างเธอไม่ไหวหรอกนะ”

“เธอขึ้นชื่อว่าเป็นคนที่มีคุณธรรมสูงส่งแถมยังลือกันว่าเธอคือว่าที่หัวหน้าภาคีอัศวินหลวงคนต่อไปเลยนะครับ”

“นั่นก็แค่ภายนอกเท่านั้นแหล่ะ ทั้งประชาชนทั้งอัศวินไม่ได้รู้ถึงธาตุแท้ของเธอเลย ข้าจะไม่มีวันลืมช่วงเวลาที่ข้าได้พบกับเธอโดยเด็ดขาด มันคือตอนที่ข้าอายุ 7 ขวบ เจ้ารู้ไหมเธอพูดกับข้าว่าอะไรหลังจากที่เธอช่วยข้าจากการโดนรังแก?”

“นั่นสินะครับ เธอพูดว่าอะไรกันนะ”

“เธอเรียกข้าว่า ‘ไอ้อ่อน’ ใช่ไหมหล่ะ? มันคือคำที่เด็กขี้รังแกชอบใช้ไม่ใช่รึไง? แล้วหลังจากนั้นนะ, เธอยังส่งดาบไม้มาให้ข้าแล้วเริ่ม ‘ทำการฝึก’ กับข้าอีก ตอนนั้นข้าถูกอัดอยู่ฝ่ายเดียวและหลังจากวันนั้นข้าก็เริ่มเล่นโดยไม่ให้เอลน่าเห็น เหตุการณ์ครั้งนั้นมันปลูกฝังความอ่อนแอในใจข้า ไม่ว่าใครได้ยินก็คงจะรู้สึกว่าโหดร้ายใช่ไหม? ยัยผู้หญิงนั่นคือปีศาจชัดๆ”

เขากำลังอธิบายเรื่องเกี่ยวกับเธอให้เซบาสฟังอย่างเอาเป็นเอาตายแต่เซบาสก็แค่ยักไหล่เหมือนกับเอือมระอา

หนอย! ทำไมถึงไม่เข้าใจกันเลยนะ!

ในตอนที่เขาเริ่มหงุดหงิดนั้นเอง, ประตูก็เปิดออกอย่างกระทันหัน

จากนั้น

“ยัยปีศาจที่ว่านั่นใครกันหรอ?”

เอลน่าถามด้วยรอยยิ้มชั่วร้ายของเธอ

ในตอนที่เขาเห็นเธอ, ใบหน้าของเขาก็บูดเบี้ยวในทันที จากนั้น

“เซบาส! เรียกอัศวินมาเร็วเข้า! มีปีศาจอยู่ที่นี่!!”

“โชคร้ายหน่อยนะครับองค์ชาย, ข้าคิดว่าคงไม่มีใครมาหรอก เพราะถึงยังไงอัศวินที่แข็งแกร่งที่สุดก็อยู่ที่นี่แล้ว”

“เซบาสนี่รู้ดีจังเลยนะ แล้วก็เจ้าชายอาร์โนลด์ เลคส์ แอดเลอร์ ข้า, เอลน่า ฟ็อน แอมส์เบิร์ก, หัวหน้าหน่วยสามของภาคีอัศวินหลวง, มาขอเข้าพบค่ะ พวกเราไม่ได้เจอกันมาสองสามปีแล้วแต่ดูเหมือนองค์ชายยังเหมือนเดิมเลยนะคะ”

“ชิ....! ประชดหรอ?”

“อืม ใช่แล้ว ดูเหมือนว่าเจ้าค่อนข้างจะโด่งดังในเมืองหลวงใช้ได้เลย ข้าได้ยินมาดูเหมือนพวกเขาจะเรียกเจ้าว่าเจ้าชายไร้ค่าสินะ ก็ฟังดูเหมาะใช้ได้เลยนี่หน่า”

“เออ, ขอบใจที่ชม รู้สึกดีชะมัดเลย”

จากนั้นพวกเขาก็ยิ้มให้กันแล้วหัวเราะออกมา

ถึงแม้ว่าจะไม่ได้เจอกันมาพักใหญ่ๆแล้ว, แต่เพื่อนสมัยเด็กก็ยังคงเป็นเพื่อนสมัยเด็ก ถึงแม้ว่าเขาจะเป็นเจ้าชายและเธอเป็นลูกสาวของตระกูลผู้กล้าหาญ, พวกเขาก็ยังคงรู้จักกันดี

พวกเขากำลังจ้องหน้ากันด้วยรอยยิ้มแต่มันก็เป็นเขาเองที่เบือนหน้าหนีก่อน

“เจ้ามาทำอะไรที่นี่? ข้าจำไม่เห็นได้เลยนะว่าเรียกเจ้ามาตั้งแต่เมื่อไหร่?”

“ที่ข้ามาก็เพราะเรื่องนั้นไง เจ้าก็น่าจะรู้อยู่แล้วไม่ใช่หรอ?”

“ข้าไม่เชื่อหรอก.....”

“หยาบคายจังเลยนะ รู้ไหมว่าข้าต้องผ่านความยากลำบากมาขนาดไหน? นี่ข้าลงทุนขอให้องค์จักรพรรดิจัดสรรให้ข้าได้มาอยู่กับเจ้าเลยนะ”

“อย่าทำเรื่องไม่จำเป็นจะได้ไหม!? นี่เจ้ากำลังทำให้ข้าถูกพวกพี่ๆเพ่งเล็งอยู่นะรู้ตัวบ้างรึเปล่า!?”

“ไม่ใช่ว่าข้าไม่ได้คิดถึงเรื่องนั้นนะ แต่เจ้าไม่ได้เล็งบัลลังก์มาตั้งแต่แรกแล้วไม่ใช่หรอ, อัล?”

“ปัญหามันไม่ใช่ตรงนั้นซะหน่อย! โถ่, ให้ตายเถอะ! ตั้งแต่เด็กแล้วทำไมเจ้าถึงชอบเป็นแบบนี้อยู่เรื่อยเลย!?”

เขารู้ว่าที่เธอทำแบบนี้ก็เพราะนึกถึงเขาแต่มันไม่ได้ช่วยให้เป้าหมายของเขาสำเร็จเลย

ในช่วงเวลาแบบนี้, เขาอยากให้เธอขอให้พ่อจัดสรรเธอไปอยู่กับลีโอมากกว่า แต่ก็เอาเถอะ, เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเธอจะยอมทำตามหรือเปล่าถ้าเขาบอกให้เธอไปอยู่ฝั่งลีโอ

และท้ายที่สุดเพราะตอนนี้เอลน่ามาอยู่ฝั่งเขา, สถานะของเขาจึงเปลี่ยนจากตัวละครจืดจางไปเป็นตัวเต็งในการแข่งขัน ซึ่งนี่มันทำให้เขาเคลื่อนไหวได้ยากขึ้นไปอีก เอลน่าเป็นคนที่ดึงดูดความสนใจคนอื่นได้เองตามธรรมชาติ มันคงพูดได้เลยว่าตอนนี้การจะให้เขาออกปฏิบัติการอย่างลับๆคงจะเป็นไปไม่ได้แล้ว

ถ้าเธอไปอยู่ฝั่งผู้เข้าแข่งขันคนอื่นๆเขาก็คงจะมีปัญหาเหมือนกันแต่การที่เธอมาเข้าร่วมกับเขานั้นจะทำให้มีปัญหามากกว่า เธอคือเอลน่าคนนั้นเลยนะ มันไม่ใช่แค่ปัญหาเรื่องความเข้ากันได้ของพวกเขา, แต่เขาไม่อยากมีเธออยู่ใต้บังคับบัญชาด้วย

“ข้าจะทำให้เจ้าชนะในการแข่งครั้งนี้เอง มาทำให้ทุกคนที่เรียกเจ้าว่าเจ้าชายไร้ค่าต้องตกใจจนพูดไม่ออกกันเถอะ!”

“ข้าไม่อยากชนะซักหน่อย.....”

“อย่าคิดแบบนั้นสิ ข้าได้พูดแบบนั้นกับองค์จักพรรดิไปแล้วนะเพราะฉะนั้นพวกเราต้องทำการฝึกพิเศษ! สำหรับตอนนี้, ไปที่สนามฝึกกันเถอะ, ก่อนอื่นข้าขอดูหน่อยว่าทักษะการขี่ม้าของเจ้าพัฒนาไปถึงไหนแล้ว”

“....เซบาส ข้าปวดหัว ข้าคิดว่าอาการเข้าขั้นรุนแรงเลบหล่ะ........”

“ฟังดูแย่เลยนะครับ มันต้องเป็นอาการป่วยทางสภาพจิตใจแน่ๆ ถ้าท่านฝึกจิตกับร่างกายควบคู่กันมันน่าจะรักษาให้หายได้นะครับ, องค์ชาย”

เขาถลึงตามองเซบาสแต่เซบาสก็เมินเขา

อีกไม่นานก็จะถึงวันจัดเทศกาลล่าของอัศวินแล้ว ต่อให้เริ่มฝึกฝนในช่วงไม่กี่วันนี้มันก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนไปหรอกหน่า

ด้วยความคิดนี้ในหัว, เขาก็ถูกลากไปที่สนามฝึก

———

วันต่อมา

“โอ้ย!!?? เจ็บนะ.....”

“ขะ, ขอโทษด้วยค่ะ! ข้าจะทำให้เบากว่านี้นะคะ”

เขาไม่สามารถขยับตัวออกจากเตียงได้เพราะปวดกล้ามเนื้อดังนั้นฟีเน่จึงมาทายาให้เขา แต่ไม่ว่ายังไง, หลังของเขาก็หมดสภาพอย่างสมบูรณ์แล้ว มันเจ็บมากจนเขาไม่อยากขยับเลย

ซึ่งเหตุที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะเอลน่าคอยฟาดเขาเพื่อจัดท่าให้ถูกต้องตลอดคาบเรียนขี่ม้าของเธอ นี่เป็นครั้งแรกเลยที่เขาถูกฟาดดาบหรือหอกใส่ตอนอยู่บนหลังม้า มันเป็นการฝึกที่สาหัสมาก เขาตกม้าจนหลังกระแทกอยู่หลายครั้ง

ถ้าการฝึกเช่นนี้มีทุกวันหล่ะก็เขาจะต้องตายแน่ๆ

“ท่านอาร์โนลด์คะ ท่านเอลน่าบอกข้าว่าเธอเตรียมการฝึกอื่นให้ท่านตอนบ่ายนี้ด้วย”

“พจนานุกรมของยัยนี่ไม่มีคำว่าพักผ่อนบ้างเลยรึไงนะ......?”

“สมแล้วหล่ะค่ะที่ผู้คนบอกกันว่าเธอคือผู้กล้าคนที่สอง แต่, ท่านอาร์โนลด์, ในฐานะท่านซิลเวอร์, ท่านเองก็น่าจะมีความสามารถพอๆกับเธอไม่ใช่หรอคะ? ท่านตั้งใจทำเป็นขี่ม้าไม่เป็นใช่ไหมคะ?”

“ท่านอาร์โนลด์เป็นผู้เชี่ยวชาญเวทมนตร์โบราณครับ ความแข็งแกร่งทางด้านกายภาพของเขาน้อยกว่าคนธรรมดาซะอีก ไม่ว่าจะเป็นขี่ม้า, ทักษะดาบ, เวทมนตร์สมัยใหม่ เขาแอบโดดวิชาพวกนี้ทั้งหมดดังนั้นความสามารถในเรื่องพวกนี้ของเขาจึงไม่มีความพิเศษเลยครับ ท่านฟีเน่”

“งั้นหรอคะ? ข้านึกว่านักผจญภัยจะมีร่างกายแข็งแรงกันทุกคนนะเนี่ย”

“ส่วนใหญ่ก็ใช่แหล่ะ..... แต่ข้าใช้เวทมนตร์โบราณเพื่อชดเชยความสามารถทางกายภาพที่อ่อนแอและข้าก็ไม่ได้ตั้งใจจะฝึกความสามารถทางกายภาพของตัวเองมาตั้งแต่แรกแล้วด้วย”

“เจ้าชายมักใจใช้เวทย์เคลื่อนย้ายเพื่อย่นระยะการเดินทางในตอนที่เดินทางไกลๆครับ ช่วงเวลาที่องค์ชายออกไปข้างนอกโดยไม่ใช่เวทย์เคลื่อนย้ายเหมือนกับตอนที่ไปเยี่ยมบ้านดยุคไคลเนลต์นั้นถือว่าเป็นเรื่องที่หาได้ยากจริงๆ และถึงแม้เขาจะออกไปแบบนั้น, เขาก็ยังใช้เวทย์โบราณเพื่อเสริมความแข็งแกร่งให้ร่างกายของตัวเองนะครับ ดังนั้นถ้าไม่มีเวทมนตร์โบราณ, เขาก็คือ ‘ไอ้อ่อน’ เหมือนที่ท่านเอลน่าพูดนั่นแหล่ะครับ”

เขาไม่เหลือแรงไปเถียงกับปากสุนัขไม่รับประทานของเซบาสแล้ว

เขาถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ในขณะที่นอนอยู่บนเตียง

อย่างไรก็ตาม, จู่ๆเซบาสก็พูดกับเขาด้วยน้ำเสียงสดใส

“แต่มันก็ขึ้นอยู่กับว่าท่านจะมองยังไงนะครับ, ต่อให้มันเป็นช่วงเวลาที่ยากลำบากสำหรับองค์ชาย, แต่มันก็ถือเป็นโอกาสที่ดีสำหรับท่านลีโอนะครับ”

“นั่นสินะ....”

“เอ๋? หมายความว่ายังไงหรอคะ?”

เขาตัดสินใจที่จะอธิบายให้ฟีเน่ฟังเพราะดูเหมือนว่าเธอจะไม่เข้าใจสถานการณ์เลย

แต่ถึงอย่างนั้น, เขาก็ไม่ได้อธิบายอย่างละเอียด

“เอลน่านั้นพูดได้เลยว่าเป็นอัศวินที่แข็งแกร่งที่สุด ดังนั้น, ต่อให้ข้าชนะก็คงไม่มีใครคิดหรอกว่าเป็นความสำเร็จของข้า”

“ใช่แล้วครับ เหมือนกับที่ท่านฟีเน่เคยพูดเอาไว้, ถ้าพวกเราทำให้ท่านลีโอเป็นผู้ชนะไม่ได้, วิธีที่แน่นอนที่สุดก็คือการทำให้ท่านอาร์โนลด์คือผู้ชนะครับ แต่ว่า, มันคงจะไม่เป็นธรรมชาติถ้าจู่ๆท่านอาร์โนลด์ชนะขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย....แต่สำหรับในตอนนี้พวกเรามีไพ่ใบที่แข็งแกร่งที่สุดอยู่ในมือแล้วครับ”

“เข้าใจแล้วหล่ะค่ะ! ท่านอาร์โนลด์จะเอาจริงแล้วสินะคะ!”

“เอาเถอะ, ต่อให้ข้าไม่ทำอะไร, เอลน่าก็คงจะทำด้วยตัวเองอยู่ดี ไม่ว่ายังไง, ข้าคิดว่าพวกเราก็คงจะชนะหล่ะนะ เอลน่ามีทักษะสูงมาก ถ้าข้าไม่ขวางทางเธอชัยชนะก็เป็นของเราค่อนข้างจะแน่นอนแล้วหล่ะ”

“นี่ต้องเป็นสาเหตุที่องค์จักรพรรดิจับคู่ท่านอาร์โนลด์กับท่านเอลน่าแน่ๆเลยค่ะ ฝ่าบาทคงจะมองว่าท่านอาร์โนลด์จะถ่วงแข้งถ่วงขาของท่านเอลน่าในการแข่งขันครั้งนี้”

“แต่องค์จักพรรดิไม่รู้ซะแล้วว่าเขาพึ่งสร้างคู่หูระหว่างอัศวินที่แข็งแกร่งที่สุดกับนักผจญภัยที่แข็งแกร่งที่สุดของจักรวรรดิ!”

ในขณะที่ทึ่งกับหน้าตาที่ดูมีความสุขของฟีเน่, เขาก็เอาเสื้อแจ็คเก็ตมาสวม

เหลืออีกไม่กี่วันก็จะถึงวันจัดเทศกาลล่าของอัศวินแล้ว เขาต้องทำสิ่งที่ตัวเองทำได้ก่อนที่จะถึงตอนนั้น

“กรณีที่เลวร้ายที่สุดก็คงจะต้องให้ข้าชนะแล้วชิงตำแหน่งทูตที่มีอำนาจเบ็ดเสร็จจากคนอื่นๆนั่นแหล่นะ แต่ถ้าให้ดีที่สุดก็คงต้องให้ลีโอเป็นผู้ชนะ”

“ทำไมหล่ะคะ? ต่อให้ท่านอัลกลายเป็นทูตที่มีอำนาจเบ็ดเสร็จและสร้างเส้นสายกับประเทศอื่น, สุดท้ายแล้วมันก็จะกลายเป็นของท่านลีโออยู่ดีไม่ใช่หรอคะ?”

“ถึงอย่างนั้นก็เถอะ, ถ้าให้ลีโอชนะมันก็ดีกว่าอยู่ดี ถึงยังไงก็คงจะมีผู้มีอิทธิพลมากมายเข้ามาดูเทศกาลนี้อยู่แล้ว”

“ถึงท่านจะพูดเรื่องที่สมเหตุสมผลอยู่, แต่ที่จริงท่านก็แค่คิดว่าการเป็นทูตที่มีอำนาจเบ็ดเสร็จมันเป็นเรื่องน่ารำคาญสำหรับท่านไม่ใช่หรอครับ?”

ไหล่ของเขากระตุก

พอเห็นการตอบสนองตามที่คาดเอาไว้เซบาสก็ถอนหายใจออกมา, ฟีเน่เองก็ทำตามแล้วพูดออกมา

“ท่านอัล....ไม่เห็นต้องยกให้ท่านลีโอมากขนาดนี้ก็ได้นี่คะ?”

“หืม? ยกให้หรอ?”

“ข้ารู้ค่ะ ท่านอัลคงจะบอกว่าเพื่อทานลีโอก็เลยจะยกให้สินะคะ”

“เห้ออ...ท่านฟีเน่ครับ ดูเหมือนว่าท่านจะเข้าใจเจ้าชายผิดแล้วหล่ะครับ, เจ้าชายที่อยู่เบื้องหน้าท่านคนนี้คือจอมขี้เกียจโดยแท้จริง, ท่านรู้รึเปล่าครับ?”

“ข้าไม่สามารถปิดบังฟีเน่ได้สินะเห้อ....เจ้าก็น่าจะเห็นมันเป็นนิสัยของข้ามาตั้งนานแล้ว ข้าอยากจะยกทุกอย่างให้ลีโอจริงๆ เอาเรื่องบัลลังก์เป็นตัวอย่างก็ได้”

“ว่าแล้วเชียวค่ะ! ในฐานะพี่ชาย, มันก็ถือเป็นเรื่องดีนะคะแต่มันจะไม่ดีถ้าให้มากเกินไป ข้าคิดว่าท่านลีโอเองก็คงจะเสียใจเหมือนกัน”

เขาสามารถใช้ความเข้าใจผิดของฟีเน่เพื่อหลักเลี่ยงการเทศน์ของเซบาสได้

พอเห็นเขาหลอกฟีเน่ได้อย่างแยบยล, เซบาสก็ขมวดคิ้ว

“การหลอกผู้หญิงเป็นสิ่งที่ข้ายอมรับไม่ได้จริงๆนะครับ”

“ข้าไม่ได้หลอกเธอซะหน่อย ก็แค่ทำให้เธอเข้าใจผิดนิดหน่อยเอง”

“ถ้าพูดแบบนั้นอีก ท่านเอลน่าจะโกรธเอานะครับ, รู้รึเปล่า?”

“เห็นเธอเป็นแม่ข้ารึไง.....”

“ข้าหล่ะอิจฉาท่านจริงๆที่มีเพื่อนสมัยเด็กที่ห่วงใยท่านถึงขนาดนี้ ตอนข้าเด็กๆข้าไม่มีเพื่อนแบบนั้นเลยซักคนนะครับ”

“ก็แค่ตัวน่ารำคาญเท่านั้นแหล่ะ, โดยเฉพาะตอนที่ยัยนั่นยัดเยียดเรื่องไร้สาระให้ข้าทำเต็มไปหมด”

“อะไรกัน? นี่เจ้าบอกว่ามันเป็นเรื่องไร้สาระหรอ?”

มีเสียงลอยเข้ามาในห้อง

ในตอนที่เขาหันไปดูเขาก็เห็นเอลน่ายืนอยู่ที่ประตู

เธอกำลังยิ้มให้แต่เขารู้สึกเหมือนกับว่าสามารถมองเห็นความโกรธที่แผ่ออกมาจากตัวเธอได้เลย

เป็นเวลาพักนึง, ที่ความกลัวที่เธอปลูกฝังเอาไว้ในตัวเขาทำให้เขาพยายามจะมองหาทางหนีแต่เนื่องจากมันไม่น่าจะหนีไปไหนได้, เขาจึงเปิดปากพูดอย่างไม่เต็มใจ

“เจ้ามาทั้งๆที่ข้ายังไม่ได้เรียกเลยเนี่ยนะ, เจ้าเป็นคนที่มีงานยุ่งอยู่ตลอดไม่ใช่รึไง....?”

“หยาบคายจริงๆ รู้ไหมเพราะมั่นใจว่ามีคนเจ็บกล้ามเนื้อจนขยับตัวไม่ได้แน่ๆข้าก็เลยแวะไปหายาทามาให้เลยนะ?”

“ข้าไม่เป็นไร ข้ามีคนที่ใจดีกว่าเจ้าเป็นร้อยเท่าทายาให้แล้ว”

“อุ้ย? นี่เจ้ากำลังพูดถึงเจ้าหญิงนกนางนวลสีน้ำเงินที่นั่งอยู่ตรงนั้นสินะ?”

“อ้ะ, ใช่ค่ะ ยินดีที่ได้รู้จักนะคะ ข้าฟีเน่ ฟ็อน ไคลเนลต์ค่ะ”

“ข้าเอลน่า ฟ็อน แอมส์เบิร์ก ห้องของลีโอก็ว่าไปอย่างแต่ข้าไม่นึกเลยนะว่าจะได้มาเจอท่านที่ห้องของเจ้าชายไม่ได้ความนี่”

พอพูดจบ, เอลน่าก็ยิ้มให้ฟีเน่อย่างอ่อนโยน

แน่นอนว่ารอยยิ้มนี้แตกต่างจากรอยยิ้มที่เธอให้เขาโดยสิ้นเชิง มันคือรอยยิ้มที่สร้างความประทับใจให้อีกฝ่าย

“อัล, ข้ารู้สึกว่าเมื่อสักครู่นี้เจ้ากำลังนินทาข้าอยู่ใช่รึเปล่า?”

“คิดไปเองมั้ง”

“ก็ดี ถ้างั้นก็ไปต่อกันเลย”

พอพูดจบ, เอลน่าก็ลากคาเขาออกจากเตียง

ในตอนที่เห็นเขาตื่นตระหนก, เอลน่าก็อธิบายให้เขาฟังด้วยรอยยิ้มตามปกติของเธอ

“เมื่อกี้เจ้าบอกว่าไม่เป็นไรใช่ไหม? ถ้างั้นตอนนี้ก็ไปที่สนามฝึกกันเถอะ”

“หา!? ข้าไม่ได้จะสื่อแบบนั้นซะหน่อย! โอ้ย! มันเจ็บไม่ใช่รึไง!? หยุด!! นี่ข้าเป็นคนเจ็บนะไม่เห็นหรอ!?”

“เจ็บกล้ามเนื้อไม่นับว่าเป็นคนเจ็บหรอกนะ พอได้ขยับร่างกายเดี๋ยวมันก็หายเองหล่ะ”

พอพูดจบ, เอลน่าก็ลากเขาไปสนามฝึกและเริ่มฝึกเหมือนกับเมื่อวาน

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด